พระทำเสน่ห์ฯ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นพระอยู่ แล้วมีฆราวาสท่านหนึ่ง มีปัญหาภายในครอบครัว เนื่องจากมีบุคคลที่สามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฝ่ายสามี คนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวนี้เป็นผู้หญิงที่มีทั้งเล่ห์เหลี่ยมและยังใช้พระทำคุณไสย์อีกด้วย ส่วนพระที่ทำคุณไสย์ให้ ก็เป็นพระที่ต้องการลาภสักการะ เพื่อใช้ในการสร้างวัดของตน ไม่สนใจคำทัดทานของผู้ใด เมื่อก่อนพระรูปนี้ มาจากถิ่นอื่นแล้วไปจำวัดที่วัดในท้องถิ่นนั้นๆ แต่ท่านเจ้าอาวาสซึ่งมีอยู่รูปเดียว ไม่เห็นด้วยที่ท่านชอบเล่นไสย์ดำ จึงอยู่ักันไม่ได้ แล้วท่านก็แยกตัวออกไป สร้างวัดของตัวเองตามประสาของพระที่มีอายุน้อยกว่าและไฟแรงกระมังครับ หลังจาก เจ้าอาวาสได้พูดคุยกับพระรูปนี้แล้ว ท่านก็ยังไม่ลดละ ไม่เลิก ไม่เชื่อฟัง ยังคงดื้อดึงทำอยู่ต่อไป ต่อมา อาจารย์ของผมได้เดินทางมาเยี่ยม และได้ไปพักกับพระรูปนี้ด้วย แล้วได้สนทนากันจนสนิทสนม ทำให้อาจารย์ของผม มองว่าเจ้าอาวาสคนนั้นเป็นคนไม่ดีไป (เจ้าอาวาสท่านนี้ สามารถเลี้ยงไก่ป่าเพื่ออนุรักษ์ได้ ผมเคยไปดู ไม่เห็นตัวไก่ป่าเลยสักตัว พอได้ยินเสียงก็หายเข้าป่าไปหมดเลย ไม่รู้ท่านเลี้ยงไก่ป่าให้เชื่องได้อย่างไร ทำให้นึกถึงฉายา "สุก ไก่เถื่อน" จริงๆ) ผมเคยไปพบพระรูปนั้น แล้วต้องนั่งข้างๆ กัน รู้สึุกได้ถึงพลังดำที่แผ่เข้ามาครอบงำไปครึ่งตัว ทำให้ภายในผมอึดอัดและรู้สึกไม่ดี ไปครึ่งหนึ่ง (ครึ่งที่ใกล้กับท่่านนั้น) แต่อีกครึ่งหนึ่งยังไม่เป็นไร แสดงว่าพลังดำในตัวท่านนี้ มีเยอะมากจริงๆ เพราะไม่เพียงเท่านั้น เรายังสงสัยว่าท่านคือผู้ที่ทำคุณไสย์ให้ผู้หญิงคนหนึ่ง อันส่งผลให้ครอบครัวหนึ่งต้องร้าวฉานกัน เป็นคุณไสย์แบบเสน่ห์ยาแฝด หัวหน้าครอบครัวก็ไม่อยากให้แตกแยก แต่อยากให้อยู่กันได้ทั้งสองบ้าน แต่ฝ่ายภรรยาไม่ยอมให้สามีมีสองบ้าน ให้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นเสีย เรื่องวุ่นวายอยู่นานพอดู ทั้งเรื่องไสย์ดำและเรื่องการใช้เล่ห์เหลี่ยม จนในที่สุด ก็จบลงได้ เพราะครอบครัวเดิม มีครบทุกอย่างแล้ว หัวหน้าครอบครัวคงไม่อยากจะเสียสิ่งที่มีอยู่แล้ว เพื่อไปเริ่มต้นใหม่ อีกทั้งลูกก็โตมากจนแต่งงานได้แล้วด้วย


สรุปแล้ว เรื่องพระทำเสน่ห์นี้ จึงทำเอาครอบครัวของโยมฆราวาสปั่นป่วนไปพักใหญ่ทีเดียว กว่าเรื่องจะจบลงได้ ทว่า พระรูปนั้นก็ยังคงไม่สำนึกและยังคงทำต่อไป (แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่สำเร็จก็ตาม) แต่ท่านได้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น คือ ปั้นเทวรูป, ปั้นพระ ฯลฯ เอาเงินเข้าวัด มาสร้างวัดแทน ชาวบ้านไม่รู้อะไรมาก เห็นการสร้างวัด เป็นของดี เป็นบุญ ก็หลงศรัทธากันมากมาย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าท่านผู้นี้ใช้อวิชชานอกรีต เพื่อแสวงหาลาภสักการะอยู่ แม้จะได้รับการโปรดจากทั้งสี่ท่านแล้วก็ไม่สำนึก (เจ้าอาวาส, อาจารย์ของผม, ตัวผมเอง และโยมฆราวาสผู้นั้น สี่คนช่วยกัน ก็ไม่สำเร็จ) ผมคิดว่าท่านคงตั้งจิตมาสร้างวัดก่อน พอสร้างเสร็จแล้วคงพร้อมจะรับธรรมทีหลัง ตอนนั้นอาจพอคิดได้บ้างกระมัง



 

ลามะจอมพิษ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมยังบวชพระอยู่ แล้วได้รู้จักกับโยมสีกาท่านหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีสายธรรมเชื่อมโยงอยู่มาก วันหนึ่ง โยมสีกาจึงเล่าให้ฟังว่าได้เชื่อมต่อสายธรรมไปยัง "พระลามะ" รูปหนึ่ง คาดว่าน่าจะมาจากธิเบตแต่มาทำธุระบางอย่างในประเทศไทยโดยการเืชื่อมโยงสายธรรมผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่ง  ทั้งลูกชายของโยมสีกาซึ่งอยู่ในวัยหนุ่ม ก็อยู่กับพระลามะรูปนี้มานาน ได้รับการสอน ถ่ายทอด อะไรหลายอย่างเช่น การเชิดสิงโต เป็นต้น (ที่ธิเบตจะมีพระลามะร่ายรำใส่หน้ากากเหมือนเทพนักษัตรต่างๆ) ไม่แน่ว่าพระลามะธิเบตรูปนี้ อาจจะสอนอะไรบางอย่างผ่านการเชิดสิงโตบ้างก็เป็นได้ เพียงแต่ผู้ชมนั้นจะสังเกตุเ็ห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ก็เท่านั้น เช่น อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็ให้ลูกชายของโยมสีกาคนนี้ แต่งเป็นพระโพธิสัตว์มัญชุศรี (เป็นพระโพธิสัตว์ที่ขี่สิงห์) ซึ่งผมได้เห็นและได้รู้เรื่องราวของเด็กคนนี้พอมาควร ก็พอสัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้ สืบสายธรรมตรงจากพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ การที่พระลามะธิเบตรูปนั้นทำเ่ช่นนี้ก็เพื่อจะทดสอบดูว่ามีใครในประเทศไทย รู้ถึงเรื่องนี้บ้างซึ่งเด็กชายคนนี้ต้องแสดงเชิดสิงโตให้คนทั่วไปดูด้วย (เป็นอันว่าไม่มีคนไทยคนไหนรู้ทันพระลามะรูปนี้ กระมัง) ทว่า ผมซึ่งบวชเป็นพระไทยอยู่สายเถรวาท ไม่เคยได้พบเห็นหรือพบเจอพระลามะรูปนี้เลย วันหนึ่ง จึงได้ปะลองกันผ่านสีกาท่านนี้


กล่าวคือ เมื่อโยมสีกาเล่าเรื่องมาเท่านี้ ผมก็พอทราบได้ว่าพระลามะธิเบตได้ธรรมอะไรบ้าง โดยเริ่มจากวันหนึ่ง โยมสีกาได้รับ "ยาดองเหล้า" ซึ่งดองสัตว์พิษแปดชนิด (ถ้าจำผิดต้องขออภัย) ไว้รวมกัน ท่านว่าเมื่อโยมสีกาดื่มแล้วจะกลายเป็นพิษชนิดที่เก้า เพราะหลังจากท่านได้จับดูชีพจรบางอย่างก็เห็นว่าภายในของโยมสีกามีปัญหาจึงใช้ยาดองเหล้ารักษา เมื่อโยมสีกานำมาเล่าเช่นนั้นผมจึงแนะโยมสีกาให้ตอบคืนพระลามะด้วยสิ่งของบางอย่าง ให้กันไปกันมา หลายครั้ง เพื่อทดสอบวิชา "จิตสู่จิต" นั่นเอง หลังจากได้ปะลองแล้ว พอว่า วิชาจิตสู่จิตของลามะธิเบตท่านนี้ไม่ธรรมดา เพราะอ่านจิตได้เร็วมาก ความเร็ว ความชำนาญของผม ยังไม่ทัน ยังสู้เขาไม่ได้ เช่น ลามะธิเบตให้กระจกใสมาอันหนึ่ง ผมบอกให้โยมสีกาใช้ผ้าขาวห่อไว้ แล้วให้คืนกลับไป พอโยมสีกาให้คืนกลับไปแบบนั้นแล้ว พระธิเบตก็ให้ สายเชือกสีทองเล็กๆ มาอีก ผมก็บอกให้โยมสีกาหาสายเชือกสีทองอีกอัน ผูกเข้าแล้วส่งคืนให้ ฯลฯ เป็นอันว่าทั้งโยมสีกาและเด็กหนุ่มคนนั้น ไม่เข้าใจว่า กำลังเล่นอะไรกันอยู่ เพราะการสื่อสารด้วยจิตสู่จิตนั้น ย่อมเข้าใจเฉพาะผมและพระลามะธิเบตนั้นเป็นสำคัญ สุดท้าย เขาจึงเปิดเผยให้เห็นอะไรบางอย่าง ผมจึงเข้าใจว่าเขาอยากจะให้ลูกชายของโยมสีกาคนนั้น สืบทอดบางอย่างจากเขา นั่นเอง (ขอเก็บเป็นข้อมูลลับไม่อาจเปิดเผย) เป็นอันว่าการปะลองของผมกับพระลามะจอมพิษ ก็จบลงด้วยดี ด้วยการเชื่อมสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้น ซึ่งต่อมา พระลามะธิเบต ก็ได้บวชให้โยมสีกาท่านนั้นด้วย เพื่อต่อสายธรรมวัชรยานจากธิเบตภาคฆราวาส



 

สามเขยร่วมบนบาน

เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นาน ไม่ใช่เรื่องของผมโดยตรง แต่เป็นเรื่องของพี่ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกของป้าผมเอง ในยามเด็กผมรู้จักกับพี่คนนี้ระดับหนึ่งครับ เพราะตอนเด็กๆ ที่นาผมยังมี อยู่ไม่ไกลกันเท่าไร พ่อแม่ผมก็จะทำไร่ทำนาไป ผมก็จะเล่นอยู่ตามริมคลอง บางทีก็จะได้เห็นปลากระโดดขึ้นมานอนบนดินเฉยๆ โดยที่เราไม่ได้ทำให้เขาขึ้นมาครับ แ่ต่พอจะเข้าไปจับเขาก็กระโดดหนีลงน้ำหมดเลย แปลกดี ผมเคยเจอแบบนี้ แค่ครั้งเดียวเองในชีวิต ทว่า เมื่อผมพอโตขึ้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป เลยห่างเหินกับพี่คนนี้ ต่อกันไม่ิติด แต่แม่ยังไม่ห่างเหินเพราะทำงานเป็นชาวไร่ชาวนาเหมือนกัน เลยรู้เรื่องแล้วเอามาเล่าต่อให้ผมฟังครับ เรื่องมีไม่มาก คือ ปกติผมและคนในชนบทก็มีความเชื่อเรื่อง "ผีสางเทวดา" และการบนบานสานกล่าวอยู่มาก คือ หลายคนเชื่อว่าถ้าบนบานสานกล่าวกับสิ่งศักดิสิทธิ์ อาจจะได้อย่างนั้นจริงๆ และต้องทำตามที่ตนได้บนไว้ ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเกิดสิ่งไม่ดี หรือเรื่องร้ายๆ กับตัวเองก็ได้ ปกติ ก็จะบนบานสานกล่าวโดยใช้หัวหมูบ้าง, ไก่บ้าง, เหล้าบ้าง, ยาสูบบ้าง, ดอกไม้พวงมาลัยบ้าง ฯลฯ ที่บนแปลกๆ ก็มีไม่มากนักครับ อย่างพี่สาวข้างบ้าน ก็บนให้ได้เป็นข้าราชการ ถ้าได้ก็จะแก้บนด้วยการมีลิเกที่วัดครับ แล้วพี่สาวคนนั้นก็ได้จริงๆ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นผลมาจากอะไร? แต่เมื่อบนไปแล้วก็ต้องทำตามที่บนไว้ครับ คือ จ้างลิเกมาเล่นในงานวัดครับ ส่วนตัวผมเอง ไม่ค่อยบนอะไรนัก และถ้าบนก็ไม่ค่อยได้อย่างนั้น เลยไม่ชอบบนครับ


ทว่า การบนบานของพี่ชายคนนี้แปลกและไม่เหมือนชาวบ้านเขา กล่าวคือ พี่เขาร่วมกับพี่ชายอีกสองคน ซึ่งเป็นเขยของญาติๆ กันเอง เืพื่อทำนาร่วมกัน ให้ได้ผลมากๆ ครับ และเพื่อให้ได้ผลมากๆ วันหนึ่ง หลังจากกินเหล้าเมาแล้ว ทั้งสามเขยก็นึกสนุกหรืออะไรขึ้นมาไม่ทราบ เลยไปบนบานกลางทุ่งกลางท่าว่า ขอให้ข้าวในนาได้ผลมากๆ ดังใจหมาย (เท่าไรจำไม่ได้ครับ) พวกเขาก็จะแก้บนด้วยการแก้ผ้ากลางทุ่งนาครับ แล้วไม่นานเกินรอ ผลผลิตออกมาดี เขาก็เลยต้องทำตามที่ได้บนบานไว้ ทั้งสามเขยก็เลยต้องไปแก้ผ้าแก้บนกลางทุ่งนากันครับ ทั้งสามคนก็ปลอดภัยดี ไม่มีปัญหาอะไรครับ เพราะอาจได้ทำตามที่บนแล้ว นั่นเอง ซึ่งก็ถือว่ายังดีครับ ที่ไม่ไ่ด้บนบานอะไรที่ยากเกินไป ดีกว่าบนเอาจมูกไปแลกปลา จริงไหมครับ? สุดท้ายนี้ ผมขอไม่สรุปนะครับว่าการบนบานสานกล่่าวนั้น ได้ผลจริงหรือไม่? มีจริงหรือไม่? ถูกผิดเพียงใด? เพราะเป็นความเชื่อ เป็นค่านิยมของชาวบ้านเขาครับ ส่วนตัวผมแล้ว เฉยๆ เพราะบนไม่สำเร็จครับ



 

ถูกชกดั้งหัก

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมนานแล้ว ตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ ยังไม่จบและยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย ชีวิตของผมก็ต้องไหลไปตามกระแสกรรมอย่างไม่อาจฝืนได้ หลายๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา ช่างเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นพอควร แต่ในความขมขื่นเหล่านั้น ก็แทรกสิ่งที่ลึกซึ้งอยู่ภายใน เหมือนอาหารบางอย่างที่มีรสขม แต่ซ่อนความหวานเอาไว้ ชีวิตของผมในช่วงนั้น ก็เป็นเช่นนี้ ผมมีความรู้สึก นึกคิดและ อารมณ์ความเจ็บปวด เหมือนคนทั่วๆ ไป (ต่างจากตอนนี้ ที่มันน้อยลงๆ เหมือนไม่ค่อยเหลือความรู้สึกอะไรนัก แม้กระทั่งเวลาบาดเจ็บเลือดออก บางทีก็ไม่รู้สึกเลย) แล้ววันหนึ่ง ผมก็ต้องรับวิบากกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งนับว่ารุนแรงพอควรในชีวิต แต่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับวิบากกรรมอื่นๆ ที่ผมเคยรับ และผ่านมาได้ในชีวิตนี้นะครับ นั่นคือ วันหนึ่งผมและเพื่อนๆ ชวนกันไปกินเหล้า เที่ยวกลางคืน เหมือนคนหลงโลกและยังมีชีิวิตมืดมนทั่วๆ ไป แล้วเพื่อนบางคนก็ไปหา ไปชวนเพื่อนใหม่มา โดยที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งปกติ ผมจะไม่ค่อยตีซี้กับคนที่ไม่ค่อยรู้จักมากนัก แต่เพื่อนบางคนก็ชอบหาเพื่อนใหม่ๆ เราก็เลยไปด้วยกัน แล้วผมก็แกล้งคุยแซว ด่าเพื่อนบ้าง ตามประสาคนที่สนิทกันมากๆ และคบหากันมานาน ไม่คิดอะไรกันครับ บังเอิญเพื่อนคนหนึ่ง เป็นเพื่อนใหม่ มันมาจากทางใต้ และอารมณ์กำลังหงุดหงิด อยากมีเรื่องอะไรประมาณนั้น ผมก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมก็ทำตัวปกติอย่างที่เคยอยู่กับเพื่อนๆ ในกลุ่ม แล้วเพื่อนใหม่คนนั้นเอง ก็เลยบอกว่าอยากคุยอะไรกับผมหน่อย ขอตัวให้ผมแยกออกมา ผมไม่รู้ เพราะไม่เคยโดนลอบทำร้ายครับ ผมก็เลยเอ้า ไปก็ไป เขาก็ล็อกคอผมทำเหมือนว่าตีซี้อะไรแบบนั้น ผมก็ไป จนถึงจุดหนึ่งซึ่งมืดและลับตาคน ไม่มีใครเห็นแล้ว (ตอนนี้ ไปกันสามคน) จู่ๆ เขาก็ซัดผมเลยแบบไม่ทัน ตั้งตัว หลายหมัดทีเดียว ไม่หยุดด้วย ผมโดนไปประมาณหมัดที่สอง ก็เริ่มหมดสติ แต่ผมไม่ยอมล้มลง เขาก็เลยไม่ยอมหยุด เพื่อนอีกคนที่ตามมาด้วย เขาเลยช่วยอ้อมๆ (ไม่กล้าช่วยตรงๆ เขากลัวเพื่อนใหม่คนนี้ครับ เขาเลยแกล้งแอบช่วยผม) คือ เขาผลักผมล้มลงแล้วบอกให้อีกคนหนึ่งว่าไปเที่ยวกันดีกว่า แล้วก็ปล่อยผมสลบอยู่ตรงนั้นเอง ผมสลบไปพักหนึ่ง ก็ได้สติ แล้วก็หาทางกลับบ้านมาเฉยๆ ไม่ได้บอกเพื่อนคนอื่นเลย ต่อมา เพื่อนๆ สงสัยว่าผมหายไปไหน เขาเค้นถามจนได้เรื่อง เขาจึงตามผมมาดูอาการ แล้วเพื่อนคนหนึ่งเห็นจมูกผมเบี้ยวไปเลย ก็เลยบอกว่าให้ไปโรงพยาบาลดีกว่า ผมเลยไปก็ไป (ชีวิตตอนนั้นผม เหมือนปล่อยตัวมาก เวรกรรมอะไรเข้ามาหรือใครให้ไปทำอะไรก็ไปครับ) พอถึงโรงพยาบาล เขาก็ตรวจพบ "กระดูกจมูกหัก" ต้องผ่าตัดเข้ากระดูกเข้าที่ครับ ไม่ได้เสริมจมูกนะครับ มันคนละอย่างกัน


แล้วครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องถูกผ่าตัด ก็เกิดขึ้นจนได้ ความรู้สึกของผมในตอนนั้น ยอมรับวิบากกรรมได้หมดทุกอย่างแล้ว จึงไม่รู้สึกตื่นเต้นหรืออะไรเลย หมอรมยาสลบ เข้ามาก่อน ผมถามหมอว่ามียาทาที่ทำให้ไม่ต้องเจ็บเวลาฉีดยาสลบหรือเปล่า? หมอบอกว่า "จะไม่ยอมเจ็บเลยบ้างหรือไง" แล้วเขาก็ฉีดยาสลบให้ผมที่แขน ผมรู้สึกเย็นมาที่ต้นแขนเลย ผมจึงถามหมอว่า "นานไหม กว่าจะสลบ" แล้วพยาบาลที่เข็ญรถข้างๆ ก็ตอบว่า "เสร็จแล้วค่ะ ไปพักฟื้นที่ห้องนะคะ" อ้่าว นี่ผมสลบไปแว้บเดียวเองนะเนี่ย เผลอไปนิดเดียว หมอก็ผ่าตัดเสร็จแล้ว ดั้งที่หักของผมจึงเข้าที่ แต่ไม่เหมือนเดิมนัก เพราะผมจำแบบเก่าผมได้ครับ แต่มันก็ไม่ถึงกับแย่ ถ้าไม่สังเกตุมากๆ ก็จะไม่รู้ว่าจมูกของผม มันเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อยครับ



 

เสียอาจารย์!

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมเรียนไม่จบถึงสามคณะ สามมหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนที่เรียนเก่งมาก่อน แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ครอบงำ ทำให้สมองผมและจิตใจของผมย่ำแย่มาก เหมือนสิ่งนั้นไม่ต้องการให้ผมได้ปริญญาตรี มันรบกวนและขัดขวางผมทั้งสมองและจิตใจ จนเมื่อผมได้เข้าเรียนบริหารธุรกิจ ผมสอบตกวิชาบัญชีหลายครั้งทีเดียวทั้งที่ผมเคยเก่งวิชาคณิตศาสตร์ และวิชาบัญชีก็ไม่ได้ใช้สูตรคำณวนมากมายอะไร แต่จะมีตัวเลขเยอะที่ต้องใช้ความละเอียดและความชำนาญในระบบบัญชีสักหน่อยก็เท่านั้น สุดท้าย ผมก็ทำไม่ได้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร บางวิชาผมสงสัยมาก ถึงขนาดไปขออาจารย์ดูกระดาษคำตอบเลย เช่น วิชาการสื่อสารการตลาด ซึ่งผมแอบไปเรียนเอง กับเด็กคณะนิเทศศาสตร์ (หรือบางมหาวิทยาลัยเรียกว่าวารสารศาสตร์หรือสื่อสารมวลชนก็มี) ทว่า เด็กจากคณะวิทยาศาสตร์กลับได้คะแนนสูงกว่าผม ผมขอให้อาจารย์เอาคำตอบมาเทียบกันดู ชัดเจนว่าผมตอบเยอะมากและใส่ความรู้ไปมากกว่า แต่อาจารย์ให้คะแนนผมน้อยกว่าเด็กคณะวิทยาศาสตร์ ผมเลยบอกอาจารย์ว่า เทียบกันดูแล้ว เขาตอบน้อยกว่าผมทั้งเนื้อหาและปริมาณ (เด็กวิทยาศาสตร์ไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรงนี่ครับ) แต่ทำไม อาจารย์ใ้ห้คะแนนเขาเยอะมากกว่าผม ในที่สุด อาจารย์ก็ยอมรับแล้วปรับคะแนนให้ผมสูงขึ้นตามที่ควรจะเป็น (ผมรู้สึกว่าอาจารย์ไม่ได้คิดจะกลั่้นแกล้งผม แต่เหมือนเบรอไปชั่วขณะที่ตรวจข้อสอบ เหมือนมีอะไรครอบงำ) และวิชาบัญชีนี่ก็เหมือนกัน ในที่สุด ผมก็ได้อาจารย์ท่านหนึ่งมาช่วยสอนให้ผมแบบเต็มที่ ผมเรียนกันแค่สองคน ต่ออาจารย์หนึ่งท่าน อาจารย์ตั้งใจสอนผมมาก และอาจารย์คนนี้เป็นคนดีมากครับ อาจารย์อายุไม่มาก ยังไม่แต่งงาน และพยายามช่วยให้ผมผ่านให้ได้ เพราะมันเป็นวิชาบังคับ ถ้าไม่ผ่าน ก็ไม่จบครับ ในที่สุด ผมซึ่งเรียนกับเพื่อนไม่กี่คน ก็จบได้ในที่สุด


ทว่า ในวันแม่ อาจารย์ซึ่งขณะกำลังขับรถอยู่ ได้โทรศัพท์ไปคุยกับแม่ แล้วอาจารย์ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าชีวิตคนไม่เที่ยง เป็นธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้นได้ ผมจึงไม่ทันเอะใจว่าเพราะอะไร แต่มาตอนนี้ ผมหวนกลับไปคิดแล้วกลับยิ่้งสงสัยว่า "มีอะไรบางอย่างที่ผมมองไม่เห็น" ทำให้ผมกลายสภาพเป็นคนโง่ (ทั้งๆ ที่ก่อนเข้าเรียนผมทำได้ดีมากๆ เลย) และทำให้เกิดอุบัติเหตุกับอาจารย์ บางครั้ง แม้การได้มาซึ่งใบปริญญา อาจเป็นการแลก ผมไม่รู้ว่าความพยายามที่อาจารย์ช่วยผมนั้น เป็นการแลกหรือไม่? แต่ผมก็สูญเสียอาจารย์ไป เพราะอุบัติเหตุ นั่นคือ สิ่งที่ผมพอจะเข้าใจได้ในระดับของมนุษย์ เดี๋ยวนี้ ผมเริ่มตระหนักถึง "การแลก" มากขึ้น บางอย่างที่เราได้มา มันอาจจะเป็นการแลก และต้องแลกในสิ่งที่เราคาดคิดไม่ึถึงก็เป็นได้ แม้แต่การจบปริญญาก็ตาม (ก่อนหน้านี้ อาจารย์หญิงท่านหนึ่งในคณะที่ผมกำลังศึกษาอยู่แล้วไม่จบ เพราะผมลาออกก่อน ก็พยายามเข็ญให้ผมเรียนให้จบ จนถึงวันหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้ก็ถูกยิงเสียชีวิตครับ) ตอนนี้ ผมไม่ต้องการปริญญาอีกแล้ว!