เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูอยู่ด้วย ช่วงนั้น เราบำเพ็ญธรรมยิ่งยวด จนมีครูบาอาจารย์หลายท่านในทาง "มิติทิพย์" ที่เข้ามา่ช่วยเรามากมาย หนึ่งในนั้นที่มาโปรดเราก็คือ หลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งท่านมาด้วยกายทิพย์ไม่ใช่กายเนื้อ ในคราวนั้นผมและสามเณรคู่หูกำลังบำเพ็ญอิทธิฤทธิ์ คือ การฝึก "พันกร" อยู่ ซึ่งการฝึกนี้ก็เป็นไปตามแบบที่ผมได้รับมาจากอาจารย์ที่มีสังขารอยู่บนโลกแต่ว่าท่านไม่ได้บอกโดยตรง ท่านปล่อยให้เรียนรู้และค้นหาเอง แล้วผมก็ได้ในแบบของตัวเอง คือ หลังจากที่มีพลังปราณมากพอระดับหนึ่ง เราจะฝึกมือให้เหมือนมีหลายๆ มือ เช่น ผมชวนให้สามเณรล้างถ้วยชามที่พระทั้งหลายฉันแล้ว ไม่มีใครล้าง ให้มาช่วยกันล้าง และทำให้คล่องแคล่วรวดเร็ว แรกๆ สามเณรรู้สึกไม่ยุติธรรม เหมือนโดนหลอก โดนแกล้ง หรือต้องทำล้างถ้วยชามเองอยู่ตลอด อะไรแบบนั้น ผมก็บอกเขาว่ามันคือเคล็ดลับของการบำเพ็ญ "พันกร" แล้วเดี๋ยวเข้ากุฏิจะบอกให้มากกว่านี้ ว่าแล้ว เราก็เข้ากุฏิ ผมก็แนะนำการฝึกพันกรโดยการรำพันมือ เหมือนหนังจีนกำัลังภายในหน่อยๆ แต่มันไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้นนะ มันเป็นการเพิ่มพูนอิทธิืฤทธิ์ให้ได้ถึงพันกร ก็เท่านั้นเอง และแล้ว ระหว่างที่ฝึกกันนั้น ผมก็ให้เขาทำสมาธิเปิดตาทิพย์ดูไปด้วยว่า "กรเพิ่มขึ้นเท่าไร?" เขาก็บอกเป็นระยะๆ เริ่มจากค่อยๆ เพิ่มจากสิบ, เป็นร้อย ฯลฯ
และแล้ว "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ก็มาเยี่ยมเรา ท่านโยนหินถามทางก่อนว่า "สามเณรรำไม่เหมาะนะ เพราะถ้ามีคนมาเห็นเขา อาจจะกลายเป็นเรื่องได้" โอเค ผมก็เลยบอกให้สามเณรคู่หูปิดประตูกุฏิก่อน (ตอนนั้น ลืมปิดประตูกุฏิ) แล้วเราก็ฝึกกันต่อ ผมก็นึกในใจว่า "ดูท่า ท่านจะหยั่งเชิงดูก่อนว่าเราจะเอาทางไหน ถ้าเราจะบำเพ็ญบารมีต่อไป เราก็จะเอาพันกรแน่ แต่ถ้าเราจะเอานิพพานเลยตรงนี้ ก็คงไม่เอาพันกร" แล้วก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะผมเลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญบารมี แน่วแน่แล้ว ท่านหยั่งเชิงเท่านั้น ท่านก็จากไป (ใช่แล้วเป็นวิสัยปกติของพระอรหันตสาวกจริงๆ ที่จะไม่ยุ่งเรื่องของพระโพธิสัตว์) ภายหลังท่านได้สื่อให้เราทราบด้วยถึงการดำรงอยู่ของสายธรรมของท่าน ซึ่งท่านได้กล่าวว่าสิ้นสุดลงแล้ว (ทางสังขาร) และท่านได้กล่าวถึงอายุขัยของท่านด้วย (อายุขัยเยอะมากๆ ผมจดไว้แล้วดันสมุดเล่มที่จด หายไปเฉยเลย?) ผมคิดว่าท่านคงเป็นสายธรรมแท้ที่ไม่อยู่ในลัทธิ, นิกาย, ศาสนา, องค์กร ฯลฯ อะไร คือ อิสระจริงๆ เป็นดังเช่นดั้งเดิมแท้จริงๆ และคงโปรดสัตว์อยู่แถบสุวรรณภูมินี้ (ไทย, ลาว, พม่า, กัมพูชา เป็นต้น) แต่ก็ไม่ทราบว่า "สายอื่นๆ" ที่สืบๆ กันมา ยังพอมีอยู่หรือไม่? เพราะมีบางท่านกล่าวถึง "พระมหากัสสปะ" ที่ยังไม่ละสังขาร ยังคงชีพอยู่ แต่ไม่ได้ออกจากฌาน ไม่ได้ทำกิจด้วยสังขารใดๆ อีกประการ พระมหากัสสปะก็ได้ทำ "นิกายเซน" ขึ้นมา ทำสิ่งที่ไม่มีในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมขึ้นมา เช่น การสังคายนาพระไตรปิฎก ผมก็เลยไม่รู้จะสรุปเรื่องสายธรรมอย่างไร? เอาเป็นว่าพระอรหันต์ที่ยังคงชีพอยู่ คงมี แต่ถ้าจะหาท่านที่ไม่แตกแยก แตกกอ แตกหนอ แตกสาย ออกไปเป็นนิกายเซนอะไร ท่าทางคงหมดสิ้นแล้วกระมังครับ!
และแล้ว "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ก็มาเยี่ยมเรา ท่านโยนหินถามทางก่อนว่า "สามเณรรำไม่เหมาะนะ เพราะถ้ามีคนมาเห็นเขา อาจจะกลายเป็นเรื่องได้" โอเค ผมก็เลยบอกให้สามเณรคู่หูปิดประตูกุฏิก่อน (ตอนนั้น ลืมปิดประตูกุฏิ) แล้วเราก็ฝึกกันต่อ ผมก็นึกในใจว่า "ดูท่า ท่านจะหยั่งเชิงดูก่อนว่าเราจะเอาทางไหน ถ้าเราจะบำเพ็ญบารมีต่อไป เราก็จะเอาพันกรแน่ แต่ถ้าเราจะเอานิพพานเลยตรงนี้ ก็คงไม่เอาพันกร" แล้วก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะผมเลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญบารมี แน่วแน่แล้ว ท่านหยั่งเชิงเท่านั้น ท่านก็จากไป (ใช่แล้วเป็นวิสัยปกติของพระอรหันตสาวกจริงๆ ที่จะไม่ยุ่งเรื่องของพระโพธิสัตว์) ภายหลังท่านได้สื่อให้เราทราบด้วยถึงการดำรงอยู่ของสายธรรมของท่าน ซึ่งท่านได้กล่าวว่าสิ้นสุดลงแล้ว (ทางสังขาร) และท่านได้กล่าวถึงอายุขัยของท่านด้วย (อายุขัยเยอะมากๆ ผมจดไว้แล้วดันสมุดเล่มที่จด หายไปเฉยเลย?) ผมคิดว่าท่านคงเป็นสายธรรมแท้ที่ไม่อยู่ในลัทธิ, นิกาย, ศาสนา, องค์กร ฯลฯ อะไร คือ อิสระจริงๆ เป็นดังเช่นดั้งเดิมแท้จริงๆ และคงโปรดสัตว์อยู่แถบสุวรรณภูมินี้ (ไทย, ลาว, พม่า, กัมพูชา เป็นต้น) แต่ก็ไม่ทราบว่า "สายอื่นๆ" ที่สืบๆ กันมา ยังพอมีอยู่หรือไม่? เพราะมีบางท่านกล่าวถึง "พระมหากัสสปะ" ที่ยังไม่ละสังขาร ยังคงชีพอยู่ แต่ไม่ได้ออกจากฌาน ไม่ได้ทำกิจด้วยสังขารใดๆ อีกประการ พระมหากัสสปะก็ได้ทำ "นิกายเซน" ขึ้นมา ทำสิ่งที่ไม่มีในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมขึ้นมา เช่น การสังคายนาพระไตรปิฎก ผมก็เลยไม่รู้จะสรุปเรื่องสายธรรมอย่างไร? เอาเป็นว่าพระอรหันต์ที่ยังคงชีพอยู่ คงมี แต่ถ้าจะหาท่านที่ไม่แตกแยก แตกกอ แตกหนอ แตกสาย ออกไปเป็นนิกายเซนอะไร ท่าทางคงหมดสิ้นแล้วกระมังครับ!