ศึกไสยศาสตร์ ตอนที่ ๒

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณร และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลืออยู่ด้วย เรื่องเริ่มจากเมื่อเราเริ่มฝึกอภิญญากันนั้น ที่วัดมีเจ้าอาวาสอยู่คนหนึ่งที่ชอบเรื่องไสยศาสตร์มาก ท่านมีอาจารย์ที่เป็นฆราวาสอยู่อายุมากพอควร แล้วทั้งหมดนั้นก็ขลุกอยู่กับเรื่องเวทย์มนต์คาถา่ต่างๆ อันเป็นเรื่องธรรมดาของคนในชนบทอย่างเรา ส่วนพวกผมนั้น ไม่ไ้ด้นิยมคาถาเท่าไรนัก เพราะพูดตามความจริงคือ ผมเป็นคนขี้เกียจจำ ไม่ชอบจำอะไรทั้งนั้น ยกเว้นว่ามันจะน่าสนใจจริงๆ แล้วมันประทับใจเราเอง เราไม่ต้องไปท่องจำ มันก็ชัดเจนในใจเราเอง อะไรแบบนั้น แรกๆ ที่ผมอยู่วัดเราก็ค้นพบว่าอย่างแรก กุฏิที่ผมอยู่นั้นมีพระพุทธรูปเก่าๆ องค์หนึ่ง ใต้ฐานมีกระดาษเขียนคาถาติดไว้ เป็นคาถาเมตตามหานิยมอะไรแบบนั้น ก็คงไม่ได้เอาไว้ให้เราหรอก แต่เขาคงทำไสยศาสตร์เอาไว้ให้ตัวเองนานแล้ว เราก็เคลียร์ออกไป ยังไม่จบ เนื่องจาก เจ้าอาวาสรูปนี้ ซึ่งมีฉายาทางพระที่เขาแต่งตั้งกันแปลว่า "ญาณแจ่มใส" ด้วยสิ เพราะว่าหูทิพย์ตาทิพย์ชัดแจ๋ว เวลาทำนายทายทักอะไรใคร ก็จะมี "พรายกระซิบ" คอยบอกเรื่องราว ทำให้เหมือนรู้ไปหมดทุกอย่าง แล้วก็เห็นมิติทิพย์ ภูติผี, เทวดา ด้วย เรียกว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่าสามเณรคู่หูของผมเลย แถมยังเชี่ยวชาญในไสยศาสตร์สายขอม พร้อมกับมีพระต่างวัดมาขอเป็นศิษย์ของเจ้าอาวาส เรียนเวทย์มนต์คาถาอยู่ด้วย เรื่องมันก็เลยเกิดคือ มันมีมาเป็นระยะนะครับ แต่เราเคลียร์ได้ และไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามาจากไหน เลยไม่กล้าพูดครับ อย่างเช่น บางวันสามเณรมาบ่นว่าปวดท้องมาก เขาว่าน่าจะโดนทำแล้ว เขาก็เห็นใต้ถุนศาลาวัดมี "หนังควาย" อยู่ เราก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ ฟังไว้เฉยๆ เท่านั้น มันจับไม่ได้นี่ครับ แต่สงสัยเท่านั้นว่าเราอาจตกเป็นเหยื่อ เพราะวิถีทางของเราต่างกัน ของเขาเป็นครูสายเขมร แต่เรามาทางสายเซียน สายพราหมณ์ฤษี สายล้านนา อะไรนั่น มันอาจจะกระทบกระทั่งกันได้เมื่ออยู่วัดเดียวกัน แต่ผมก็ไม่อาจสรุปได้ มีวันหนึ่ง พระคนสนิทของเจ้าอาวาสเอาประคตมาให้ผมๆ ก็รู้แน่ว่าเขาทำผมแน่ แต่ก็จำต้องรับน่ะครับ ไม่ให้เกิดปัญหา มีพิรุธ แต่ผมก็ผ่านไปได้ ไม่มีเรื่องครับ ต่างคนต่างอยู่เท่านั้นเอง


จนผมสึกจากวัดนั้นมานานแล้ว ผมได้ยินทางวัดพูดเสียงตามสายเรื่องในรถของเจ้าอาวาสมี "หนังหมี" ด้วย เขาบอกว่าเอาไว้กัน "ผีกะ" แล้วแม่ผมก็ได้ยินคนที่ทำงานในวัด พูดเตือนมาว่า อย่าให้ลูกมึงไปยุ่งอะไรกะเขานะ อย่าไปทำอะไรในป่าช้า (เขาคงหวังดี ไม่อยากให้เราเข้าไปเอี่ยวในวังวนไม่ดีเหล่านั้นด้วย เดี๋ยวจะเอาตัวไปเีสี่ยงน่ะครับ) แล้วอยู่ดีๆ อาจารย์ของเจ้าอาวาสที่เป็นฆราวาส ซึ่งเคยแข็งแรงมาช่วยกันสร้างโบสถ์ได้ ไม่ได้ป่วยอะไร ก็ตายครับ เขาคุยกันเงียบๆ ตายแบบเงียบๆ ไม่ค่อยให้ใครรู้มาก แ่ต่ทำเอาพระในวัด เกิดหวาดระแวงขึ้นมา อันนี้ ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้วครับ เพราะผมก็ออกมาแล้ว แต่ผมเข้าใจครับ คนที่เล่นของ มันจะเข้ากันไม่ได้ ถ้ามาคนละสายกัน และของมันตีกันเองได้ อยู่ใกล้กันมากไม่ได้ครับ พระบางรูปก็ยังต้องแยกวัดกันอยู่เลย เพราะของมันตีกัน เหมือนคุณเลี้ยงแมว แต่เพื่อนบ้านเลี้ยงหมา แล้วมันไปกัดกัน อะไรแบบนั้น มันก็จะนำเรื่องกระทบกระทั่งมาสู่คุณได้ นั่นเองครับ



 

ศึกไสยศาสตร์ ตอนที่ ๑

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมยังเด็กมาก แล้วญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ในชนบทห่างไกลแถวบ้านป่า เป็นคนเล่าให้ฟัง ท่านเล่าว่าสมัยหนึ่ง ญาติเราคนหนึ่งยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ไปมีเรื่องกับวัยรุ่นคนหนึ่ง แล้วเขาก็เล่นงานด้วยของดำ ทำให้เสียชีวิตไปเสียเฉยๆ ตายง่ายๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีโรคอะไรมาก่อน และยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ครอบครัวก็ไม่รู้ เลยทำพิธีศพ เรียกว่าเอาเข้าโลงเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ ญาติผู้ใหญ่บางท่านที่อายุมากๆ ท่านรู้ข่าวเข้าก็เลยชวนท่านที่มีวิชาอาคม มาช่วยกันสวดถอนคุณไสย์ แรกๆ ท่านทำแล้วไม่ไหว ท่านก็เชิญอาจารย์ที่ตายไปแล้วมาช่วย ซึ่งท่านเล่าว่าได้ยินเสียงม้าวิ่งมากโดยรอบ สวดไปสักพัก ท่านก็เห็น "ตะปู" ปรากฏในขันน้ำมนต์ แล้วคนตายที่อยู่ในโลง เขาก็ฟื้นขึ้นมา! ทว่า เรื่องไม่จบง่ายๆ ฝ่ายตรงข้ามที่กระทำด้วยคุณไสย คงรู้ทัน เขาพยายามทำต่อ เพราะของแบบนี้ ถ้าทำใครไปแล้ว เขาถอนได้ "ของนั้น จะย้อนกลับเข้าตัว" อธิบายอย่างนี้ครับ เหมือนเราเลี้ยงสัตว์ร้ายไว้ทำร้ายคน เราผูกโซ่ตรวนมันอย่างดี เวลาเราสั่งให้มันไปทำร้ายใคร แล้วเขาคนนั้น กลับปลดโซ่ตรวนของเราได้ สัตว์ร้ายที่ถูกเราผูกโซ่ตรวนนั้นมันจะไม่ทำตามคำสั่งเราอีก แล้วมันจะหวนย้อนกลับไปทำร้ายคนที่ผูกโซ่ตรวนมันครับ ดังนั้น คนทำคุณไสยใส่คนอื่น เขาก็ต้องทำซ้ำๆ เพื่อทำให้สัตว์ร้ายนั้นไม่หลุดออกจากอำนาจพันธนาการของเขา และไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาได้ในที่สุดครับ ซึ่งบางครั้ง เราอาจเป็นฝ่ายถูกกระทำ เราอาจไม่ทราบว่าใครทำเราครับ


พอเช้ามา มีคนไปพบศพพระรูปหนึ่งนอนตายอยู่ในป่าช้า พระรูปนั้นตายอยู่ในป่าช้า ในสภาพที่ตัวงอเหมือนกุ้ง บริเวณแถวนั้นมีหัวกะโหลกคนอยู่ด้วย คนอื่นๆ จึงสัณนิฐานว่าท่านกำลังทำพิธิสักกระโหลก เป็นพิธีไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่พลาดท่า ของเข้าตัว ตายเสียก่อน พระรูปนี้ ชอบเล่นเวทย์มนต์คาถา และชอบสักยันต์เต็มตัวเลยครับ แต่สุดท้าย ก็ไม่พ้นวังวนของความมืด เหมือนหมองู ตายเพราะงู อะไรอย่างนั้น เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการเล่าของญาติผู้ใหญ่นะครับ ตั้งแต่สมัยผมยังเด็กมากแล้ว แต่ก็จำเรื่องราวได้ดี ไม่น่าเชื่อครับ เหมือนในหนังมากกว่าที่จะเป็นความจริง มีทั้งคนตายแล้วฟื้น, อาจารย์ที่ตายแล้วไปกลับมาช่วยคนได้, พระที่เล่นคุณไสยตายในป่าช้า ฯลฯ ผมก็ไม่ทราบความจริงมากไปกว่านี้หรอกครับ ได้ยินเขาเล่ามา เอามาเล่าให้ฟังกันเล่นๆ เฉยๆ ถ้ายังไม่เจอกับตัวเอง ก็คงไม่รู้หรอกครับ



 

พระพิฆเนศท่องสุขาวดี

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยกิจอยู่ ตอนนั้น เราได้สื่อสารไปพบกับ "พระพิฆเนศ" องค์หนึ่ง ซึ่งท่านก็ปกติ คือ มีจิตตรงต่อพรหมโลก นับถือพระศิวะและพระกาลี ผู้เป็นพระบิดา พระมารดาของท่าน และไม่ชอบพระพุทธเจ้าด้วย (อันนี้เป็นปกติครับไม่แปลก) ผมเลยชวนท่านมาเล่นกัน เช่น มาเล่นเปลี่ยนหน้ากันดีไหม โดยให้สามเณรคู่หูเล่นกับพระพิฆเนศดู (พูดง่ายๆ คือ ลองฤทธิ์กันนั่นแหละ ว่าใครแน่กว่า) พระพิฆเนศก็เอาสิ ชอบนี่ เล่นสนุกอ่านะ ท่านก็จะเปลี่ยนเศียรไปเรื่อยๆ โดยสามเณรคู่หูก็ใ้ช้กายทิพย์ "อวโลกิเตศวร" เปลี่ยนเศียรไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ตอนแรกทีละเศียรไปจนเริ่มเยอะขึ้น พระพิฆเนศเวียนหัว ไม่ไหว เลิกยอมแพ้ เลิกเล่น จากนั้น ก็บอกมาเล่นพันมือกันดีกว่าว่าแล้ว ท่านก็เอา ท่านสู้ ท่านก็โชว์มือออกมามากมายหลายกรเลยทีเดียว ทีนี้ พระอวโลกิเตศวรก็ออกมาทีเดียวเป็นพันกรเลย ทำเอาพระพิฆเนศตกใจ เราก็เลยปลอบว่าเดี๋ยวจะพาไปเที่ยวสุขาวดีเอาไหม ท่านก็ชอบสิ ไปเที่ยวนี่ ก็ไป เราเลยไปกัน สามกายทิพย์ คือ กายทิพย์ผม, กายทิพย์สามเณรคู่หู และกายทิพย์พระพิฆเนศ พอไปถึง พระพิฆเนศหายไปเลย ไม่รู้หายไปไหน คือ ไปเที่ยวตามประสาเด็กนั่นแหละ เหาะไปนั่นนี่ โอ้ย หาตัวไม่เจอเลย ท่าทางจะชอบ และสนุกมาก จากขอบสวรรค์สุขาวดีฝั่งหนึ่ง ไปโผล่อีกขอบสวรรค์สุขาวดีอีกฝั่งหนึ่ง จนพระโพธิสัตว์กวนอิมบนนั้น ท่านบอกว่าถ้่าอยากมาอยู่ที่นี่ ก็บำเพ็ญนะ


พอกลับมา พระพิฆเนศก็บำเพ็ญใหญ่ เข้าฌานสมาบัติไม่สนใจอะไรอื่นแล้ว (สงสัยเพราะเห็นชัดแล้วว่าอะไรดีกว่า) ระหว่างนั้น เราก็โปรดธรรมท่านได้อริยะระดับหนึ่ง (แต่ไม่ถึงอรหันตผล) แล้วไม่นานนักท่านก็เข้าสู่ฌานด้วยอาการสงบ มีพระพรหมจากพรหมโลกมาเชิญท่านขึ้นไป ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในฌานนั้นเอง เรื่องราวของพระพิฆเนศจอมซน ผู้ไปท่องสุขาวดี แล้วยอมจำนนเข้าสู่ธรรม ก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านั้น



 

เกราะอำพรางตาทิพย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวกันกับเรื่อง "อสูรในร่างพระ" ซึ่งผมยังไม่ได้บวชเป็นสามเณร แล้วไปปฏิบัติธรรมในสำนักสงฆ์ที่คล้ายวัดป่าแห่งหนึ่ง (แต่เจ้าอาวาสใช้เล่ห์เหลี่ยมเล่นงานหาว่าเราบ้า เพื่อให้เราทำงานให้แต่ไม่ยอมบวชให้เรา) ที่นั่น มีฆราวาสผู้ดูแลอยู่ด้วย มีผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกทำเหมือนว่าจะดี แต่ไม่ดีจริง ครั้งหนึ่ง ผมเห็นเด็กสองคนอายุน้อยมาก น่าจะยังอยู่ในวัยไม่เกิน ๗ ขวบได้ เด็กคนหนึ่งเห็นผมก็เข้ามากอดผมในห้องครัว ตอนที่ไม่มีใครเห็น (ภายหลังทราบว่าพ่อและแม่ของเด็กคนนี้ ถูกจับข้อหาค้ายาบ้า ทำให้เด็กต้องตกอยู่ในสภาพเหมือนเด็กขาดพ่อแม่ไปโดยปริยาย และต้องมาทำงานอาศัยที่นี่อยู่) เด็กไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ไม่นานนัก ผมออกจากห้องครัวแล้วก็ได้ยินเสียงคนตีเด็กๆ ร้องไห้เบาๆ ถูกขู่ให้เงียบเสียงไว้ (แต่ผมก็ได้ยิน เพราะเป็นคนไวต่อการรับรู้ที่ละเอียดครับ) จากนั้น ผู้หญิงคนที่ตีเด็ก ก็ทำมาเป็นเก่ง รู้อะไรมากมาย ไปฟังเจ้าอาวาสบอกว่าเราบ้าก็เลยมาซักไซ้ไล่เรียงจับผิดผมใหญ่ ผมก็ไม่ได้เล่าคุณงามความดีอะไรโชว์ ก็เลยดูเหมือนคนหลงทางมาเสียอย่างนั้น แล้วก็เอาสมุดจดบันทึกของผมไปดู ซึ่งในนั้นมีเบอร์โทรของคนที่ผมรู้จักคือ ญาติธรรมอยู่ด้วย บางเบอร์ ผมก็เขียนว่า "แม่" เฉยๆ แต่ไม่ใช่แม่จริงๆ ผมนะ เรียกเขาสั้นๆ อย่างนั้น แล้วหล่อนก็โทรไปฟ้อง "แม่" ว่ารู้ไหมว่าลูกบ้า ทำไมไม่พาไปส่งโรงพยาบาล ฯลฯ เอากันเข้าไป ส่วนคนที่รับสายก็สวมรอยได้เนียบเนียน เล่นละครเป็นแม่ผมได้ด้วย เออ! ดู ดูมันไป ดูสิว่าใครมันบ้า ฮ่าๆๆ ผมละตลกจริงๆ แล้วมันยังไม่รู้ตัวอีกว่าเบอร์นั้นไม่ใช่แม่ของผมเลยสักนิด


พอผมกลับจากที่นั้นแล้ว หลังจากได้บวชเณรได้พบสามเณรคู่หู ได้ให้สามเณรคู่หู เพ่งดูว่าคนๆ นี้ กายในกายของเขาเป็นอะไรแน่ ตอนแรก เพ่งไปแล้วไม่เห็นอะไรเลย มีแ่่ต่ความดำมืดสนิท จึงให้เขาลองเพ่งทะลุทะลวงไปอีก ก็ทะลุเกราะอำพรางตาทิพย์สีดำ ทีละชั้นๆ หลายชั้นทีเดียว จนในที่สุด จึงเห็นกายทิพย์ของเขาเป็นนางมาร ก็เข้าใจโดยพลัน จริงๆ ไม่ต้องคิดมากก็น่าจะทราบแต่แรกแล้ว ไม่ต้องดูทางในหรือใช้ตาทิพย์ ก็น่าจะรู้นะครับ แต่ผมชอบให้มันชัดเจนน่ะครับ (ซึ่งผมไม่ได้บอกสามเณรก่อนว่าผู้หญิงคนนี้ เขามีวิสัยอย่่างไรนะครับ) เราได้รู้แล้วก็เข้าใจว่า คนบางคนอาจดูเป็นคนดี อยู่กับวัด ทำความดีอะไรไม่รู้ มากไปเลย แต่ "จิตใจของเขา" อาจไม่ไ่ด้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงเหมือนเดิม!



 

อดีตชาติเกิดเป็นเต่า

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมยังบวชเป็นสามเณร และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยอยู่ วันหนึ่งหลังจากที่เขาได้หูทิพย์ตาทิพย์แล้ว ผมจึงแนะนำวิธีใช้ให้แก่เขา แล้วผมก็ให้เขาช่วยดู "อดีตชาติ" ของผมให้ด้วย แล้วเขาก็ทดลองดู โดยการเข้าสมาธิ หลับตา แล้วระลึกว่าเพ่งเข้าไปที่ "กายในกาย" ของผม แล้วเขาก็เห็นดวงแก้วประจำกายนั้นๆ เมื่อเพ่งเข้าไปในดวงแก้วนั้น ภาพอดีตชาติก็ปรากฏออกมาเหมือนในหนัง (เวลาเราพบดวงแก้วประจำกายทีไร เมื่อเพ่งดวงแก้วประจำกาย ภาพอดีตที่บันทึกไว้จะปรากฏเหมือนหนัง แต่ถ้าไม่ใช่ดวงแก้วประจำกาย แต่เป็นดวงแก้วที่เกิดจากอำนาจสมาธิจิต อาจจะไม่มีภาพอดีตชาติเช่นนี้ นี่คือ วิธีแยกแยะ สังเกตุความต่างของดวงแก้วประจำกาย และดวงแก้วที่เกิดจากอำนาจสมาธิจิต นิมิตขึ้นมา) เรื่องราวมีอยู่ว่า ในชาตินั้น ผมเกิดเป็นเต่า แล้วผมก็เพียรพยายามขุดโพรงเพื่ออยู่อาศัย และไม่ไ่ด้ขุดให้ตัวเองอยู่เพียงตัวเดียว ยังคงพยายามขุดไปเรื่อยๆ เผื่อสัตว์อื่นๆ ด้วย จากนั้น ก็มี "หมาจิ้งจอก" ตัวหนึ่งเข้ามาเยาะเย้ย บอกให้เต่าเลิกทำ ทำไปทำไม ไ้ร้สาระ อะไรแบบนั้น หมาจิ้งจอกบอกว่าไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปอยู่อาศัยในโพรงอะไรแบบนั้น แต่ผมก็ไม่สนใจ ทำตามความเชื่อ ความคิดของตนต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดเหตุการเปลี่ยนแปลงพลิกผัน และทำให้สัตว์ต่างๆ มีภัยเกิดขึ้น สัตว์เหล่านั้นจึงหนีภัยมาหลบซ่อนในโพรงที่เต่าขุดขึ้นมากมาย และในที่สุด "หมาจิ้งจอกตัวนั้น" ก็ต้องลี้ภัยมาอยู่ในโพรงใต้ดินที่เต่าตัวนั้นขุดขึ้นเช่นกัน แล้วเรื่้องราวต่างๆ ก็จบลงเท่านั้น เหมือนภาพยนต์ที่มืดดับไป


ในชาติปัจจุบัน ก่อนที่ผมจะได้พบสามเณรคนนี้ ผมก็เคยทำงานอยู่ในบริษัทสร้างบ้านจัดสรร ต้องทำให้คนอื่นได้บ้่านอยู่อาศัยเหมือนกัน ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้สามเณรฟังเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเคยทำงานอะไรมาบ้าง แต่เรื่องราวในชีวิตจริงของผม กลับสอดคล้องกับภาพในอดีตชาติที่ได้เห็นจากการเพ่งดวงแก้วด้วยวิธีที่ผมแนะนำสามเณรนั้น คือ ต่างก็สร้างที่อยู่อาศัยให้คนอื่นๆ เช่นกัน ผมไม่ได้สรุปว่าจริงเท็จประการใด ก็ทำไป ผ่านไป จำได้ก็นำมาเล่าต่อให้ฟังกันเท่านั้น อะไรที่เป็นประโยชน์ ทำให้ปลงได้ คิดได้ ก็เป็นส่วนดีไป ส่วนไหน ไม่เกิดประโยชน์ ฟังแล้วไม่ได้อะไร ผู้มีปัญญาก็จะปล่อยผ่านไป ไม่เอามาใส่ใจ



 

โดนพระทำคุณไสย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังไม่ได้บวชเป็นสามเณร และกำลังปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสอยู่ ในช่วงนั้นผมก็มีอาจารย์สอนธรรมที่เป็นฆราวาสดูแล โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ชื่อ "กล้องเคอเลี่ยน" ถ่ายออร่าดูผลการปฏิบัติธรรมเป็นระยะ ในช่วงนั้น เป็นช่วงงาน "วิทยาศาสตร์ทางจิต" ผมจึงไปแวะดูงานแล้วผมเห็นคงหลงต่อคิวยาวเพื่อรอดูดวงโดยแม่ชีรูปหนึ่งผมเห็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่นั่นด้วย เพื่อนคนนี้เป็นคนดีแต่โง่ซื่อ เชื่อคนง่าย สุดท้าย ก็เลยเห็นว่าอยากช่วยเพื่อน ดึงออกมาจากอะไรที่ไม่ใช่ ก็เลยไปคุยด้วยแล้วเสียงดัง คนที่เขาต่อคิวรอกันได้ยิน คือ ผมพูดประมาณว่าการดูดวงทำนายทายทัก ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าสอน จนแม่ชีรูปหนึ่งมาไล่ผมออกไปจากบูทของเขา ผมออกไปแล้วเจอกับเพื่อนอีกคนจบวิศวกร แล้วไปต่อปริญญาโทจากต่างประเทศ ผมจึงเข้าไปคุยด้วย ถามเขาว่าเจ้าอาวาสในวัดของแม่ชีคนนี้ เขาสอนอะไร ทำอะไรบ้าง พระเพื่อนก็เล่าว่าฝึกฤทธิ์เยอะแยะเลย เล่าอย่างตื่นเต้นและศรัทธาเอามากๆ ฉับพลัน มือถือก็ดังขึ้น แล้วพระเจ้าอาวาสก็เรียกให้ไปฉันข้าว ผมไม่เชื่อใจ ผมแอบตามไปดู ก็ไม่เห็นว่าท่านจะฉันข้าวจริงๆ (ท่านกำลังสอนคนอยู่อีกที่หนึ่งด้วย) จากนั้น ผมก็ไปถ่ายออร่า ได้ออร่าดำที่หัวมาเลย แต่อาจารย์ไม่มีเวลาดูให้ คืนนั้นเอง ผมก็ถูกคุณไสย์กระทำทั้งคืน มันคุมจิต กดจิต เล่นงานให้เราจิตตกสุดๆ พอตอนเช้ามาผมตืานขึ้นมาแบบแย่มากๆ ไม่ผ่องใสเลย แทบไม่มีความคิดอะไร สมองไร้ประสิทธิภาพ ไม่ปลอดโปร่งเลย ผมเอามาให้อาจารย์อ่าน อาจารย์ตกใจแล้วรีบให้ผมไปทำสมาธิ แต่ไม่ได้บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ต่อมา ผมไปฟังอาจารย์อีกบูทหนึ่งสอนวิธีรักษาตัวเอง แล้วอาจารย์คนนั้นเหลือบมาเห็นผม ปั๊บ แกก็เลยสาธิตให้ทุกคนลองทำดูเลย ตอนบรรยายจบ ผมก็เข้าไปถามอาจารย์ว่าอาจารย์เห็นอะไรใช่ไหม? อาจารย์เงียบ ไม่พูดสักคำ ไม่ยอมปริปากบอกเลย ต่อมา ไม่นาน ผมโล่งหาย อาจเป็นพระอาจารย์ทั้งสองต่างช่วยกระมัง อยู่ๆ ก็รู้ขึ้นได้เองว่าเราโดนคุณไสย์แล้ว และรู้อีกว่าใครทำเราด้วย (แปลกดี) ไม่จบแค่นั้น ผมโมโหจะเอาเรื่องละ เลยไปดูว่าเจ้าอาวาสรูปนั้น อยู่ตรงไหน พอดีไปเจอ "อาจารย์ตาที่สาม" ก่อน เลยให้ท่านดูภายในให้ ท่านหยุดเลย พอถึงผม ท่านไปกินน้ำ ทำใจนานพักหนึ่ง แล้วไม่ค่อยพูดอะไรเลย บอกแค่ว่า "เมตตา อภัยนะ" อะไรประมาณนั้น แล้วท่านก็เขียนในใบตรวจว่าริมฝีปากผมมีสีม่วง (พลังออร่าสีม่วงที่ปาก) ท่านบอกว่า "อย่่าไปแช่งใครนะ" แล้วผมจึงออกจากบูทไปเจอเจ้าอาวาสรูปนั้น กำลังบรรยายธรรมอยู่ ผมเข้าไปนั่งตรงหน้าเลย ท่านตกใจ แต่ทำเป็นสอนต่อไป เหมือนปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็ดูไปเรื่อยๆ ในที่สุด ก็คิดได้ว่า "อย่าเลย ช่างเถอะ ปล่อยไปตามกรรม" ผมเลยไม่อยากเอาเรื่อง สุดท้าย ก็ลุกออกไปเฉยๆ ไม่ว่าอะไร แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ คนที่รู้ไม่ใช่ผมคนเดียว


หลักฐานการถ่ายออร่่าแล้วติดอะไรแปลกๆ มา คนทั่วไปอ่านและแปลมันไม่ได้ แต่อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจะดูออกนั้น ผมมีสองใบ ถ่ายวันแรก ผมโดยเป็นก้อนสีน้ำเงินทึบหม่นหมองกดจนรัศมีสีทองของผมในยามนั้นเหลือเป็นเพียงจุดเล็กๆ นิดเดียว ซึ่งก้อนนี้ ผมเคลียร์ได้เองก่อนรุ่งเช้า ด้วยการนั่งสมาธิแล้วเข้าฌาน ก็หายไปเองได้ วันต่อมา ผมโดนอีกทีตอนเช้าเลย พอถ่ายออร่าคราวนี้่เป็นก้อนสีแดงหม่นหมองกดพลังรัศมีสีทองของผมจนเหลือแต่จุดเล็กๆ อีกเช่นกัน ผมคิดว่า งานนี้ มีอาจารย์อย่างน้อย ๓ ท่าน รู้เห็น ทว่า มันเป็นเรื่องระดับทิพย์ที่คนทั่วไป ไม่อาจมองเห็นได้ ก็เท่านั้นเอง เรื่องก็เลยจบลงเพียงเท่านั้นครับ