เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะบวชเป็นเณร ตอนนั้นผมเริ่มฝึกฤทธิ์ได้มากพอควรแล้วในเพศฆราวาสก่อนหน้านี้ก็ห่มขาวปฏิบัติพื้นฐานสมาธิ แต่หลังจากนั้น ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาฝึกอภิญญา แต่เป็นสายมหายานนะครับ เมื่อผมได้อาจารย์ผู้เป็นฆราวาสมีสำนักตั้งอยู่บนดอย (ที่ผมเรียกว่าดอยสราญรมย์ เพราะอาจารย์ตั้งชื่อสำนักประมาณว่าสุขวิปัสโก อะไรแบบนั้น) ในช่วงที่สำนักยังไม่ล่มนั้น ผมได้ไปฝึกกับอาจารย์หลายท่าน อาจารย์ที่่ดูแลผมเป็นหลัก ได้แนะนำท่านผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ที่ท่านพิจารณาเห็นแล้วว่า "ผ่าน" มาให้ผมได้พบเจอและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนนั้น มีหลายท่านอยู่ แต่ละท่านก็ฝึกฤทธิ์คนละแบบ เช่น บางท่านก็หนักมาทางธาตุดิน, บางท่านหนักมาทางธาตุน้ำ, บางท่านหนักมาทางธาตุลม, บางท่านหนักมาทางธาตุไฟ เราก็จะใช้วิีธีประสานฝ่ามือกันเพื่อปรับสมดุลให้กันและกัน บางอย่างที่เรามีมากเกินไป ก็จะถ่ายเทไปสู่คนที่มีน้อย บางอย่างที่เรามีน้อยก็จะได้รับมาเพื่อเรียนรู้ต่อไป ช่วงนั้น ก็ได้พบอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมักเรียกพวกเราว่า (รวมทั้งตัวท่านเองด้วย) พวก "ผีบ้า" คือ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา แล้วก็ดูไม่่ค่อยสร้างภาพสักเท่าไร เลยเหมือนผีบ้าไปเสียอย่างนั้น แต่ผมคิดว่านั่นคือ คำชม ของอาจารย์มากกว่า เพราะสำหรับผมแล้ว "ผีบ้า" หมายถึง คนที่กล้าหาญที่จะเอาตัวเองออกมาจากปลักอาจมของเหล่่าสังคมฟอนเฟะ เพื่อค้นหา, ทดลอง, ปฏิบัติ สิ่งใหม่ๆ อันจะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ มันก็เลยเหมือนว่าเราบ้า หรือเหมือนผี ไม่ค่อยเหมือนผู้คนในบางครั้งก็เท่านั้นเอง อาจารย์ท่านนี้ก็ไม่ธรรมดา ไม่ใช่ว่าผมจะหลงหรือยกยออาจารย์ัตัวเองนะครับ เพราะผมไม่ได้บอกชื่อให้ใครทราบเลยนี่ครับ ไม่เคยเอาชื่อเสียงของอาจารย์มาอวดอ้างหากินว่าฉันเป็นศิษย์หลวงปู่คนดัง หลวงพ่อคนดี คนนั้นคนนี้นะ จะได้รับการยอมรับ และลาภสักการะมากมาย อย่างนั้น ผมไม่เคยทำครับ ทำให้พวกชอบใส่ร้าย มาใส่ร้ายหาว่าผมเป็นศิษย์ไม่มีครูบ้าง พวกบ้าอยากได้ลูกศิษย์ เหมือนราชครูจิวหม่อจื้อ ในเรื่องแปดเทพอสูรฯ ก็มาหลอกผมให้ไปเคารพบ้าง ถ้าผมไม่เคารพเขาๆ ก็จะหาว่าผมดื้อด้าน สอนไม่ได้ หลงตัวเอง มีทิฐิมาก แต่มันไม่จริงหรอกครับ เพราะผมไม่เคยทำแบบนั้นกับครูบาอาจารย์ของผม และผมเป็นคนรู้ัจักเลือกครับ ถ้าไม่ดีจริง ถ้าไม่ทำตัวน่านับถือในสายตาผมจริงๆ มีหรือว่าผมจะรับเขาเป็นอาจารย์ได้ (หลวงปู่ หลวงพ่อดังๆ ทั้งหลายที่ท่านหลงไหลคลั่งไคล้กันจนต่อมน้ำตาจะแตกพลั๊กๆ นั้น ผมไม่เคยไปเป็นศิษย์ใคร องค์ไหนเลยนะครับ จะมีก็แต่หลวงปู่ หลวงพ่อที่มรณภาพไปแล้ว เป็นครูอาจารย์ผมทางโลกทิพย์ครับ)
แล้วเราทั้งหมดก็ได้เข้ามาล้อมวง "ปรับพลังภายใน" กันครับ ก็ง่ายๆ เพราะเราต่างคนก็ต่างปฏิบัติมาไม่น้อยแล้วนี่ครับ มาถึงตรงนี้ ไม่ใช่เวลาต้องมาฝึกอะไรกันมากอีกแล้ว เราก็แลกเปลี่ยนพลัง ปรับสมดุลพลังให้กันและกันเลย อาจารย์ทุกท่านในที่นี้ ไม่มีใคร "บ้าอยากใหญ่" ไม่มีใครทำตัวเหมือนองค์ลงแล้ว มาจับหัวคนอื่นกดลง (ผมเห็นเยอะครับ หลายที่เวลาองค์ลง ก็จะมาทำตัวเหนือคนอื่น กดคนอื่นลง ไม่ใช่มารยาทที่ดีของเทพชั้นสูงเลยครับ) เราต่างถือว่า "ธรรมเสมอภาคด้วยธรรม" แม้ผมอายุน้อย และไปทีหลัง ท่านอื่นๆ ก็นั่งคุยกับผมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และแลกเปลี่ยนกันเหมือนคนธรรมดาคุยกัน ไม่มียศศักดิ์ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือใครต่ำกว่าใครครับ เราก็แลกเปลี่ยนพลังด้วยการประสานฝ่ามือ ล้อมเป็นวงกลม (มี ๔ หรือ ๕ คน เห็นจะได้ครับ) สักพักหนึ่ง อาจารย์เจ้าสำนัก ซึ่งพอจะเห็นมิติทิพย์ได้บ้าง (แต่บางครั้งก็ไม่ได้ครับ) ซึ่งนั่งหลับตาเพ่งดูไปด้วย ก็บอกว่า "เห็นเป็นสายรุ้ง ประสานกันไปมาบนฟ้าเต็มไปหมด" ประมาณนั้น ผมเคยอ่านเรื่องของพุทธวัชรยาน เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ "พลังสายรุ้ง" และซกเชนไว้ เหมือนกับว่าเราจะต้องบำเพ็ญบารมีจนได้ "ฉัพพรรณรังสีเหมือนสีของสายรุ้ง" และถ้าได้แล้วก็นับว่าได้ซกเชนอะไรแบบนั้น (ไม่ขอสรุปว่าจริงเท็จประการใด ท่านไปศึกษาเอาเอง คิดเอง ลองเอง ให้เห็นผลจริงก่อน ก็แล้วกันนะครับ) อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีฉัพพรรณรังสี ๖ สี เป็นต้น ซึ่งพุทธะแต่ละพระองค์จะมีกันทั้งนั้น ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เช่น บางองค์อาจมี ๗ สี บางองค์อาจสว่างไปครึ่งจักรวาล แต่บางองค์ก็สว่างไปแบบไม่มีประมาณ นั่นเป็นเรื่องของฉัพพรรณรังสีก็เท่านั้นเองครับ จบ!
แล้วเราทั้งหมดก็ได้เข้ามาล้อมวง "ปรับพลังภายใน" กันครับ ก็ง่ายๆ เพราะเราต่างคนก็ต่างปฏิบัติมาไม่น้อยแล้วนี่ครับ มาถึงตรงนี้ ไม่ใช่เวลาต้องมาฝึกอะไรกันมากอีกแล้ว เราก็แลกเปลี่ยนพลัง ปรับสมดุลพลังให้กันและกันเลย อาจารย์ทุกท่านในที่นี้ ไม่มีใคร "บ้าอยากใหญ่" ไม่มีใครทำตัวเหมือนองค์ลงแล้ว มาจับหัวคนอื่นกดลง (ผมเห็นเยอะครับ หลายที่เวลาองค์ลง ก็จะมาทำตัวเหนือคนอื่น กดคนอื่นลง ไม่ใช่มารยาทที่ดีของเทพชั้นสูงเลยครับ) เราต่างถือว่า "ธรรมเสมอภาคด้วยธรรม" แม้ผมอายุน้อย และไปทีหลัง ท่านอื่นๆ ก็นั่งคุยกับผมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และแลกเปลี่ยนกันเหมือนคนธรรมดาคุยกัน ไม่มียศศักดิ์ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือใครต่ำกว่าใครครับ เราก็แลกเปลี่ยนพลังด้วยการประสานฝ่ามือ ล้อมเป็นวงกลม (มี ๔ หรือ ๕ คน เห็นจะได้ครับ) สักพักหนึ่ง อาจารย์เจ้าสำนัก ซึ่งพอจะเห็นมิติทิพย์ได้บ้าง (แต่บางครั้งก็ไม่ได้ครับ) ซึ่งนั่งหลับตาเพ่งดูไปด้วย ก็บอกว่า "เห็นเป็นสายรุ้ง ประสานกันไปมาบนฟ้าเต็มไปหมด" ประมาณนั้น ผมเคยอ่านเรื่องของพุทธวัชรยาน เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ "พลังสายรุ้ง" และซกเชนไว้ เหมือนกับว่าเราจะต้องบำเพ็ญบารมีจนได้ "ฉัพพรรณรังสีเหมือนสีของสายรุ้ง" และถ้าได้แล้วก็นับว่าได้ซกเชนอะไรแบบนั้น (ไม่ขอสรุปว่าจริงเท็จประการใด ท่านไปศึกษาเอาเอง คิดเอง ลองเอง ให้เห็นผลจริงก่อน ก็แล้วกันนะครับ) อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีฉัพพรรณรังสี ๖ สี เป็นต้น ซึ่งพุทธะแต่ละพระองค์จะมีกันทั้งนั้น ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เช่น บางองค์อาจมี ๗ สี บางองค์อาจสว่างไปครึ่งจักรวาล แต่บางองค์ก็สว่างไปแบบไม่มีประมาณ นั่นเป็นเรื่องของฉัพพรรณรังสีก็เท่านั้นเองครับ จบ!