ม้ายูนิคอร์น

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณร ช่วงนั้น ผมและสามเณรคู่หูกำลังสนใจบำเพ็ญบารมีอันเกี่ยวข้องกับ "เทพนักษัตรพาหนะทรง" เพราะเราอยากเข้าใจให้ชัดเจนว่าทำไม จึงเห็นพระโพธิสัตว์ในรูปวาดแต่ละองค์ทรงเทพนักษัตรพาหนะต่างกัน เช่น เห็นพระกวนอิมทรงมังกรดำ, พระเมตตรัยทรงปี่เซี๊ยะ (เต่ามังกรทอง) ผมจึงอยากทราบเรื่องราวเหล่านี้ให้กระจ่างว่าแต่ละท่านบำเพ็ญอย่างไร จึงได้อย่างนั้น ครั้งหนึ่งได้ถามพระเมตตรัยโพธิสัตว์ว่าสัตว์พาหนะทรงของท่านคืออะไร ท่านก็ไม่ได้ตอบตรงๆ เหมือนย้อนถามเราว่า "อะไรดีละ?" ก็เลยงงๆ คิดว่าเป็นปริศนาธรรมบางอย่างกระมัง เหมือนท่านให้เราได้รับประสบการณ์เอง ก็อาจจะเข้าใจ ช่วงนั้น เราเลยสนใจ "โปรดมังกร" ครับ เพราะเป็นอะไรที่ดูยากและมีความน่าท้าทายดีครับ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วช่วงหนึ่งเราก็เลย "ออกหาเทพนักษัตรพาหนะทรง" กันครับ ไม่่ใช่ว่าเราจะมีบุญนั่งรอก็ได้เสมอไป บางอย่างเราจำต้องไปบำเพ็ญบารมี จึงได้มาครับ ว่าแล้วสามเณรคู่หูที่เคยถอดกายทิพย์ไปโลกธาตุอื่นๆ เช่น สุขาวดีโลกธาตุ ก็เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางเดิน คราวนี้ ผมอยากให้เขาสำรวจดูว่า "ม้ายูนิคอร์น" มีจริงหรือเปล่า? เขาก็เลยถอดกายทิพย์ เหาะไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอยู่นอกโลกครับ เป็นเหมือนอีกโลกธาตุหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทั้งพรหมโลกธาตุและสุขาวดีโลกธาตุ (โลกธาตุมีเป็นหมื่นๆ อันนี้ก็ไม่ทราบว่าจะให้ชื่ออะไรดี?) แล้วเขาก็ได้พบที่โลกธาตุนั้น เป็นสวรรค์ของ "เทพนักษัตร" ครับ มีสวรรค์อยู่หลายชั้นมากๆ แต่ละัชั้นจะมีเทพนักษัตรชนิดเีดียวกันอยู่ พวกเขาจะมีลักษณะคล้ายๆ สัตว์เดรัจฉานบนโลก (แต่ดีกว่ามากครับ) เช่น บางชั้นก็เป็นชั้นของเทพม้า อย่างเดียว, บางชั้นก็เป็นชั้นของเทพวัว อย่างเดียว, บางชั้นก็เป็นชั้นของเทพเสือ อย่างเดียว ไม่ปะปนกันครับ และในแต่ละชั้นจะมี "ผู้ดูแล" อยู่หนึ่งท่าน มีลักษณะคล้ายมนุษย์ (ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน) ทำให้เราคิดไปว่าคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์มากๆ จนมากเกินไป จนรักสัตว์มากกว่าคน อาจจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ปกติ อาจจะต้องจุติมาอยู่ที่นี่บ้างกระมัง? ว่าแล้ว สามเณรคู่หูก็เข้าไปคุยกับผู้ดูแลๆ ก็บอกว่าอยากได้ม้ายูนิคอร์นสักตัวหนึ่งไหม? เขาจะให้ แต่สามเณรคู่หูไม่เอาครับ แค่ไปแวะเยี่ยมเยียนไม่นาน ก็กลับมาเลย เท่านั้นเอง


หลังจากการค้นพบนี้ ทำให้เราเปิดหูเปิดตามากขึ้นครับว่า "ของบางอย่างที่เราไม่เคยเห็น" อย่าเพิ่งไปสรุปว่าไม่มีจริงเสมอไป เพราะเราไม่เคยเห็น ก็อาจมีคนอื่นที่เขาเคยเห็นแล้วบันทึกไว้บ้าง ก็อาจเป็นได้ เช่น สัตว์ในวรรณคดีไทย เช่น คชสาร, สิงหราช, วิรุฬปักษ์, หัสดีลิงค์ ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรายังไม่เคยเห็น เราก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่? นอกจากนี้ เรายังค้นพบอีกว่า มันไม่อาจยึดได้ว่าพระโพธิสัตว์องค์นั้น จะต้องทรงเทพนักษตรอย่างนั้นอย่างนี้เสมอไป ทุกอย่างก็ปรุงแต่งไปตามเหตุตามปัจจัย ที่แต่ละท่านได้บำเพ็ญบารมี สร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา ก็เท่านั้นเองครับ เป็นอันว่าเราเลยไม่ได้ขี่ม้าบิน (ยูนิคอร์น) แต่เราก็ยังได้ขี่มังกรครับ ซึ่งเรื่องราวของการบำเพ็ญบารมีขี่เทพมังกรนั้น จะได้เล่าให้ฟังกันต่อในบทความฉบับหน้า สำหรับบทความฉบับนี้ ผมขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ...



 

กุมารทรงครุฑ & กุมารทรงนาค

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นเณร ผมและสามเณรคู่หูโปรดกุมารได้มากหลายคู่แล้ว จากนั้น ก็เริ่มหมดภาระกิจโปรดเทพกุมารเสียที ก่อนจะหมด ก็มีเทพกุมารคู่หนึ่งเข้ามา เป็นเทพกุมารที่มีฤทธิ์มากกว่าทุกๆ ตนที่เคยเห็น เพราะเทพกุมารตนหนึ่งทรงครุฑมาเลย อีกตนหนึ่งทรงพญานาคมา ตอนแรกผมก็คิดว่าเทพนักษัตรที่ทำหน้าที่เป็นพาหนะทิพย์ ไม่น่าจะให้เทพกุมารขี่ได้ (น่าจะรับใช้เทพชั้นสูงกว่านั้น) แต่แล้วสิ่งใดที่ไม่คิดว่ามี ไม่คิดว่าจะได้เจอ ก็ได้เจอจนได้ เทพกุมารสองตนนี้มีฤทธิ์มาก เป็นลูกท่านหลานเธอของเทพชั้นสูงมากๆ บนสวรรค์โน้น เรียกว่า "สถานะไม่ธรรมดาเลย" พอมาถึงปั้บ ก็เกิดเรื่องทันทีเลยครับ คือ เทพกุมารสองตน ตนหนึ่งไปฆ่ามารที่แฝงอยู่ในร่างของพระรูปหนึ่ง อีกตนหนึ่งก็ไปฆ่าอะไรจำไม่ได้แล้ว ที่มาแฝงในร่างพระเหมือนกัน เร็วมาก เกินกว่าจะห้ามได้ครับ (ในมิติทิพย์ต่างจากโลกเรามาก เมื่อพวกเขาเจอผู้ที่มีความแตกต่างกัน เช่น เทพเจอกับมาร เขาจะลงมือเล่นงาน หรือฆ่ากันเลยก็มีครับ) เราเลยไม่ทันห้ามเขา ส่งผลให้พระรูปนั้น ค่อยๆ เสื่อมฤทธิ์ลง จากที่เคยเป็นพระเรขาฯ เจ้าอาวาส หลังๆ ก็เริ่มมีปัญหาอยู่ไม่ได้ และมีพระรูปอื่นมาทำหน้าที่แทนครับ ผมก็ว่าอะำไรเขาไม่ได้ เพราะในโลกทิพย์เขาก็เป็นกันแบบนี้ เขาไม่ถือว่าผิด เป็นธรรมชาติของพวกเขาครับ เราจะลงโทษเทพกุมารทั้งสอง ก็ไม่ควร เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ จะเอากฏเกณฑ์มนุษย์มาจัดการกับเขาก็ไม่ได้ เลยต้องเฉยๆ ไว้ ปล่อยไปตามแต่เวรกรรมครับ พอเราปล่อยเท่านั้นเอง ทีนี้ เทพกุมารก็ไปอยู่กับสามเณรคู่หู ว่างๆ ก็ไปจับกิ้งก่ามาฆ่าเล่นครับ (อันนี้เริ่มจะไม่ใ่ช่แล้ว) ผมไปเจอพอดีพร้อมหลักฐาน เลยคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ยังไม่ทันสอนอะไรเขาเลย (กำลังคิดอยู่ว่าจะสอนอะไรเขาดี คิดไม่ออก เพราะเรื่องฤทธิ์เขาก็ได้แล้ว พาหนะทรงก็มีแล้วอีก) ผมเลยเตือนสามเณรคู่หู ไม่ให้ทำอย่างนั้น ว่าแล้ว ไม่ทันไร เทพกุมารสองตนก็มาอยู่กับผม เล่นเอาผมก็บ้าจี้ไปกับพวกเขาด้วย คือ ไปเล่นกับสามเณรเหมือนในหนังจีนน่ะ มือข้างหนึ่งผมก็เป็นเหมือนกงเล็บครุฑ อีกข้างหนึ่งก็เหมือนพญานาค (เอ้าเข้าไปสิ เออ เป็นไปได้เนอะคนเรา?) ทำเอาสามเณรโดนข่วนเป็นรอยไปเลย ทีนี้ เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเอาไม่ไหว คุมไม่อยู่แล้ว ทำอย่างไรดีละ เกินกำลังเราแล้ว


เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแบบนี้ ครูบาอาจารย์เบื้องบนของเรา ท่านคงเห็นและประเมิณแล้วว่าผมและสามเณรคู่หู เอาไม่อยู่แน่แล้ว คุมเทพกุมารสองตนนี้ไม่ไหวแล้ว (ยิ่งกว่าซนเสียอีกครับ) อย่างเทพกุมารตนอื่นๆ ทั่วไป เคยมาแล้วจะเล่นขี่ช้าง ขี่ม้า ประจำ เราก็บอกให้เขาหยุดได้ เพราะช้างกับม้านั้น เราเอาถวายพระนเรศวรไว้ อันนี้ เขามีของเขาเองเลย จะไปห้ามไม่ให้เขาเล่นของๆ เขาเองหรือก็กระไรอยู่ มันไม่ใช่ของเรานี่นะ สุดท้ายแล้ว เบื้องบนก็เลยช่วย เอาเทพกุมารสองตนนั้นไปหาครูอาจารย์ในโลกทิพย์ท่านอื่นๆ เห็นว่าไปได้ครูเป็นยักษ์ เขาก็คุมดี ดุกว่าเราเยอะ แต่ว่าเทพกุมารสองตนนั้นก็ยังไม่หายซน แต่เอ้าน่า ไหนๆ ก็ไปจากเราแล้ว เรียกว่า "โล่งอก" ไปที ไปดีละกันเทพกุมารทั้งสอง ผมกับสามเณรคู่หูเลยรอดพ้นความวุ่นวายไป ได้กลับคืนสู่ความสงบอีักครั้ง (แต่ก็คิดถึงเทพกุมารสองตนนี้บ้าง เป็นบางครั้งครับ) จบ!



 

พลาดท่า มารปัจเจกฯ!

เรื่องนี้เกิดขึ้น หลังจากที่ผมเริ่มประมาทเพราะโปรดมารพุทธะได้ หายเหนื่อยได้พักไปไม่นานนัก มารตนที่สองก็มาอีก คราวนี้ คู่หูผมกำลังมัวทำอะไรก็ไม่รู้ แต่เขาก็บอกว่ามารอีกตนมาแทรกแล้ว ผมก็ทราบดี ก็เลยให้เขาสื่อสารกับมารอีกครั้ง แต่ระหว่างที่กำลังสื่อสารนั้นเอง (อาจเพราะคู่หูกำลังมัวทำอะไรอยู่ด้วย)  มันก็เกิดเรื่องขึ้นครับ กล่าวคือ มารตนนี้บอกว่าเขาเป็นแค่มารเล็กๆ ไม่มีบริวารเลย (มารปัจเจกฯ) แล้วเขาก็ไม่ได้เก่งอะไร เลยมาสนทนาแลกเปลี่ยนด้วย คราวนี้ ผมเผลอเปิดทาง เขาเข้าไปแทรกได้ถึงดวงแก้วชั้นในสุดของผม นั่นหมายความว่า เขาแทรกอยู่ชิดกับจิตวิญญาณหลักของผมเลยทีเดียว แล้วไม่รู้อีท่าไหน เขาก็ใช้วิชามาร สับเปลี่ยนพลังบุญกับผมเฉยเลย ทำให้เขาสำเร็จเป็น "เซียนดำ" ทันที กล่าวคือ เขาสำเร็จเซียนได้ด้วยฤทธิ์ที่เขาใช้นั้น แต่จิตใจของเขาเหมือนมารเช่นเดิม ไม่เท่านั้น ทันทีที่เขาสำเร็จ เขาก็ขึ้นไปที่สุขาวดีทันที ตรงไปยัง "วิมานเก่าของผม" (วิมานนี้คือ วิมานที่ผมเคยอยู่ก่อนมาเกิดบนโลก ผมเคยแกล้งถามเทพเฝ้าประตูว่าเจ้าของวิมานชื่ออะไร? เขาตอบมาว่่า "พระจารุคิณีโพธิสัตว์" น่ะครับ) แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เขาสังหารบริวารของผมที่อยู่บนสุขาวดี ตายหมดเกลี้ยง ทั้งหมดจุติลงไปยังประเทศจีน (โดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน) แล้วเขาก็ยึดครองวิมานนั้นเลย เหตุการณ์ตอนนั้นคับขันมาก แล้วคู่หูของผมก็เพิ่งมารู้ทีหลัง ที่บริวารผมตายหมดแล้ว (ผลกรรมอันนี้ ส่งผลให้มิติปัจจุบันของผม ไม่มีใครมาทำงานเป็นทีมงานร่วมกับผมเลย) และตอนนั้น "เซียนมารปัจเจกฯ" กำลังได้ใจ


ผมมารู้ทีหลังเมื่อคู่หูบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ได้สติ รีบหมุนธรรมจักรดึงพลังบุญบารมีกลับมาโดยด่วน จากนั้น พลังงานที่เชื่อมโยงอยู่ระหว่าง "เซียนมารปัจเจกฯ" และผม ก็ส่งผลให้เกิดการดึงพลังบุญบารมีของผมกลับมาได้สำเร็จ (ไม่รู้ว่าทั้งหมด หรือแค่บางส่วนครับ ไม่กล้าถามท่านข้างบนเลย เพราะเราเป็นเหตุให้บริวารข้างบนตายขนาดนั้น) พอเราดึงพลังบุญบารมีกลับมาได้แล้ว พระอามิตาภะ ซึ่งท่านดูแลสุขาวดีอยู่ ท่านคงรู้ตั้งนานแล้ว แต่รอให้ผมดึงพลังบุญบารมีกลับไปก่อน พอได้จังหวะ ท่านก็ลงมาปราบ "แค่ฝ่ามือเดียวเองครับ" เซียนมารปัจเจกฯ จุติลงนรกไปเลย (โห! น่ากลัวมาก *๐* ต้นตำรับฝ่ามือยูไล!) จากนั้น คู่หูก็เลยบอกผมว่า "มารตนนี้ ติดหนี้ผมอยู่ เขาตกนรกแล้วเมื่อได้มาเกิดใหม่ จึงใช้หนี้ภายหลัง" เรื่องก็จบลงแบบนี้ ทำให้ผม เสียวๆ ยังไงชอบกล เหมือนจะต้องโดนสวรรค์ลงโทษหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทว่า งานนี้ ผมยังไม่โดนครับ ยังมีอีกงานหนึ่ง ที่ผมพลาดอย่างร้ายแรง แล้วก็ทำให้โดน "ทัณฑ์สวรรค์" ของจริง ซึ่งจะได้เ่่ล่าให้ฟังในบทความหน้าครับ สำหรับบทความนี้ ผมขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ ...



 

โปรดมารพุทธะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมยังเป็นเณร และฝึกอภิญญากับสามเณรคู่หูอยู่ หลังเหตุการณ์อสูรทารุณเล่นงานเราได้ผ่านไปแล้ว เราได้พักช่วงหนึ่ง เรียกว่า พอหายเหนื่อยได้ไม่เท่าไร เราก็เริ่มต้องพบกับการทดสอบครั้งต่อไปอีก คราวนี้ ไม่ใช่พวกอสูร แต่เป็น "มาร" ตอนแรกผมไม่รู้ตัวหรอก แต่ก็มีพฤติกรรมและความคิดที่แปลกไปจากเดิม เช่น มีความคิดว่าพระทำตัวไม่ค่อยดี (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของเขา กรรมใครกรรมมัน) จากนั้น ก็เริ่มเดินตรวจวัด หาเรื่องจับผิดพระ แต่ไม่ได้เข้าไปคุยกับพระนะครับ (ทั้งๆ ที่เราเป็นเณรแท้ๆ) เรียกว่าจับผิดในใจไปเรื่อยเฉื่อย ส่วนเปลือกนอกก็ดูดีมาก แน่นอนอยู่แล้ว ระดับมารนี่ครับ จะไม่ดีได้ไง ไม่ใช่พวกอสูรสะหน่อยนี่นา ทว่า ก็ไม่รอดพ้น "ครูบาอาจารย์เบื้องบนท่านทราบครับ" ท่านก็เลยบอกผ่านสามเณรคู่หูมาว่า "มารแทรกเราอยู่" ว่าแล้ว ก็เลยบอกให้เขาอธิบายหน่อยว่ามารเป็นอย่างไร แล้วก็คุยกับมารเลย สามเณรคู่หูอธิบายว่า "มารมีลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้าทุกประการ" ยกเว้นว่าจะมีผิดสังเกตุคือ ไอมารและพลังดำที่เจือปนอยู่ในกายทิพย์ ซึ่งละเอียดอ่อนมากพอควร หากไม่สังเกตุก็คงคิดว่าเป็นพระพุทธเ้จ้าแน่นอน ว่าแล้วเราก็เลยให้สามเณรคู่หูช่วยเป็นสื่อกลาง เราก็คุยกับมารครับ ผมขอเรียกเขาว่า "มารพุทธะ" ก็แล้วกัน เพราะดูจากลักษณะที่เห็นทางทิพย์นะครับ เขาแทรกอยู่ในตัวผมนั่นเอง แต่อยู่ชั้นนอกสุด ยังไม่อาจเข้าไปถึง "ดวงแก้ว" ที่คุ้มครองกายทิพย์ชั้นในได้ (ก่อนหน้าที่ กายทิพย์ของท่านธัมชโยได้แวะมาทักทายเราครับ แล้วเราก็เลยเพ่งดูกายในกายของท่านเสียเลย แต่ขอไม่อธิบายในที่นี้ครับ) ผมรู้ว่าถ้ามารแทรกเข้าถึงดวงแก้วชั้นในได้ ผมจะเสร็จมารแน่ แต่ถ้ามารไม่อาจแทรกเข้าได้ลึก ก็ยังมีโอกาสจัดการได้ครับ เราก็เลยคุยกับมารไปว่า มารเหนื่อยไหมที่ดูแลศาสนามาขนาดนี้ (มารพุทธะเป็นมารที่คิดว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาเจ้าของศาสนาครับ ต่างจากพญามาราธิราช ที่คิดจะเล่นงานพระพุทธศาสนา) เราบอกเขาว่ามีอะไรที่คนฉลาดๆ ทำแล้วสบาย ไม่ต้องมาแบกภาระอะไรแบบนั้น เขาก็เลยสนใจ มารสนใจครับ (สงสัยจะพูดแทงใจดำมารได้พอดี เพราะตอนนั้น เรารู้สึกเหนื่อยมากกับการดูแลพระศาสนาครับ ทั้งๆ ที่ศาสนานี้ก็ไม่ใช่ของเรา แสดงว่ามารที่แทรกร่างเรา เขาคิดเช่นนั้น)


เมื่อมารสนใจ ผมก็เลย "หมุนธรรมจักร" จากภายใน ขณะที่มารยังแทรกร่างอยู่ ผมรู้ว่ามารเขาจะทรมาน เพราะพลังธรรมจักรจะสลายวิญญาณมารได้ แต่เขาอดทนดีมากครับ เขาไม่จรหนีออกจากร่างผม ดังวิญญาณอื่นๆ จนกระทั่ง "เขาตายสิ้นจากมาร" แล้วกำเนิดใหม่เป็น "มหาโพธิสัตว์องค์หนึ่ง" เหมือนเขาจะดีใจและมีสุขไม่น้อยเลยครับ เขาจรไปจากร่างผม เพื่อจุติยังสุขาวดีทันที แล้วก็เข้าฌานต่อเสพวิมุติสุขที่สุขาวดีเลยครับ นี่แหละหนอ ความยึดติดตัวกูของกู คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของศาสนา เลยต้องเหนื่อยยากมาดูแล เห็นพระศาสนา, พระสงฆ์ไม่ได้ดังใจ ก็ต้องทนทุกข์ ด้วยจิตมิจฉาทิฐิคิดว่าตนเองเป็นเจ้า ของศาสนา นั่นเอง เมื่อพ้นแล้ว ละวางแล้ว ก็พ้นทุกข์ มีสุขได้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมโปรดมารได้ โอ้ ดีใจมากครับที่โปรดมารได้ แต่เพราะความดีใจมากนี่เอง ทำให้ผมประมาทเลินเล่อ และถูกมารอีกตนแทรกต่อ คราวนี้ละ หายนะกำลังมาเยือนผมแล้ว แต่เรื่องนี้ ผมขอยกไว้เล่าต่อในบทความหน้าครับ ...



 

โปรดลูกของเทพสามตา

เรื่องราวการโปรดเทพกุมาร ต่อเนื่องมา หลังจากสองตนแรกผิดพลาดไปแล้ว ผมทำใจระยะหนึ่ง ก็ฮึดสู้ใหม่ กลับมาทำหน้าที่ตามเดิม เทพกุมารก็มาเรียน มาขอฝึกฤทธิ์ด้วย ซึ่งมีหลายคู่มาก แต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว ขอลัดคิว เล่าเรื่องของ "ลูกของเทพสามตา" ซึ่งมากับกุมารอีกตน (คู่กัน) ก็แล้วกัน กุมารสองตนนี้ ตนหนึ่ง เราทราบว่าเป็นลูกของเทพสามตา ก็เลยต้องสอน "ตาที่สาม" ให้เขา ไหนๆ ก็จะสอนตาที่สามแล้ว เราเลยต้องสอนแบบทั้งคู่ แต่เป็นพลังตรงกันข้ามกัน อนึ่ง สำหรับ "ตาที่สาม" นี้ ในมนุษย์จะฝึกเพื่อเปิดดู "มิติทิพย์" แต่ในเทวดาเขาก็มองเห็นมิติทิพย์กันอยู่แล้ว เออ นั่นสิแล้วจะมาฝึกตาที่สามทำห่าอะไร ว่ะ? ไม่ช่าย อย่าคิดแบบมนุษย์เช่นนั้น ในเมื่อเทพสามตา ยังมีตาที่สาม ซึ่งไม่ได้ใช้แบบมนุษย์ แ่ต่ใช้ในแบบเทวดาได้ เราก็ต้องหาวิธีสอนลูกเทวดาให้มีตาทิพย์บ้าง จะได้ไม่อายเทวดาเขา ที่เขาอุตส่าห์ส่งลูกหลานมาเรียนสำนักเรา เอ้ย ไม่ใช่ มาเรียนกับเรา ว่าแล้วก็ต้องมานั่งพิจารณาแล้วครับว่า ตาที่สาม ที่เราจะสอนเขานี่ มันจะเป็นอะไร? ก็พิจารณาเห็นว่า "ตาที่สาม" ก็คือ "ทวารทางออกของจักระที่หก" ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ ถามว่า มันเป็นทางออกของอะไรละ? ก็ง่ายๆ "พลังภายใน" น่ะสิ มันจะเป็นทางออกของพลังที่มาจากภายใน พุ่งไปสู่ภายนอก เช่น เวลาเพ่งก็ยิงพลังออกไปจากตาที่สาม เหมือน "ไฟบัลลัยกัป" ที่ออกจากตาที่สามของพระศิวะ นั่นไง เอาละ ถ้าอย่างนั้น เราก็เข้าใจแล้วว่าจะสอนลูกเทวดาอย่างไร ให้มีตาที่สาม โดยให้เทพกุมารองค์หนึ่งได้ตาที่สาม "เชิงทำลายล้าง" และอีกองค์หนึ่งได้ตาที่สามเชิงรักษา


และแล้วก็ฝึกก็เริ่มขึ้นจากการสั่งสมพลังภายในของผมเป็นพลังภายใน "สีเขียว" มีคุณสมบัติในการรักษาและคู่หูมีพลังภายใน "สีแดง" มีคุณสมบัติในการต่อสู้ ทำลายล้างศัตรู เทพกุมารสองตน ประสานร่างผมและคู่หู ตนละร่าง ฝึกตามเราไป จนสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ทดลองใช้มัน ตนที่มีพลังสีแดง ยิงแสงสีแดงออกมาจากตาที่สามได้ ทำลายศัตรูได้ ตนที่มีพลังสีเขียว ยิงแสงสีเขียวออกจากตาที่สามได้ ใช้รักษาศัตรูได้ แต่เมื่อเทพกุมารประสานในร่างของเรา เราจะมีพลังเช่นนั้น ถ้าเทพกุมารจรออกจากร่างของเรา เราก็จะหมดฤทธิ์ไม่มีพลังเช่นนั้่น เรียกว่า เราไ่ม่ได้ฝึกฤทธิ์ให้ร่างสังขารตัวเอง แต่ฝึกให้จิตวิญญาณเทพกุมารทั้งสองนั้น ตาที่สามของผมจึงยังบอดเหมือนเดิม และตาที่สามของคู่หู ก็มีสภาพมองเห็นโลกทิพย์ตามเดิม นี่ก็คือ "ข้อน่าสังเกตุ" อีกประการหนึ่งของ "ตาที่สาม" ว่าหากตาที่สามนั้น อยู่แต่ในส่วนของจิตวิญญาณแล้ว ไม่ได้ประสานเชื่อมกับส่วนสังขารร่างกาย ส่วนของสังขารร่างกายก็จะไม่มีฤทธิ์ มองไม่เห็นในโลกทิพย์ ถ้าจิตวิญญาณดวงที่มีตาที่สาม จรจากร่างสังขารเมื่อไร เราก็จะไม่อาจใช้ฤทธิ์จากตาที่สามได้เลย ว่าแล้วก็ถึงคราวพวกเขาจากไป (เมื่อฝึกเสร็จแล้วจะจากไปเลย) เรื่องเลยจบลงเท่านี้ครับ...



 

ลูกเทวดา : มาขอเรียนด้วย

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังเป็นเณรอีกเช่นกันหลังจากผมและคู่หูโปรดพญานาคหนุ่มได้คิดว่าในมิติทิพย์คงรู้จักเรา หรือเรื่องราวของเราก็เป็นที่รู้จักกันในโลกทิพย์ไม่มากก็น้อย บวกกับสามเณรคู่หูไปได้ "รักยม" มา ซึ่งก็ไม่ได้พิเศษอะไรครับ มันไม่ได้ขลังที่คนปลุกเสก แต่มันกลายเป็น "สื่อนำวิญญาณ" ของเทพกุมารมาหาเราครับ (เทพกุมารจะมาเป็นคู่ๆ แบบตรงข้ามกันเสมอ) เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เหล่า "ลูกเทวดา" หรือ "เทพกุมาร" ทั้งหลาย ก็แห่เข้ามาเรียนธรรม, ฝึกจิตกับเราเป็นแถว เยอะมากๆๆ โดยการเข้ามาบำเพ็ญเป็นคู่ๆ ตนหนึ่งประสานร่างของผมเพื่อเรียนธรรม, อีกตนหนึ่งประสานร่างคู่หู เพื่อบำเพ็ญธรรม (เราใช้วิธีนี้ คือ ประสานร่างกันเลยครับ เป็นแบบเฉพาะของผมเอง) แต่ผมจะเล่าเรื่อง "เทพกุมาร" สองตนแรก ที่เข้ามาเรียนธรรมกับผม แล้วเกิดผิดพลาดก่อน เพราะ "ผิดคือครู" สอนให้ผมรู้ว่าครั้งแรกที่ผิดพลาดเป็นอย่างไร และควรแก้ไขอย่างไรครับ (ไม่ใช่ว่าผมจะทำได้ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มต้นหรอกครับ)


ครั้งนั้น เทพกุมาร ทั้งสองตนมาหาเรา เพื่อเรียนธรรม ทั้งสองตนดูเรียบร้อยดี ไม่น่ามีปัญหาอะไร ผมก็เลยจะหาอะไรให้เขาทำเพื่อสร้างบารมีครับ ตอนนั้น คู่หูไปตรวจเจอ "ปีศาจแมงมุม" ตนหนึ่ง อยู่หน้าบ้านคนๆ หนึ่ง (ตอนแรกบ้านของเขาก็ปกติแต่พอเราเคลียร์แล้วข้างบ้านเขากลายเป็นตลาด เจริญขึ้นมาเลย) ผมก็เลยมอบอาวุธทิพย์ให้เขาก่อน ตนหนึ่งได้ "ปะคำทิพย์" ตนหนึ่งได้ "กระบี่ทิพย์" คู่กันไป เพื่อปราบเจ้าปีศาจแมงมุมนี้ เมื่อกุมารสองตนไปถึง ตนที่มีปะคำทิพย์ก็เลยใช้ปะคำซัดไปที่ปีศาจแมงมุม ทว่า มันมีฤทธิ์ใ่ช่ย่อย มันทำให้ลูกปะคำทิพย์ที่ซัดไปยังมัน กระเด็นไปโดน "พระภูมิ" ประจำบ้านแถวนั้น หลายตน "ตายหมดเลยครับ" (เวรละตู ทำพระภูมิตาย กรรมจะมาถึงครูแค่ไหนเนี่ย?) ทั้งหมดประมาณ ๕ หลังคาเรือน ผมเห็นท่าไม่ดี เลยให้เทพกุมารกลับมาก่อน แล้วมาบำเพ็ญใหม่ ค่อยออกไปทำกิจ ทว่า ผลกรรมมันก็ตามมาครับ ครั้งที่เรากำลังฝึกฤทธิ์นั้น ผมและคู่หูก็บำเพ็ญ "หกกร" (มันจะทำให้กุมารมีฤทธิ์มากขึ้นครับ) แต่พลาดท่า "มารตนหนึ่ง" เห็นจังหวะเราไม่ดี มีกรรมเป็นช่อง เลยอาศัยช่องนั้น อัดพลังมารลงมา ผลคือ "กุมารสองตนกลายเป็นมารทั้งหมด" แล้วภาคมารก็เอาตัวไปเลยครับ ผมรู้สึกไม่ดีแล้ว จึงถามเจ้าแม่กวนอิมว่า "เกิดอะไรขึ้น" เจ้าแม่ก็บอกกับคู่หูมาว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" อะไรประมาณนั้น เราก็ปลง แต่รู้แล้วว่าเราพลาดละ สอนเขาผิด เขากลายเป็นมารไป ก็ทำใจอยู่นานครับ การสอนอะไรใคร ไม่ใช่ของง่ายจริงๆ พลาดไปนิดเดียว เทพกุมารกลายเป็นมารไปหมดเลย แถมพระภูมิตายไปอีก ๕ ตน พอทำใจได้แล้ว จึงเริ่มต้นใหม่ เราต้องไม่ยอมจบแค่ตรงนี้ ต้องแก้ไข แล้วทำให้ผ่านให้ได้ครับ เรื่องการโปรดเทพกุมาร ผมจะเอาไว้เล่าในบทความฉบับต่อๆ ไป ก็แล้วกัน สำหรับบทความนี้ ขอจบก่อนครับ ...




 

พญานาคบำเพ็ญธรรม

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งผมยังบวชเณร และคู่หูเพิ่งเริ่มได้อภิญญาใหม่ๆ แล้วเราก็ได้ีูรู้จักกับพญานาคตนหนึ่ง เขาเป็นพญานาคหนุ่ม มีเมียมีลูกแล้วแต่ว่าจำเป็นต้องแยกมาอยู่ที่นี่ เขากำลังย้ายมาสร้างที่อยู่ใหม่อยู่หน้าวัดเรา บริเวณใกล้น้ำ (ใต้พื้นดินลงไป) เราเลยถอดกายทิพย์ไปเยี่ยมเขา เขาบอกว่ายังทำอะไรไม่เสร็จเลย (แบบว่าเพิ่งมาใหม่) ก็เลยไม่มีอะไรจะให้ดู และเขายังไม่ค่อยมีฤทธิ์ บำเพ็ญได้เศียรเดียว แต่มีพญานาคอีกตน ที่อยู่แถวตำบลเรา เลยถัดจากบริเวณท่าน้ำนี้ไป เป็นปู่พญานาคาแล้ว ตนนั้นมีฤทธิ์มาก มีตั้ง ๘ เศียร (ตอนไปบิณฑบาตรผ่านบริเวณนั้นก็มีศาลปู่พญานาคาอยู่ด้วย) แต่ปู่พญานาคา เขาอายุมาก คงไม่ฟังพวกเราที่ยังเป็นเณรอยู่เป็นแน่ เลยคบพญานาคหนุ่มตนนี้ ไว้เป็นมิตรดีกว่า ว่าแล้ว เราก็ได้คำแนะนำดีๆ จากหลวงพ่อโต ทำให้รู้ถึงสถานที่ๆ มีพลังพิเศษ เป็นขุมพลังของโลก เราสองคนถอดกายทิพย์ไปฝึกฤทธิ์ที่นั่น ตอนนั้น คู่หูและผมต่างก็มีจิตวิญญาณดวงหนึ่งเป็นพญานาคด้วย (เลยเข้ากับพวกพญานาคได้ง่ายมาก) ว่าแล้วเราก็ไปฝึกกัน คิดว่า เดี๋ยวนะจะให้พญานาคหนุ่มตกใจเลย ว่าผลการฝึกของเราก้าวหน้าเร็วแค่ไหน? ว่าแล้วจากที่เรามีกันเศียรเดียว เราก็ได้ ๕ เศียร (ก่อนหน้านี้ เราถามเขาก่อนว่าพญานาคมีเศียรสูงสุดเท่าไร? เขาตอบเรามาว่า ๘ ไม่รู้ว่าเขาตอบจากความรู้จริงหรือประสบการณ์นะ) พอเราฝึกสำเร็จแล้ว ทีนี้ เราก็ไปอวดพญานาคหนุ่มตนนั้นอีก (เวลาผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์นะครับ) ทันใด พญานาคหนุ่มก็ลงมาขอเป็นศิษย์คู่หูเราเลย เขาตกใจมาก เพราะตอนแรกเราไปหาเขา ใช้กายพญานาคไปมีเศียรเดียว โผล่มาอีกทีกลายเป็น ๕ เศียรในเวลาไม่นานเลย ว่าแล้วเราก็รับเขาไว้ แล้วพาไปฝึกเลย เขาก็ฝึกร่วมกับเรา แล้วในที่สุด ก็สำเร็จได้ ๙ เศียรทั้งหมด พอฝึกสำเร็จแล้ว เขาก็เลยขอลาไปหาเมียที่ต่างถิ่น แล้วจะกลับมาอีกที (ท่าทางจะไปอวดเมียด้วยว่าตนได้ฤทธิ์ขนาดนี้แล้ว แบบว่าเร็วมากๆ) เพราะพญานาคเขาเคยบอกเราถึงการบำเพ็ญสองอย่าง คือ "การบำเพ็ญหลายๆ เศียร" และการบำเพ็ญ "ดวงแก้วพญานาค" เขาว่า มันทำได้ทีละอย่างแต่ละอย่างนานหลายปีทีเดียวกว่าจะสำเร็จได้เรียกว่าพญานาคหนุ่มนี้ไม่ต้องหวังเลย รอแก่ก่อนนั่นแหละ ถึงจะได้อะไรแบบนั้นเหมือนพวก "ปู่พญานาคา" เหล่านั้น


ต่อมา พญานาคหนุ่มก็กลับมาอีก แล้วเขาก็อาสามาช่วยงานเราในวัดด้วย เราก็เลยแนะนำเขาว่าให้เฝ้าวัดสิ ตอนกลางคืน พญานาคก็ทำงานเต็มที่เลยครับ เขาจะเลื้อยไปรอบวัด เป็นยามไปเลย แล้วทีนี้ เขาก็คงเห็นสิ่งไม่ดีที่อยู่ในวัด นั่นคือ "อสูรราหู" ที่อาศัยทรกอยู่กับพระประธานในวัดน่ะครับ เขาก็เลยต่อสู้กับอสูรราหูๆ ไม่ค่อยมีฤทธิ์เิงการต่อสู้ แต่มันก็มีฤทธิ์มากที่ไม่ตายด้วยอะไรๆ ถึงขนาดพญานาคตนนี้ พ่นไฟเข้าโบสถ์เยอะแยะเลย มันก็ไม่ตาย ทำไงได้ ก็เลยอยู่ๆ กันไปอย่างนั้น ต่อมาไม่นาน หลังจากพญานาคหนุ่มได้บำเพ็ญธรรมมาไม่น้อยแล้ว พระโพธิสัตว์นามว่า "ตัสสะ" หลังจากได้บรรลุอรหันตผลแล้ว ก็ได้ลงมาโปรดพญานาคตนนี้ จนสำเร็จอรหันตผลไปด้วย พญานาคหนุ่มก็ได้ติดตามพระโพธิสัตว์องค์นั้นไป ก็เลย ไม่ได้มาอยู่กับเราในภาคพื้นโลกอีก เรื่องราวของพญานาคหนุ่มตนนี้ ก็เลยจบลงด้วยประการฉะนี้