พลัง "รุ้งสายตาข่ายฟ้า"

เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะบวชเป็นเณร ตอนนั้นผมเริ่มฝึกฤทธิ์ได้มากพอควรแล้วในเพศฆราวาสก่อนหน้านี้ก็ห่มขาวปฏิบัติพื้นฐานสมาธิ แต่หลังจากนั้น ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาฝึกอภิญญา แต่เป็นสายมหายานนะครับ เมื่อผมได้อาจารย์ผู้เป็นฆราวาสมีสำนักตั้งอยู่บนดอย (ที่ผมเรียกว่าดอยสราญรมย์ เพราะอาจารย์ตั้งชื่อสำนักประมาณว่าสุขวิปัสโก อะไรแบบนั้น) ในช่วงที่สำนักยังไม่ล่มนั้น ผมได้ไปฝึกกับอาจารย์หลายท่าน อาจารย์ที่่ดูแลผมเป็นหลัก ได้แนะนำท่านผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ที่ท่านพิจารณาเห็นแล้วว่า "ผ่าน" มาให้ผมได้พบเจอและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนนั้น มีหลายท่านอยู่ แต่ละท่านก็ฝึกฤทธิ์คนละแบบ เช่น บางท่านก็หนักมาทางธาตุดิน, บางท่านหนักมาทางธาตุน้ำ, บางท่านหนักมาทางธาตุลม, บางท่านหนักมาทางธาตุไฟ เราก็จะใช้วิีธีประสานฝ่ามือกันเพื่อปรับสมดุลให้กันและกัน บางอย่างที่เรามีมากเกินไป ก็จะถ่ายเทไปสู่คนที่มีน้อย บางอย่างที่เรามีน้อยก็จะได้รับมาเพื่อเรียนรู้ต่อไป ช่วงนั้น ก็ได้พบอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมักเรียกพวกเราว่า (รวมทั้งตัวท่านเองด้วย) พวก "ผีบ้า" คือ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา แล้วก็ดูไม่่ค่อยสร้างภาพสักเท่าไร เลยเหมือนผีบ้าไปเสียอย่างนั้น แต่ผมคิดว่านั่นคือ คำชม ของอาจารย์มากกว่า เพราะสำหรับผมแล้ว "ผีบ้า" หมายถึง คนที่กล้าหาญที่จะเอาตัวเองออกมาจากปลักอาจมของเหล่่าสังคมฟอนเฟะ เพื่อค้นหา, ทดลอง, ปฏิบัติ สิ่งใหม่ๆ อันจะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ มันก็เลยเหมือนว่าเราบ้า หรือเหมือนผี ไม่ค่อยเหมือนผู้คนในบางครั้งก็เท่านั้นเอง อาจารย์ท่านนี้ก็ไม่ธรรมดา  ไม่ใช่ว่าผมจะหลงหรือยกยออาจารย์ัตัวเองนะครับ เพราะผมไม่ได้บอกชื่อให้ใครทราบเลยนี่ครับ ไม่เคยเอาชื่อเสียงของอาจารย์มาอวดอ้างหากินว่าฉันเป็นศิษย์หลวงปู่คนดัง หลวงพ่อคนดี คนนั้นคนนี้นะ จะได้รับการยอมรับ และลาภสักการะมากมาย อย่างนั้น ผมไม่เคยทำครับ ทำให้พวกชอบใส่ร้าย มาใส่ร้ายหาว่าผมเป็นศิษย์ไม่มีครูบ้าง พวกบ้าอยากได้ลูกศิษย์ เหมือนราชครูจิวหม่อจื้อ ในเรื่องแปดเทพอสูรฯ ก็มาหลอกผมให้ไปเคารพบ้าง ถ้าผมไม่เคารพเขาๆ ก็จะหาว่าผมดื้อด้าน สอนไม่ได้ หลงตัวเอง มีทิฐิมาก แต่มันไม่จริงหรอกครับ เพราะผมไม่เคยทำแบบนั้นกับครูบาอาจารย์ของผม และผมเป็นคนรู้ัจักเลือกครับ ถ้าไม่ดีจริง ถ้าไม่ทำตัวน่านับถือในสายตาผมจริงๆ มีหรือว่าผมจะรับเขาเป็นอาจารย์ได้ (หลวงปู่ หลวงพ่อดังๆ ทั้งหลายที่ท่านหลงไหลคลั่งไคล้กันจนต่อมน้ำตาจะแตกพลั๊กๆ นั้น ผมไม่เคยไปเป็นศิษย์ใคร องค์ไหนเลยนะครับ จะมีก็แต่หลวงปู่ หลวงพ่อที่มรณภาพไปแล้ว เป็นครูอาจารย์ผมทางโลกทิพย์ครับ)


แล้วเราทั้งหมดก็ได้เข้ามาล้อมวง "ปรับพลังภายใน" กันครับ ก็ง่ายๆ เพราะเราต่างคนก็ต่างปฏิบัติมาไม่น้อยแล้วนี่ครับ มาถึงตรงนี้ ไม่ใช่เวลาต้องมาฝึกอะไรกันมากอีกแล้ว เราก็แลกเปลี่ยนพลัง ปรับสมดุลพลังให้กันและกันเลย อาจารย์ทุกท่านในที่นี้ ไม่มีใคร "บ้าอยากใหญ่" ไม่มีใครทำตัวเหมือนองค์ลงแล้ว มาจับหัวคนอื่นกดลง (ผมเห็นเยอะครับ หลายที่เวลาองค์ลง ก็จะมาทำตัวเหนือคนอื่น กดคนอื่นลง ไม่ใช่มารยาทที่ดีของเทพชั้นสูงเลยครับ) เราต่างถือว่า "ธรรมเสมอภาคด้วยธรรม" แม้ผมอายุน้อย และไปทีหลัง ท่านอื่นๆ ก็นั่งคุยกับผมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และแลกเปลี่ยนกันเหมือนคนธรรมดาคุยกัน ไม่มียศศักดิ์ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือใครต่ำกว่าใครครับ เราก็แลกเปลี่ยนพลังด้วยการประสานฝ่ามือ ล้อมเป็นวงกลม (มี ๔ หรือ ๕ คน เห็นจะได้ครับ) สักพักหนึ่ง อาจารย์เจ้าสำนัก ซึ่งพอจะเห็นมิติทิพย์ได้บ้าง (แต่บางครั้งก็ไม่ได้ครับ) ซึ่งนั่งหลับตาเพ่งดูไปด้วย ก็บอกว่า "เห็นเป็นสายรุ้ง ประสานกันไปมาบนฟ้าเต็มไปหมด" ประมาณนั้น ผมเคยอ่านเรื่องของพุทธวัชรยาน เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ "พลังสายรุ้ง" และซกเชนไว้ เหมือนกับว่าเราจะต้องบำเพ็ญบารมีจนได้ "ฉัพพรรณรังสีเหมือนสีของสายรุ้ง" และถ้าได้แล้วก็นับว่าได้ซกเชนอะไรแบบนั้น (ไม่ขอสรุปว่าจริงเท็จประการใด ท่านไปศึกษาเอาเอง คิดเอง ลองเอง ให้เห็นผลจริงก่อน ก็แล้วกันนะครับ) อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีฉัพพรรณรังสี ๖ สี เป็นต้น ซึ่งพุทธะแต่ละพระองค์จะมีกันทั้งนั้น ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เช่น บางองค์อาจมี ๗ สี บางองค์อาจสว่างไปครึ่งจักรวาล แต่บางองค์ก็สว่างไปแบบไม่มีประมาณ นั่นเป็นเรื่องของฉัพพรรณรังสีก็เท่านั้นเองครับ จบ!



 

โปรดมังกรดำ ตอน จิตสัมผัสมังกรมาร

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งที่ผมยังเป็นสามเณร ผมแยกจากสามเณรคู่หูไปชั่วคราว เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วผมก็ได้ไปสถานที่ๆ หนึ่ง เป็นสถานธรรมที่มีคนเยอะมาก เจ้าสำนักที่นั่น ผมสัมผัสได้ว่าเป็นคนทีบารมีเก่ามาเหมือนกัน และเชื่อมโยงกับมิติเบื้องบนได้ ทว่า ออกจะมีเล่ห์เหลี่ยมสักหนึ่ง เรื่องราวในนี้ค่อนข้างมีหลายอย่าง แต่ผมจะคัดเอามาเล่าก่อนเฉพาะในเรื่องของมังกรดำที่ผมสัมผัสได้ ก็แล้วกัน กล่าวคือ ที่นี่จะไม่เน้นให้รีบนิพพาน และไม่ได้สอนธรรมะตามแบบพระพุทธเจ้าซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะเจ้าสำนักไม่ใช่พระนี่ครับ เขาก็มีธรรมในแนวของเขา และทำหน้าที่เป็นครู เป็นเหมือนพ่อผู้ให้กำเนิดคนอื่นๆ ซึ่งก็ทำได้ดีครับ แต่ค่อนข้างแปลกเท่านั้นเอง เพราะมีการพูดถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวแบบตรงๆ เลย และมีการเชิญมนุษย์ต่างดาวเข้ามาแทนองค์ประจำของคนด้วย เช่น บางคนไปรับขันธ์มา เขาก็มาขอให้ช่วยล้างให้ ล้างเสร็จแล้วก็รับ "มนุษย์ต่างดาว" กลับไป ดูเปลือกนอกแล้วเหมือนว่าเฟ้อฝันหรือหลอกลวง แต่ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ของอะไรเราไม่ควรไปดูถูกเขาโดยที่เราไม่รู้จริง แต่แปลกครับ ที่นี่ มีเรื่องของการชำระล้าง และการเกิดใหม่ด้วย แต่ไม่ไ่ด้พูดตรงๆ เหมือนเรื่องมนุษย์ต่างดาว เท่านั้นเอง เท่าที่ผมพอสัมผัสได้ (เพราะไม่มีสามเณรคู่หูไปด้วย จึงต้องใช้จิตสัมผัสของตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไรนัก) ก็มีการกำเนิดใหม่จริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกประเดี๋ยวประด๋าวนะครับเพราะมันคือความจริงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของผมบางคน ซึ่งไปที่นั่นมาแล้วเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนเลย อันนี้ "คอนเฟิร์มได้ครับ" เรียกว่ามันมีผลจริง ไม่ใช่เล่นๆ ไม่ได้มั่วๆ และไม่ใช่หลอกลวงแต่ไม่ึถึงขั้นจะเอานิพพานกันนะครับเหมือนปูฐานปูพื้นไปสู่อะไรสักอย่างแค่นั้นเอง ในขณะที่ผมเป็นสามเณรนั้นเอง ผมก็ต้องได้ครูเป็นฆราวาสแล้วครับ (เจ้าสำนักเป็นฆราวาสนี่ครับ) ก็โอเค ปล่อยไปตามบุญกรรม ใครจะไปห้ามได้ละ แต่ว่าเจ้าสำนักก็ไม่ธรรมดาครับ เพราะมีนายทุนใหญ่ เศรษฐีเยอะแยะ สนับสนุนเงินให้ทำหน้าที่ ตอนนี้เลยขยายที่ดินออกไปกว้าง มากๆ เป็นอาณาจักรเลย ทั้งยังก่อสร้างตึกเพิ่มไว้รองรับผู้ปฏิบัติธรรมอีกด้วย เรียกว่าทุ่มกันเต็มที่เลย


แล้วผมก็ได้อาศัยผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาเข้ามาปฏิบัติธรรมในนั้นเอง เป็นหูเป็นตาให้ แต่ผมไม่ได้รู้จักเขามาก เพราะเพิ่งมาเจอกัน ไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะพูดจริงเท็จมากแค่ไหน แต่เขาบอกว่าในช่วงก่อนจะมีการเิชิญมนุษย์ต่างดาวเข้ามานั้น ซึ่งเป็นช่วงของการปลดปล่อย เขาเห็น "จิตวิญญาณดำๆ" จำนวนมากเข้าไปรุมที่ตัวเจ้าสำนัก ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายกับตอนที่ "มังกรดำกินมาร" เข้าไป แต่คราวนี้ มันเยอะมาก ก็เท่านั้นเอง เพราะคนที่ไปที่นั่นมีเป็นพันถึงสองพันคนเลยในครั้งนั้น (ทุกๆ ครั้งก็ประมาณนี้) ผมจึงต้องใช้จิตสัมผัสเอา ก็รู้สึุกเหมือนอาจจะเป็นมังกรดำก็ได้ (มังกรดำไม่ใ่ช่ปอบนะครับ เพราะมันไม่ได้กินคนหรือกินไก่ แต่มันกินผีด้วยกันเพื่อเพิ่มฤทธิ์และการเจริญเติบโต) ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่ามังกรดำตนนี้ มันกินผีมืดเข้าไป เป็นอาหารไม่ต่างจากตัวที่อยู่กับสามเณร กินไปเพื่ออะไร? เพื่อเคลียร์และล้างพวกผีมืดที่อยู่กับคน แฝงร่างมาก แทรกอยู่ในกายบ้างไงครับ เมื่อเขาปลดปล่อยออกมาแล้ว มันก็กินหมดไปหมดเลย เรียบร้อย จากนั้น คนเหล่านั้นก็ได้ "มนุษย์ต่างดาว" กลับไปแทนผีกลุ่มเดิม เป็นวิธีการชำระล้างแ้ล้วสร้างใหม่อีกแบบหนึ่ง ซึ่งทำได้ผลเร็วและจำนวนมาก ทว่า อย่างที่ผมกล่าว มังกรดำเมื่อมันกินพลังดำเข้าไปมากเกินไป มันจะอารวาดครับ (ใครที่ไม่เคยเจอ จะไม่ทราบ) แล้วผมยังพอทราบอีกว่าพวกอสูรหรือปีศาจร้ายๆ มันจะมีวิธีเพิ่มฤทธิ์แปลกๆ ในแบบของมันเอง ที่ไม่เหมือนกัน ถ้ามันทำสำเร็จมันก็จะกลายเป็นปีศาจร้ายที่มีฤทธิ์มาก ปราบแทบไม่ไหวเลยครับ อย่างหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาคือ พวกมังกรดำ จะฝึกฤทธิ์เพื่อให้ถึงขั้น "มังกรมาร" มันจะกลายเป็นกึ่งมาร กึ่งมังกร เรียกว่าทั้งร้ายกาจและมีเล่ห์เหลี่ยมมากเลย สำหรับมังกรดำที่ทำงานในสถานธรรมแห่งนี้ ผมสัมผัสด้วยจิตดูแล้ว ท่าทางมันจะมีอนาคตไกล ไปในทางนั้นอยู่ และไม่ทราบว่าจุดจบของมันจะเหมือนกับมังกรดำตัวที่อยู่กับสามเณรคู่หูหรือไม่สิ?



 

โปรดมังกรดำ ตอน โปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง

ในช่วงของการบำเพ็ญบารมีโปรดมังกรดำนั้น มังกรดำได้ช่วยกิจเราหลายอย่างมาก แ่ต่เพราะความที่เขาควบคุมพลังดำในตัวเองไม่ได้ ทำให้เขาทำผิดพลาดยิ่งใหญ่ คือ ทะยานขึ้นฟ้าแล้วไปอารวาดบนสวรรค์ ทำเอาวิมานเทวดาพังกันไปหลายชั้นเลย สุดท้าย เมื่อพระยูไลปราบแล้ว เขาก็ต้องถูกกักตนอยู่ในภูเขาแห่งหนึ่ง (คล้ายซุนหงอคงมาก) คิดดูก็น่าสงสาร เพราะเขาไม่ได้ร้ายกาจโดยจิตใจแท้จริง แต่เป็นเพราะการทำกิจที่ต้องกินพลังดำเข้าไปมากนั่นเอง เมื่อหมดมังกรดำตัวที่หนึ่งไปแล้ว ต่อมา สามเณรคู่หูจึงได้บำเพ็ญบารมี จนได้มังกรดำตัวใหม่มาอีก คราวนี้ ตัวมันเล็กมากๆ และไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเลย ทว่า มันเป็นมังกรดำที่ค่อนข้างขี้ขลาดสักหน่อย อาจเพราะมันรู้อะไรมาก่อนหน้านี้ก็ได้กระมัง ดังนั้น เบื้องบนจึงมีคำสั่งบอกผมมาว่า "ให้โปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง" ผมก็คิดในใจว่าการโปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง จะต้องใช้เวลาไม่น้อยเลย ประกอบกับมังกรดำอยู่ในตัวของสามเณรคู่หู ซึ่งหลังๆ มานี้ เขาเริ่มคุมมันไม่ได้ และทำให้ผมเริ่มหนักใจ พยายามหาวิธีปลดภาระนี้ออกไป หากจะโปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง คงไม่อาจที่จะใช้เวลาสั้นๆ ได้ นั่นหมายความว่าจะต้องทนอยู่กับสามเณรคู่หูซึ่งถูกมังกรดำครอบงำไปอีกนาน ประกอบกับมีความเห็นส่วนตัวว่าถ้าเขาอยู่กับเรานานเกินไป ก็จะติดเรา และไม่อาจมีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อาจมีอิสระได้ เราไม่ได้ต้องการให้เขาเป็นผู้ติดตามเราตลอดไป เราเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เขาก็จะต้องเติบโตและยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง อีกทั้ง การอยู่แบบนี้ ทำให้ประมาทหลงบุญเพราะสบายเกินไป สามเณรยังอายุน้อยคือเพิ่งอายุย่างเข้า ๑๕ ปีเท่่านั้น สมควรได้เปิดหู เปิดตา ดูโลกด้วยตัวเอง คิดเอง เรียนรู้เอง น่าจะเหมาะสมกว่าการที่ถูกผมควบคุมอยู่ตลอด เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว จึงปฏิเสธไป


พอผมปฏิเสธแล้ว "พระกษิติครรภ์" ที่อยู่เบื้องบนก็มาทำการโปรดเอง ท่านใช้เชือกทิพย์มัดเจ้ามังกรดำตัวน้อยไว้แน่น แล้วก็อัดพลังธรรมของท่านใส่เข้าไปเลย มังกรดำหนีไม่ได้ มันถูกซักฟอกกลายเป็นมังกรทองในเวลาไม่นาน (ว้าว เก่งจังอ่ะ?) เรียกว่า ท่านมาสอนผมให้เห็นว่าผมไม่อยากทำเพราะคิดว่ามันนานใช่ไหม ท่านก็เลยทำให้ดูเสียเลยว่านี่ไง แป้บเดียวเองเสร็จแล้ว แล้วท่านก็ไปเลย (ผมรู้สึกเหมือนโดนด่าว่าเป็นคนเกียจคร้านเลยครับ) ทำให้มังกรทองตัวนั้น มีอาการหวาดกลัวค่อนข้างมาก เพราะคงตกใจที่ถูกซักฟอก ถูกอัดพลังอย่างแรงและรวดเร็ว ต่อมา ผมมีธุระจำเป็นต้องเดินทางไปพิษณุโลก ทำให้ผมต้องปล่อยให้สามเณรอยู่ในกุฎิรูปเดียว ผลคือ สามเณรก็ถูกพระทั้งหลาย รุมเล่นงานและกดดัน จนเขาไม่อาจที่จะอยู่ได้อีกต่อไป ไม่นานเท่าไร แม่ของเขาก็ต้องมารับและสึกจากสามเณรไป (ก่อนหน้านี้ เขาก็ได้ทำการอธิษฐานถวายบุญผ้าเหลืองและบุญอื่นๆ ให้ผู้อื่นด้วยครับ) เป็นอันว่าเขาหมดบุญผ้าเหลือง แต่ก็จะได้ไปบำเพ็ญบารมีด้วยตนเองต่อไป เรื่องราวการโปรดสามเณรรูปนี้ จึงใช้เวลาร่วม ๑ ปีเชียวครับ...



 

โปรดมังกรดำ ตอน ผจญอสูรมหิงสา

เรื่องราวการโปรดมังกรดำยังไม่สิ้นสุด เพราะมังกรดำได้ทำหน้าที่ต่างๆ มากมายเลยทีเดียว เริ่มจากเมื่อมันยังไม่เติบโตมาก มันก็ทำงานเล็กๆ ก่อน พอมันเริ่มเติบโตใหญ่ขึ้น มันก็เริ่มทำงานใหญ่ได้มากขึ้น และกินมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ในช่วงนั้น เราฝึกอภิญญาอยู่ ก็ได้รับการทดสอบจาก "โลกทิพย์" ซึ่งแท้แล้วก็คือมิติที่ทับซ้อนกับเรานี่แหละครับ เช่น คนบางคนอาจไม่รู้ตัวว่าจิตวิญญาณของเขา ได้ทำกิจอะไรบ้าง ในโลกทิพย์ จิตวิญญาณนั้นก็ทำหน้าที่ในโลกทิพย์ไป สอดคล้องกับสังขารบ้าง ไม่สอดคล้องบ้าง เป็นธรรมดา ในที่สุด เราก็ได้รับการทดสอบจาก "เจตภูติ" ของมนุษย์คนหนึ่ง เขาอยู่ที่ประเทศจีน เป็นคนที่มีอำนาจไม่ใช่น้อยๆ เจตภูติของเขามีรูปนามเป็น "อสูรมหิงสา" อสูรตนนี้ ต่างจากอสูรทารุณตรงที่มันมีทั้งพลังอำนาจและเล่ห์เหลี่ยมจัด ในขณะที่อสูรทารุณไม่ใช่พวกที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัด และต่างจากอสูรราหูตรงที่มันมีฤทธิ์มากกว่าอสูรราหู ดังนั้น มันจึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของอสูร ที่มีทั้งเล่ห์เหลี่ยมและอิทธิฤทธิ์ อสูรตนนี้ ถ้าปล่อยไว้อาจนำพาเอเชียเข้าสู่สงครามได้ จึงต้องหาทางเคลียร์ก่อนที่จะกลายเป็นภัยใหญ่ ทว่า มันก็ไม่ธรรมดา เพราะอสูรตนนี้ มีหลายเศียร, หลายกร มีอาวุธทิพย์ต่างๆ มากมาย และเคยได้ยินมาว่าจะปราบอสูรมหิงสาก็ต้องอาศัย "พระแม่ทุรคา" จึงจะปราบได้ แต่ว่า เราสองคนไม่มีใครเป็นผู้หญิงเลย แล้วจะบำเพ็ญเป็นพระแม่ทุรคาได้อย่างไร? ก็เลยไม่รู้่ว่าจะทำอย่างไรดี มัวแต่คิดอยู่นั้นเอง เจ้ามังกรดำก็ทำกิจของมัน คือ ออกไปกินอสูรมหิงสาตนนี้เฉยเลย? มันกินเข้าไปเลย ง่ายมาก จบง่ายๆ อย่างนั้นเอง?


ทำเอาผมงง อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น มันง่ายเกินไปหรือเปล่า? แล้วมันจะเกิดผลกระทบด้านอื่นตามมาบ้างไหม? (มีแน่นอน ซึ่งก็คือ มังกรดำมีำพลังดำมากเกินไป จนควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วทะยานขึ้นฟ้าไปอารวาดบนสวรรค์ ที่เคยเล่าให้ฟังแล้วนั่นไงครับ) ต่อมา จิตวิญญาณมารเทวทัตก็ลงมาประจำในร่างของคนจีนคนนั้น อยู่แทนอสูรมหิงสา ทำให้ "วิถีกรรม" เปลี่ยน คือ แทนที่จะเกิดสงครามขึ้นอาจจะไม่เกิดแล้ว   เพราะพวกมารไม่ใช่พวกอสูร จะไม่บ้าทำสงครามเหมือนพวกอสูร แต่มารเทวทัตนี้ จะมีเล่เหลี่ยมจัดมาก มีการค้าขายแบบผูกขาด ไม่เป็นธรรม และเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ซึ่งเราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันจะต้องมีวิบากกรรมกันบ้าง จะให้ทุกอย่างดีไปหมดเลยคงไม่ได้ ผมเลยถามพระกวนอิมเกี่ยวกับมารเทวทัต ท่านก็ให้ปริศนาธรรมมาประมาณว่า "เทวทัตคือพ่อของพญามาร" อะไรแบบนั้น นั่นคือ ความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งมันก็น่าจะใช่อยู่บ้าง เพราะหลังจาก "คนจีน" คนนี้ ออกจากอำนาจแล้ว คนต่อไปที่มาแทนก็คือ "พญามาราธิราชโพธิสัตว์" มีอดีตชาติคือ "เป้าบุ้นจิ้น" ชอบใช้กฏหมายเล่นงานคนอื่น จับผิดด้วยการใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือ อันเป็นเอกลักษณ์ของพญามารตนนี้ นั่นเอง (ก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดีนะครับ)



 

โปรดมังกรดำ ตอน มังกรดำกินพระภูมิ

เรื่องราวการโปรดมังกรดำยังไม่จบสิ้น เมื่อมังกรดำตนนั้นในช่วงที่ยังไม่ถูกทัณฑ์สวรรค์ ยังคงทำกิจอยู่ ในขณะที่ทำิกิจให้เราอยู่นั้น มันก็ทำนอกเรื่องไปตามใจมันด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ตอนที่พระกวนอิมมอบมังกรดำให้แก่พวกเรา ท่านก็ได้ให้ "ของทิพย์วิเศษ" อย่างหนึ่งติดมาด้วย นั่นคือ "กระดิ่งทิพย์" ท่านบอกวิธีใช้คือ "อธิษฐานให้กระดิ่งทิพย์อยู่ในหูของมังกรดำ" ถ้ามังกรดำดื้อ หรือไม่เชื่อฟัง ก็ให้อธิษฐานสั่นกระดิ่งทิพย์ คล้ายๆ "รัดเกล้า" ของซุนหงอคงฉะนั้น (ที่สวดมนต์แล้วให้รัดศีรษะได้) เป็นอันว่าสบายใจขึ้น ไม่ต้องถึงกับลงมือรุนแรงกับมังกรดำ เอาแค่ทำให้รำคาญจนยอมเราก็พอ มังกรดำก็เลยอยู่กับพวกเรา และช่วยงานต่างๆ ด้วยการเล่นงานศัตรูบ้าง, กินของดำของฝ่ายตรงข้ามบ้าง ฯลฯ จนกระทั่งวันหนึ่ง มันก็ก่อเรื่องจนได้ เมื่อผมเผลอ ในช่วงนั้น บ้านผมเคยมีพระภูมิอยู่ตนหนึ่ง พระภูมิตนนี้คือ "ตา" ของผมเองที่ตายไปแล้ว มาเกิดเป็นพระภูมิประจำบ้าน แต่แล้วผมโปรดตาจนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไป ทำให้ ตำแหน่งพระภูมิว่างลง เจ้าแม่กวนอิมก็เมตตาแบ่งภาคลงมาเป็นพระภูมิให้ ตอนแรกผมคิดจะช่วยทำให้ท่านได้บารมีและอิทธิฤทธิ์ แต่ท่านปฏิเสธบอกว่า "รูปนามและสิ่งที่เป็นอยู่ ก็พอดีแล้ว" คือ ท่านต้องการมาเป็นพระภูมิธรรมดา เท่านั้นเอง ทว่า มันก็เกิดเรื่องจนได้ เมื่อ "มังกรดำ" คงมีจิตอาฆาตพระกวนอิม ที่ทำให้มันกลายสภาพจากมารเป็นมังกรดำ และให้กระดิ่งทิพย์ผมมาคุมมันอีก มันก็เลยเล่นงานพระภูมิซึ่งไม่ค่อยมีฤทธิ์แทน ด้วยการ "กินพระภูมิ" บ้านผมไปเลย ผมมารู้ก็ภายหลังเสียแล้ว ตอนนั้น "มารเทวทัต" ก็เข้ามาแทรกอยู่ในพระภูมิทันที ผมเห็นท่าไม่ดีแล้ว เพราะพ่อก็เริ่มมีอาการเหมือนเทวทัตเสียอีกด้วย


ซึ่งในช่วงตั้งพระภูมินั้น แม่ได้จ้างให้ "คนแถวบ้าน" คนหนึ่ง ที่ชุมชนของเราเชื่อถือศรัทธาว่าเป็นคนเก่ง ที่ตั้งพระภูมิได้ดี มีวิชาอาคม คนๆ นี้ตอนแรกก็บอกว่ามีค่าครู ๑๐๐ บาทเอง แม่ก็ตกลง ต่อมา กลับคำมาเพิ่มค่าอะไรอีกก็ไม่รู้ (เริ่มมีเล่ห์เหลี่ยมแล้ว) แม่ก็ยอมๆ ไป เมื่อคนทำพิธีขึ้นพระภูมิมีจิตเช่นนี้ผมก็ได้มารเทวทัตมาเป็นพระภูมิ ต่อมา ผมจึงร้องขอต่อ "หลวงพ่อโต" เพราะเริ่มไม่ค่อยไว้ใจบางคนเสียแล้ว (มังกรดำอยู่ในตัวสามเณรคู่หู แต่กลับถูกปล่อยให้มากินพระภูมิเราได้?) หลวงพ่อโตก็ให้พระภูมิมา "เป็นยักษ์" ท่านบอกว่าพระภูมิที่เป็นยักษ์นี้จะดุหน่อย แล้วเข้ากันได้กับทั้งพวกเทพและพวกอสูร (มังกรดำเป็นเทพอสูร) เมื่อไ้ด้พระภูมิที่เป็นยักษ์มาแล้ว ผมสังเกตุว่าแม่ก็ดูดุึขึ้นด้วยครับ เป็นอันว่าเรื่องพระภูมิก็จบลงไป  



 

โปรดมังกรดำ ตอน มังกรดำกินมาร?

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมได้โปรดมังกรดำ (แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับ "โดม มังกรดำ" นะครับ) ก่อนที่มังกรดำจะมีจุดจบคือ โดนทัณฑ์สวรรค์ไปนั้น เขาก็ได้ทำกิจอะไรๆ มากมาย โดยเฉพาะการ "กินของดำ" ผมเพิ่งเข้าใจว่ามังกรดำมีคุณสมบัติแบบนี้ ซึ่งมันจะทำให้คนที่เล่นของ ไสย์ดำ ค่อยๆ หมดฤทธิ์ไป และที่ไหนมีคนเล่นของ ไสย์ดำมาก มังกรดำก็จะชุกชุม แต่มันอาจจะอาศัยร่างมนุษย์เป็นพาหะชั่วคราวเท่านั้น ทำให้มนุษย์คนนั้นมีฤทธิ์มาก เช่น เป็นเด็กแว้นท์ที่ไม่มีใครกล้าต่อว่า, ไม่มีใครกล้าหือ หรืออาจจะอยู่กับคนค้ายาบ้า ทำให้พวกเขาไม่โดนจับ แต่เมื่อไรที่มังกรดำเหล่านี้ เห็นท่าว่าร่างมันไม่ได้เรื่อง หมดบุญ หรือไม่เอาไหน ไปต่อไม่ได้แล้ว มังกรดำก็จะทิ้งร่างนั้นไปหาร่างใหม่ทันที โดยที่ร่างนั้นไม่รู้เื่รื่องอะไร ไม่อาจควบคุมเกมได้เลย สุดท้าย ร่างนั้นที่เป็นมนุษย์ ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ รับกรรมที่ก่อไว้ (เคยทำร่วมกับมังกรดำ) ไปเพียงคนเดียว หลายคนถูกจับ บางคนก็ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน (ตอนมีมังกรดำอยู่ ซิ่งผาดโผนได้่ พอมังกรดำไปแล้ว ก็เกิดอุบัติเหตุ) ดังนั้น คนที่โปรดมังกรดำได้ จึงต้องมีบารมีคุ้มตัว พอตัว ถ้ามีไม่มากพอ ก็จะพบจุดจบไม่ดีได้ (หลังจากเสียมังกรดำไป) และไม่ควรปล่อยให้มังกรดำใช้ร่างไปทำกรรมเสื่อม เพราะเมื่อทำแล้ว มังกรดำจรจากไม่ยอมรับผิดชอบ แต่ร่างมนุษย์ กลับต้องรับผิดชอบไปเพียงผู้เดียว และข้อพึงระวังอีกประการคือ เมื่อมังกรดำกินพลังดำมาใหม่ๆ มันจะเหมือนถูกครอบงำด้วยพลังดำนั้นๆ เช่น ถ้ามันกินพลังดำของมาร มันก็จะมีความคิดจิตใจเหมือนมารตนนั้นไประยะหนึ่ง แต่แล้ว พอมันย่อยสลายพลังเป็นอาหารได้หมด มันก็จะกลับปกติ แต่มันจะร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ เพราะพลังดำในตัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันโตขึ้นเรื่อยๆ และจะควบคุมมันได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนี้ บางท่านจึงไม่นิยมโปรดมังกรดำ แต่ละเลือกโปรดมังกรขาว, มังกรเขียว แทน ซึ่งมังกรบางตนก็เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญธรรม เ่ช่น มังกรขาว จะดูดกินพลังขาวของพวกพราหมณ์ฤษี เมื่อเติบโตขึ้น พลังภาคขาวมากขึ้น ก็ไม่มีปัญหาแบบมังกรดำ


ทีนี้ มาดูมังกรดำตนนี้บ้าง วันหนึ่ง ผมได้เข้าเว็บไซต์บางเว็บ และพบว่าที่นี่เป็นชุมนุมของนักปฏิบัติธรรม แต่ทำไม คนที่เข้ามาจึงดูแปลกๆ และชอบทะเลาะเบาะแว้งกันประจำยากแก่การถ่ายทอดธรรมเป็นอย่างมาก วันหนึ่ง สามเณรคู่หูจึงใช้ตาทิพย์ดูให้ ก็พบว่า "มีกายทิพย์มาร" แทรกอยู่ในกลุ่มผู้ทำเว็บๆ นั้น (คนๆ นี้ผมเคยเห็นเขาเขียนบอกเรื่องตัวเองว่าจะหมดอายุขัยไว้ด้วย) เขาก็เลยส่งมังกรดำไปจัดการ มังกรดำไม่พูดพล่ามทำเพลง "มันกินอย่างเดียว" คือ กินกายทิพย์มารนั้นเข้าไปเลย ทำให้ "ดวงจิต" ของคนผู้นั้น จรไปมาอยู่ในร่าง วิ่งวุ่นไปทั่ว ผมเห็นท่าจะไม่ดี ถ้าดวงจิตจุติออกจากร่าง เขาอาจจะตายได้ จึง "ถอดกายทิพย์" ชั้นหนึ่ง เพื่อ "ครอบขันธ์" เขาไว้ทันที กายทิพย์นั้นคือวิญญาณขันธ์ที่จะไปแทนที่กายทิพย์มารของเขาที่ถูกมังกรดำกินไปนั่นหละ เมื่อจิตและวิญญาณของเขาประสานกันได้แล้ว ปัญหาก็จบ (จะเห็นได้ว่าการทำงานของเรา ต้องพึ่งพากัน ทำเป็นคู่ ขาดกันไม่ได้ใช่ไหมครับ) เรื่องก็เลยจบลงเช่นนี้



 

โปรดมังกรดำ ตอน กำเนิดมังกรดำ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงการบำเพ็ญบารมีร่วมกับ "เทพนักษัตรพาหนะทรง" ซึ่งผมและสามเณรคู่หู กำลังสนใจโปรดมังกรพอดี ในช่วงนั้น ผมได้พูดคุยกับบางคนในอินเตอร์เน็ต แล้วก็มีพลังแทรกผ่านจากคนๆ นั้นเข้ามา ผมสัมผัสได้ว่าแปลกๆ แล้ว จึงรีบกลับมาคุยกับสามเณรคู่หูๆ เขาช่วยเพ่งดูให้ ก็พบ "มารตนหนึ่ง" แทรกเข้ามาครับ มารตนนี้ เมื่อมองทางทิพย์มีลักษณะคล้ายนักการเมือง ใส่เสื้อสูทอะไรแบบนั้น (แปลกดีเนอะ?) ผมก็พยายามโปรด แต่เขาก็เป็นมารอ่ะนะ ก็เลยไม่ได้เชื่อฟังเราเลยแม้แต่น้อย (สงสัยผมพูดไม่ถูกจุดด้วยครับ) พอเอาไม่ไหวแล้ว "พระกวนอิม" ท่านจึงช่วยครับ ตอนนั้น ท่านน่าจะใช้ "ฝ่ามือยูไล" ลงมาเป็นฝ่ามือใหญ่มาก แล้วจับเอามารไปกับฝ่ามือนั้นไปเลย ผ่านไปไม่นาน เขาก็กลับมาอีกที "กลายเป็นมังกรดำ" ไปแล้ว ผมไม่ทราบว่าพระกวนอิมใช้วิธีไหนจึงทำให้มารกลายเป็นมังกรดำไปได้ครับ คราวนี้ เขามาเป็นพาหนะทรงให้สามเณรคู่หูของผม และผมก็คอยโปรดมังกรดำตนนี้อีกที (เขาดื้อมากน่ะครับ) มังกรดำตนนี้ "ดูดกินพลังปราณดำ" ทำให้มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเริ่มจากดูดกินพลังปราณดำ จากนั้น พอมันโตใหญ่ขึ้น มันก็เริ่ม "กินมารเล็กๆ ไปทั้งตัวเลย" (ผีกินผี?) มันก็เลยมีพลังมากขึ้น ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไรนัก วันหนึ่ง มันได้ดูดกินพลังของของทิพย์ภาคดำอันหนึ่ง มีลักษณะเหมือนท่อดูดกายทิพย์คนได้ (เจ้าแม่กวนอิมบอกว่าท่อดูดกายทิพย์นี้ ดูดกายทิพย์คนให้เข้าเว็บๆ หนึ่ง ทำให้คนไม่อาจออกมาได้ จิตใจพัวพันกับเว็บนั้นๆ เพราะกายทิพย์ของเขาอยู่ดูดไว้ในนั้น) มันเป็นท่อที่มีหลายปลาย เหมือนงูมีหลายหัวนั่นแหละ จำไม่ได้ว่า ๔ หรือ ๕ หัวครับ มังกรดำตัวนี้ก็ไปดูดกินมาเฉยเลย (ก่อนหน้านี้ มังกรดำจะดูดกินของดำ ของทิพย์ของภาคดำ เขาเก็บกินเป็นอาหารหมดครับ จนเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ)


นอกจากนี้ มังกรดำยังได้กิน "กายทิพย์มาร" ของคนๆ หนึ่งในเว็บบางเว็บเข้าไป ทำให้ร่างนั้นมีแต่ดวงจิต วิ่งจรไปมา (ยังไม่จุติออกจากร่าง) แต่วิญญาณ (กายทิพย์) หุ้มจิตไม่มีแล้ว ผมเลยต้องถอดกายทิพย์ชั้นหนึ่งครอบไว้ให้เขา (ทำให้จิตวิญญาณประสานกันได้ ไม่จุติจากร่าง) และต่อมามังกรดำก็ได้กินพลังของอสูรร้ายตนหนึ่ง ซึ่งมีฤทธิ์มากอีกด้วย (ไว้ผมจะเล่าเรื่องของอสูรร้ายตนนี้ ในภายหลัง) ในที่สุดจึง ทำให้มันกลับมากลายเป็น "มังกรสี่เศียร" ซึ่งผมงงมาก? เพราะไม่เคยเห็นว่าจะมีแบบนี้ ปกติจะเห็นแต่พญานาคเท่านั้นที่มีหลายเศียร ผมคิดว่ามันได้สำเร็จภาวะของมันอย่างหนึ่งแล้ว (เช่น ที่เขาเรียกว่ามังกรมารไง) ทีนี้ มันเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วละ (เพราะกินพลังมารมากเกินไป) มันก็เริ่มครอบงำสามเณรคู่หู และนำพาให้คิดนอกลู่นอกทาง ผมเห็นท่าจะไม่ดี ทำยังไงดีหว่า มันเริ่มจะอารวาดและไม่อยู่ในการควบคุม ผมหาวิธีเอาชนะโดยปัญญา เพราะเห็นท่าจะสู้ด้วยฤทธิ์ไม่ไหว (ขนาดอสูรร้ายกาจมากๆ มันยังกินไปได้เฉยเลย) แต่ก็ไม่จบ มันร้อนวิชาหรือบ้าพลังก็ไม่รู้ ทะยานฟ้าขึ้นไป อารวาดบนสวรรค์ จากชั้นหนึ่งไปสู่ชั้นสอง ขึ้นไปเจออะไรก็ทำลายดะหมด ไม่มีเทพองค์ไหนจะปราบมันได้เลย สุดท้าย พระยูไลเบื้องบนพระองค์หนึ่ง ลงมาจากสุขาวดี รอมันอยู่ ณ สวรรค์ในโลกเรานี้ชั้นไหนก็ไม่ทราบ ท่านก็ลงมาปราบมัน ตอนนั้นผมอยากทราบว่าท่านปราบด้วยวิธีไหน จึงให้สามเณรคู่หูคอยดูไว้ ทันใด พระยูไลพระองค์นั้น ท่านก็ใช้วิธีพราง ทำให้มืดไปเลย และมองไม่เห็นครับ กลับมาอีกที มังกรดำมันก็ร่วง (แต่ไม่ตายนะครับ) แล้วถูกลงทัณฑ์ กักขังไว้ ณ ภูเขาแห่งหนึ่งบนโลกนี้ ไม่รู้ว่านานเท่าใด ท่านข้างบนไม่ได้บอกครับ เรื่องของมังกรดำ ที่สำเร็จเป็นมังกรมาร จึงจบลงด้วยประการฉะนี้ ฉบับหน้า จะได้กล่าวถึงรายละเอียดของมังกรดำตนนี้ ที่ได้ปราบอสูรร้ายบางตนว่ามันทำได้อย่างไีรครับ สำหรับบทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้