แม่ชีผู้ชำนาญในฌาน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูอยู่ด้วย วันหนึ่งในช่วงเข้าพรรษาซึ่งเป็นวันที่มีอุบาสก อุบาสีกา ใส่ชุดขาวเข้ามาปฏิบัติสมาธิกันที่วัดด้วย ก็มี "แม่ชีรูปหนึ่ง" เป็นใครก็ไม่รู้ มาจากต่างถิ่นแดนไกล อยู่ๆ ก็เข้ามาร่วมปฏิบัิติ และคุยกับญาติโยมทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติไปได้พอควรจึงหยุดพัก แล้วแม่ของผมซึ่งมาปฏิบัติด้วย ก็ได้พูดคุยกับแม่ชีและกล่าวถึงผม แม่ชีจึงอยากคุยด้วย มีคนไปเรียกผมมา ผมจึงค่อยๆ เข้าไป ตอนแรก เห็นแม่ชีนั่งอยู่ มีโยมอยู่รอบๆ ก็ยังไม่เข้าไปใกล้นัก รอดูว่า แม่ีชีจะให้ผมไปนั่งเสมอด้วยกับสีกาทั้งหลายหรือไม่? (ผมเป็นสามเณรห่มเหลืองครับ ตอนนั้น) เพราะคนห้อมล้อมมาก หากแม่ชีหลงตัวเอง ก็อาจทำอย่างนั้น (ตรงนั้นมีที่นั่งสำหรับพระและสามเณรอยู่ใกล้ๆ ซึ่งจะสูงกว่าที่นั่งของโยมและแม่ชีครับ) ปรากฏว่า ไม่มีใครกล้าบอกว่าให้ผมนั่งตรงไหน ในที่สุด แม่ชีก็เชิญให้นั่งที่ที่พระและสามเณรนั่งกัน (โอเค แม่ชีคนนี้ ไม่หลงตัวเองมากไป คุยกันได้) ผมเลยได้สนทนาธรรมกับแม่ชี แม่ชีเล่าว่าปฏิบัติมามากเลย หลายที่ หลายครูบาอาจารย์ แล้วได้นำเอาหนังสือบันทึกการปฏิบัติมาให้ผมดูด้วย หลังจากสนทนาแล้ว ผมจึงบอกแม่ชีว่า "แม่ชีโปรดสัตว์ได้แล้ว" แม่ชีว่า ยังไม่รู้ว่าตัวเองปฏิบัติได้ ไหม ผ่านหรือไม่? ผมเห็นว่าแม่ชีห่มขาวอยู่ ไม่อาจบวชพระได้ ธรรมที่มีพอควรแก่ตน จึงไม่ได้ให้ธรรมมากเกินไปกว่านั้น บอกเพียงว่าแม่ชีโปรดสัตว์ได้แล้ว ทำกิจได้แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการปฏิบัตินั่นเอง


ในบันทึกของแม่ชีรูปนั้น เขียนกล่าวถึง การเข้าฌานตามลำดับฌาน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าแม่ชีนับอย่างไร ได้เป็นร้อยๆ เลยมังครับ (ถ้าจำไม่ผิด) เข้าและออกฌาน จากฌานหนึ่งไปฌานหนึ่ง ทั้งอนุโลม ปฏิโลม ได้หมด มีความชำนาญมาก เรียกว่า มีวสี ที่มากกว่าใครๆ ที่เราเคยเห็นทีเดียว เพราะปกติ เวลาผมเข้าฌาน ผมไม่ค่อยนับว่าไปถึงไหน ออกไหน ผมจะปล่อยตามธรรมชาติ ไม่ได้จำสภาวะว่า "สภาวะนี้ ถึงฌานที่เท่าไรแล้ว" อะไรแบบนั้น มันก็จะดำเนินไปเอง ลึกลงไปเองเรื่อยๆ (จนผมคิดว่ามีมากกว่า ๑๖ ชั้นครับ) ของแม่ชีเข้าฌาน ๔ (รูปฌาน) ต่อด้วย ฌาน ๘ (อรูปฌาน) ไปแล้วกลับหลายรอบ แต่จะไม่มีเกินกว่านี้ ตรงตามตำราว่าไปตามนั้น แต่ผมคิดว่ามันอาจจะมีทะลุเกินตำราอยู่ ฌานที่เข้าลึกเกินกว่าที่บันทึกไว้ในตำรา คือ มันลึกลงไป ลึกลงไป เรื่อยๆๆ ดิ่งลงไปเองเรื่อยๆ อะไรแบบนั้น จนไม่รู้จะนับชั้น นับลำดับฌานกันอย่างไร ทว่า เอาแค่ ฌาน ๘ นี่ก็พอควรแล้วครับ เลยไม่ได้แนะนำอะไรแม่ชีมาก เพราะแม่ชีก็มีธรรมในตน พอควรแก่ตนแล้ว แม่ชีก็ได้แนะนำผมบ้างเล็กน้อย โดยให้ตำราบันทึกการเดินฌานแก่ผมไว้ด้วย



 

พุทธปาฏิหาริย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยเริ่มต้นเมื่อครั้งที่ผมบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หู อยู่ด้วย เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ผ่านการปฏิบัติธรรมและเรื่องราวลึกลับหลายอย่างมา ไม่น้อยแล้ว วันหนึ่ง ขณะที่กำลังจะไปบิณฑบาตรและกำลังรอพระรูปอื่นอยู่นั้น เป็นเวลานานพอควรพระอาทิตย์ จึงกำลังขึ้นมาพอดี ทว่า ด้านตรงข้ามของวัดเป็นแม่น้ำ และปรากฏมี "ดวงกลมๆ" ใหญ่กว่าดวงจันทร์ สีขาวเปล่งปลั่ง ไม่มีรอยมลทินใดๆ แม้แต่รูปกระต่าย ดูแล้วไม่น่าจะเป็นพระจันทร์ แต่คล้ายพระจันทร์มาก กำลังจะตกลงในทิศตะวันตก ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ผมเห็นคนแรกจึงเรียกสามเณรไปดูว่านี่คืออะไร? พอดีมีชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่ผมรู้จักขี่จักรยานผ่านมาพอดี เขาก็เข้าไปดูด้วย พร้อมๆ กัน เมื่อสามเณรดูแล้วยังไม่รู้ เลยให้ลองถอดกายทิพย์ไปถามพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ ท่านก็บอกว่า "เป็นปริศนาธรรมของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นเป็นปริศนาธรรมแต่แล้วผมก็ยังตีปริศนานั้นไม่ออก เพียงแต่สงสัยว่า เหมือนท่านให้เลือกระหว่างทางโลกกับทางธรรมอย่างนั้นหรือเปล่า? (พระอาทิตย์ หมายถึง ทางโลก, พระจันทร์หมายถึง ทางธรรม) เพราะมีครั้งหนึ่ง หลวงพ่อโต พรหมรังสี (อาจารย์บนสวรรค์) ท่านเคยล้อผมเหมือนกันประมาณว่า "ถ้าแบ่งร่างเ็ป็นสองคนได้ คงดีเนอะ" อะไรแบบนั้น ผมคิดว่าท่านไม่ไ่ด้พูดจริงจัง แต่พูดสะท้อนความต้องการของเราออกมา เหมือนเป็นกระจกส่องให้ผมดูตัวเองประมาณนั้นมากกว่า ทว่่า ผมก็ยังไม่แน่ใจ และยังไม่มั่นใจอยู่ดี ตกลงมันยังไงกันแน่? จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมและสามเณรก็แยกย้ายกัน คือ ผมบวชพระต่อ ส่วนสามเณรก็สึกไปเรียนรู้เรื่องราวทางโลก (เพราะเขาอายุยังน้อยครับ การไปเรียนรู้เรื่องราวทางโลก เหมาะสมกับวัยของเขามากกว่าที่จะบวชยาวต่อไป) เราจึงแยกไปคนละทาง ผมไปทางธรรม แต่สามเณรคู่หูไปทางโลก ทว่า ภายหลัง ผมก็สึกเหมือนกันครับ


บางครั้ง ผมรู้สึกว่ามีพลังสองอย่างมาดึงผมไป ทางใดทางหนึ่ง มันเป็นพลังจาก "คู่บารมี" ที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในอดีต คนหนึ่งอยู่ทางโลกเป็นผู้หญิง, คนหนึ่งอยู่ทางธรรมเป็นผู้ชาย (คู่บารมีเป็นผู้ชายได้ครับ เพราะเราปฏิบัติธรรม จึงไม่จำเป็นต้องเป็นสามีภรรยากัน เป็นสหายธรรมกันก็ได้ครับ) ผมอาจจะมีความชอบทางใดทางหนึ่งอยู่ แต่ก็ละทิ้งอีกทางหนึ่งไม่ได้ (ไม่ใช่จะชอบเชิงชู้สาวนะครับ หมายถึงชอบทางโลกทางธรรมทั้งคู่) แต่ผมก็ยังปล่อยให้ "ธรรมชาติจัดสรร" ต่อไป ผมยังไม่ได้ทำกรรมเืพื่อให้ตนได้ไปสู่ทางใดทางหนึ่ง หรือเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับคนหนึ่งคนใดเลย และผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรมันคืออะไร? แม้แต่ปริศนาธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพุทธปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นจะๆ กับตา ผมเองก็ยังตีไม่ออกเลย



 

มารสุรา-อสูรราหู

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ กล่าวคือ ผมอยู่กับพ่อและแม่ในบ้านเดียวกัน พ่อแม่ทำงานทางด้านการเกษตร แต่จะจ้างคนอื่นมาทำงานบ้างเป็นบางครั้ง และแล้ว พ่อและแม่ของผม ก็โดนแบบทดสอบที่ไม่ธรรมดาเข้าให้ กล่าวคือ เริ่มจากแม่มักจะมีอาการแปลกๆ ที่ผมสังเกตุได้ว่าไม่ปกติเหมือนเดิม เ่ช่น แม่หลงๆ ลืมๆ เหมือนคนสติสตังไม่สมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ปกติ แม่ไม่ใช่คนแบบนี้ ซึ่งบางครั้งผมก็เป็น ผมก็โดน ก็มีอาการแบบแม่เหมือนกันครับ มันไม่ใช่ภาวะปกติ เรียกว่า โง่จนเหลือเกินคนานับ ผิดปกติมนุษย์ไปเลย เช่น พืชผลที่แม่ปลูกไว้เหี่ยวลง เพราะแม่ให้น้ำแล้วฝนตกซ้ำลงมาปรากฏว่าแม่คิดจะเอา "นมไปรด" ครับ  ผมถามแม่ว่า "แม่ซื้อนมมาทำไม" แม่ว่า "ซื้อไปรดพืชผล จะได้หายเหี่ยว" ผมถามว่าไปเอามาจากไหน? ใครเขาทำกัน? แม่ว่า "เขาทำกันทั้งนั้น แล้วหายเลย" (โอ? งมงายสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น) แล้วแม่ก็เอานมไว้ในตู้เย็น ผมเลยเอาไปถวายเทพกุมารแล้วลามากินเฉยเลย ไม่สนใจแม่แล้วพืชผลซึ่งเหี่ยวอยู่ก็หายได้เอง ไม่ตายครับ ต่อมา แม่ก็จ้างคนมาช่วยงาน วันแรก จ้าง ๑ คน ได้งาน ๑ ส่วนเต็ม วันที่สองจ้าง ๒ คน ก็ได้งาน ๑ ส่วนเต็ม ต่อมา จ้าง ๓ คน ก็ได้งาน ๑ ส่วนเต็ม ผมเลิกช่วยแม่ทำงานเลยละ แล้วไม่อยากคุยกับแม่อีก เรียกว่า ผมสไตท์หยุดงานไปเลย วันที่สี่ แม่ก็เอาอีก จ้างพวกเดิมมา ทีนี้มันมากัน ๔ คนได้งาน ๑ ส่วนเต็มเหมือนเดิม ผมคุยกับแม่เลย ปีที่แล้ว แม่ไม่จ้าง ผมช่วยแม่ แม่มีเงินเหลือเก็บ ปีนี้ ถ้าแม่ทำแบบนี้ ผมจะไม่ช่วยอีกแล้ว เด็ดขาดไปเลย สุดท้าย แม่ยอมไม่จ้างพวกนั้นมาแล้วครับ


ที่เห็นทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ตาเนื้อเห็นครับ แต่ในมิติทิพย์มันมี "ตัวบงการ ๒ ตัว" ที่เรามองไม่เห็นอยู่ ได้แก่ อสูรราหู จะมีฤทธิ์ครอบงำให้เรามืดบอด หลงๆ ลืมๆ โง่เง่า ประมาท ขาดความระวัง และอสูรราหูมันชอบขโมยครับ วันแรกมันครอบงำเพื่อนบ้านให้ขโมยแมวผมไปซ่อน ผมดันเห็นแมวผมโผล่หน้าผ่านช่องรอยแตกของบ้าน เอาแมวคืนมาได้ครับ วันที่สองมันครอบงำเด็กที่ทำงานในบ้าน ผมเอากระเป๋าเงินไว้บนตู้เย็น เงินผมหายไปครับ ผมไม่เอาเรื่องแต่บอกแม่ไว้ให้รู้ตัวว่า "บางคน ไว้ใจไม่ได้ครับ" วันต่อมา ผมเอาน้ำมะพร้าวแช่เย็น กินไปบางส่วนที่เหลือถูกขโมยกินครับ (โอ้ว แม่เจ้า! อสูรราหูชอบขโมยน้ำอำมฤทธิ์) ผมโดนเล่นงาน ๓ วันติดกัน ฝีมือผีอสูรราหู ผ่านร่างเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ไม่เท่านั้น พ่อไปงานศพมา ซึ่งญาติคนนี้ตายลงเพราะกินเหล้ามาก ไปได้ผีมารสุราติดมา พ่อต้องกลายเป็นทาสของเพื่อนกินเหล้า คือ มีเพื่อนพ่อคนหนึ่ง ชอบเอาเหล้ามากินปรนเปรอพ่อให้มีความสุขด้วยคำพูดเอาอกเอาใจ แต่มาถลุงเอาเงินพ่อครับ เพราะคนนี้เองที่เอาลูกจ้างมา ๔ คนแล้วทำงานได้ไม่ต่างจาก ๑ คนเลย เป็นอันว่า แม่ผมก็โดนอสูรราหูครอบงำ ส่วนพ่อผมก็โดนมารสุราครอบงำ ผมต้องเจอ ๒ ตัวนี้ ทั้งมารและอสูร เล่นงานกับพ่อและแม่พร้อมกัน สิ่งที่ผมต่อสู้นี้ มันไม่ใช่มนุษย์ครับ เพราะผมเจอมากับตัว รู้ชัดเจน แทบจะรู้เลยว่ามันเคลื่อนย้ายไปร่างไหน ต่อร่างไหน แล้วก่อเรื่องไหนต่อบ้าง แม้ผมไม่มีตาทิพย์มองเห็น แต่มันไม่ต่างกับมองเห็นเลยครับ มันมีจริงเสียยิ่งกว่าจริง มันเล่นงานผม แกล้งผม ถึงขนาดที่ว่าก่อนผมจะหยิบอะไร มันขโมยไปก่อนหมดเลย ทั้งๆ ที่ของเหล่านั้น ปกติ ไม่เคยหาย ไม่เคยเอาออกไปวางไว้ที่อื่นเลยครับ!