เด็กมีบุญมาเกิด : ทำให้ถูกหวยเป็นแสน!

เรื่องนี้ ไม่ใช่ผมถูกหวยเป็นแสนหรอกนะครับ แต่เป็นคนรอบๆ ตัว ไม่ใกล้ไม่ไกล คือ ผมสังเกตุอยู่นานว่าคนแถวบ้านมีถูกหวยกันบ่อย เลยลองสังเกตุดูครับว่าเขาทำอะไรจึงถูกหวย แล้วก็เริ่มจับเคล็ดได้เล็กน้อยว่า "ทำบุญกับเด็ก" ครับ มันเป็นอย่างนี้ครับเด็กทุกคนที่เกิดใหม่ๆ จะมี "พลังบุญ" ติดมาฝากคนที่ดูแลหรือเลี้ยงดูด้วย ถ้าใครเลี้ยงดูหรืออุปการะ แม้ว่าไม่ใช่แม่ เช่นให้ของ, ให้เงิน ฯลฯ พลังบุญจะส่งผลเร็วทันใจ แปลกเสียจริง แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นเช่นนี้ในเด็กทุกคนหรือไม่? เพราะผมถูกหวยครั้งแรกในชีวิต ก็เพราะผมไปซื้อน้ำส้มไปเลี้่ยงเด็กกำพร้าน่ะครับ แต่ผมก็ถูกไม่เยอะนะครับ คนที่ถูกเยอะๆ นี่ เขาเลี้ยงหลานที่มีบุญละมั้ง หลานคนนั้นเกิดมาไม่นานเท่าไรครับ เขาถูกทีเป็นแสนและสองงวดต่อกันในไม่กี่เดือนครับ ยังมีอีกคนคือ พี่สาวข้างบ้าน (ญาติกัน) ก็ถูกหวยเพราะเอาเงินไปเลี้ยงเด็กเล็กข้างบ้าน ที่เพิ่งเกิดมาไม่นานครับ (โปรดสังเกตุว่่าคนที่ได้บุญนี้ จะต้องไม่ใช่พ่อแม่ของเด็กนะครับ) ผมว่าอันนี้ "ของจริง" ไม่น่าจะผิด แต่อาจไม่ใช่เด็กทุกคนมีพลังบุญเท่ากันนะ อาจเป็นเพราะเด็กมีจิตบริสุทธิ์ เลยให้ผลบุญเร็ว ก็ได้ หรือว่าเขาเคยเป็นพระในอดีตชาติมาเกิด? แล้วจิตที่เป็นเด็กยังใสๆ ก็เลยได้ผลบุญเร็วทันตา ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ถูกกันเป็นแสนนี่มากกว่า ๑ คน เท่าที่ผมลองสังเกตุ "นาบุญ" ของเขาแล้ว ไม่ใช่ "พระสงฆ์" นะครับ ทำไม พระสงฆ์ให้บุญได้ไม่เท่าเด็ก? อาจเพราะ ๑. โตมากแล้ว จิตอาจบริสุทธิ์น้อยลง ๒. ชาติก่อน ไม่ได้สั่งสมบุญไว้มาก เลยมาทำขณะเป็นพระชาตินี้ (ก็รอไปเอาชาติหน้าละกัน) ๓. เด็กที่ผมพบ อาจเป็นพวกมีบุญบารมีมาเกิด ก็ได้ ก็เจอบ่อยๆ อาจารย์พาไปเจอ เช่น เด็กที่เป็นครูบาศรีวิชัย, หลวงพ่อฤษีลิงดำ, หลวงปู่ปาน ฯลฯ มาเกิด พูดมากไปไม่ได้ ลูกศิษย์คลั่งอาจารย์ เขาจะด่าผมเอา ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วกัน ว่าแล้วผมก็มองๆ ดู "เนื้อนาบุญ" ต่อไป เพราะถ้านาดี มันทำได้ผลเร็วทันใจดีว่ะ ฮ่าๆๆ (บางคนเป็นชาวนา ไม่มีตำแหน่ง เงินเดือนกิน เหมือนจนนะ พอถูกหวยเป็นแสนนี่ เท่ากับเงินเก็บของมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานมาเกือบสิบไปได้เลย - มนุษย์เงินเดือนกว่าจะมีเงินเก็บ ก็ต้องทำงานหลายปี พอมีเก็บแ้่ล้วก็จ่ายเสียอีกครับ แต่นี่ ชาวนา เงินหลักแสนสำหรับเขา อยู่อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องมีเจ้านายมาสั่งใช้ ได้นานโขเลยครับ จะว่าไปแล้ว ชีวิตออกจะดีเลิศกว่ามนุษย์เงินเดือนตั้งมากมาย)


คำถามก็มีอยู่นะ เช่น ผมหรือคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบารมีมากมาย ทำไม คนที่มาช่วยเหลือผม ก็ไม่เห็นจะถูกหวยกันเลย ผมว่าก็จริงแหละ "บุญของคนเราไม่เหมือนกัน" เท่าที่ผมเห็น เคราะห์ร้ายจะถึงตัวใคร คนๆ นั้นชอบมาทำอะไรดีๆ กับผม แล้วเขาก็ไม่เกิดอะไรขึ้น "แค่ปกติเท่านั้นเอง" ก็เลย เหมือนไม่มีบุญอะไรหรอก (แต่ผมเห็นกรรมมันจ่อคอหอยแล้วเชียว กำลังจะโดนอยู่อีกไม่กี่วันแล้วเชียว มันก็หายไปได้) เออ ตรงนี้ ทำให้ผมทราบไปอีกว่่า "บุญและการจัดสรรบุญ" ไม่เหมือนกัน ถ้าอยากถูกหวย ให้ทำบุญกับ "เด็กที่มีบุญมาเกิด" และไม่ควรเป็นลูกเราเอง (เราจะไม่ได้ครับ) ถ้าอยากหมดเคราะห์ หมดกรรม ก็ให้ทำบุญกับคนที่บำเพ็ญบารมีผ่านเคราะห์กรรมมากๆ มาได้แล้ว (อันนี้ไม่ยาก ถามประวัติเขาก็ทราบแล้วละครับ) ถ้าอยากได้ตำแหน่งข้าราชการ ก็ไปทำบุญกับคนที่มี "บารมีทางยศฐาบรรดาศักดิ์" ถ้าอยากได้เมียดี เมียรวย อะไร ก็ไปทำบุญกับคนที่มี "บารมีทางคู่ครอง" แน๊ะ ไม่่ต่างอะไรกับการไป "ขอพรเทพฮินดู" นะ แต่ละองค์มีหน้าที่ "ให้พรต่างกัน" เราก็ลองดูเอา แต่นี่ดีกว่าขอพรจากเทพ บางครั้งเราต้องมีอะไรไปแลกให้เทพเขานะ แต่ถ้าเราใช้พลังบุญที่ได้จากการทำให้คนด้วยกัน "มันปลอดภัยกว่่าเยอะ" คร้าบเจ้านาย...



 

ผจญภัยอสูรราหูครอบงำ!

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมบวชเป็นเณร และคู่หูสามเณรฝึกอภิญญาสำเร็จบางส่วนแล้ว เขาจึงมองเห็นสิ่งที่อยู่ในมิติทิพย์ได้ แล้ววันหนึ่งเราก็เริ่มถูก "อสูรราหู" รบกวน โดยอสูรราหูตนนี้ อาศัยเชื่อมโยงพลังอยู่กับ "พระประธาน" ประจำวัดของเรา เมื่อใดที่มีคนไปกราบไหว้ เขาก็จะได้พลังจิต มีฤทธิ์มากขึ้น และเมื่อมีพระไปบวช ต้องทำพิธีในโบสถ์ ไม่มีพระรูปไหนที่ดูจิตตรงนิพพานเลย ทุกคนที่บวช มาด้วยงานใหญ่ที่อวดแข่งกัน เอาหน้าเอาตา ลุ่มหลงมัวเมา หวังให้คนจำนวนมากๆ เห็นว่าฉันรวย ทั้งๆ ที่คนในละแวกนี้ ก็มีแต่เกษตรกร ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก ทำให้งานบวชแต่ละครั้งจะต้องยืมเงินคนอื่นมาเป็นแสนถึงสองแสน และไม่มีใครสอนได้ ลุ่มหลงกันอยู่อย่างนี้ อันน่าจะมาจากอิทธิฤทธิ์ของอสูรราหูตนนี้นี่เอง และแล้ววันหนึ่ง เราก็ได้พบกับ "พญานาค" ตนหนึ่ง เขามาจากแดนไกล เขามาอยู่ใหม่ที่ท่าน้ำหน้าวัดเรา เราก็ถอดกายทิพย์เข้าไปทักทายเขา ตอนแรกเราให้คู่หูไปเชื่อมสัมพันธ์จนสำเร็จ (เรื่องราวของพญานาคตนนี้ จะไว้เล่าตอนอื่นครับ) ต่อมา เขาก็เลยช่วยเราเล่นงานอสูรราหูด้วย ในช่วงแรก "เจ้าแม่กาลีและพระพิฆเนศ" ท่านลงมาก่อน ท่านใช้วิธีของท่าน ใช้ฤทธิ์แบบท่าน ผมก็เลยให้คู่หูลองดูว่าท่านใช้อย่างไร? ปรากฏว่าเป็นการดูดพลังดำเข้าตัวเองครับ ทำให้พลังดำของเจ้าแม่กาลีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้พลังมาจากอสูรราหูนี่ด้วยละครับ ในช่วงทำบุญกลางหมู่บ้าน เขาจะมีการลอยเอาอาหารลงแพไปอะไรประมาณนั้น เจ้าอสูรราหูก็เข้าไปแทรกในงานนั้น ส่วนเจ้าแม่กาลีก็เล่นงานมันด้วย แต่ไม่ถึงกับตายนะครับ มันยังทนทายาทได้อยู่อีกนาน ต่อมา พญานาคตนนั้นได้สำเร็จฤทธิ์แบบวิธีลัดสั้น ซึ่งเราสองคนแนะนำให้พญานาคฝึกตามเรา และเขาก็ทำได้ผลสำเร็จ เขาเลยมีฤทธิ์มากขึ้น ทั้งพ่นไฟได้เยอะมากๆ เขาก็เลยพ่นไฟเข้าไปในโบสถ์ซึ่งเป็นที่อยู่ของอสูรราหู แต่ว่ามันก็ไม่ตายหรอกครับ (เห็นท่าจะจริงดังตำนานว่า อสูรราหูได้กินน้ำอำมฤติ มันจึงฆ่าอย่างไรก็ไม่่ตายครับ) เราก็อยู่ร่วมกันในวัดเดียวกัน อสูรราหูก็คอยครอบงำพระในวัดไปเรื่อยๆ ทำให้พระบางรูปเอาเรื่องเราปั้นน้ำเป็นตัวบ้างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไร้สาระเช่น เก็บกวาดกุฏิไม่สะอาดบ้างไปนินทาไปเล่นงานเรา สร้างพรรคพวกนอกวัดยุยงให้คนไม่ชอบเรามากมายแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากครับ เพราะอสูรตนนี้ต่างจากอสูรทารุณ มันไม่ได้เ่ก่งทางด้านต่อสู้เท่าไร แต่เก่งครอบงำครับ (ในช่วงที่ทัพอสูรทารุณบุกมาเล่นงานผม อสูรราหูก็ร่วมมาเล่นงานผมด้วยครับ - ที่อมเทียนทิพย์นะครับ)


ต่อมา ผมมาอยู่บ้านแล้ว เขาก็ตามมาอีกครับ โดยเขามากับ "พระพุทธรูปองค์สีดำ" เ็ป็นสื่อ พระพุทธรูปองค์นี้ ไม่ต้องเบิกเนตรอะไรหรอกครับ มันมีตัวเป้งๆ ติดมาเลย ก็คือ อสูรราหูตัวนี้แหละ ซึ่งตอนแรกไม่่ใช่ของเรา แต่มีคนอยากแลกพระพุทธรูปองค์หนึ่งกับพ่อๆ ก็เลยยอมแลกด้วย พอแลกไปแล้ว (ซึ่งตอนนั้น ผมกับแม่ไม่รู้เรื่องเลย) เขาก็เลยคอยมาครอบงำครอบครัวเรา เช่น แม่จะมืดๆ งงๆ ทำอะไรก็หลงๆ ลืมๆ ผิดๆ พลาดๆ หรือลุ่มหลงเรื่องหวยอะไรแบบนั้น (ทั้งตำบลเราหลงเรื่องหวยหมดนะครับ) ต่อมา ผมก็เลยให้สามเณรคู่หูใช้ตาทิพย์ตรวจดูพลังของพระพุทธรูปในบ้านให้หน่อยว่าแต่ละองค์มีองค์ไหนที่มีพลังที่ไม่ถูกต้องบ้าง ก็พบว่าพระพุทธรูปองค์สีดำนี้ มีพลังของอสูรราหูอยู่ ผมก็เลยอธิษฐานเอาไว้ใต้ฐานพระอีกองค์ เรียกว่าช่วยให้ท่านเหยียบไว้ให้หน่อย อะไรประมาณนั้น (การอธิษฐานนี้ ใช่ว่าจะสำเร็จทุกคน จำต้องได้อธิษฐานบารมีด้วย จึงสำเร็จดังจิตอธิษฐานครับ) ไม่นานนัก ก็เกิดเรื่องครับ คือคนที่เอาพระมาแลก จู่ๆ ก็อยากได้พระของตนคืนไป เสียอย่างนั้น อาศัยจังหวะที่ผมไม่อยู่ ก็มาเอาคืนไปครับ เืรื่องอสูรราหู ก็เลยไม่จบง่ายๆ (ก็มันฆ่าไม่ตายนี่ครับ) ก็เลย เอ้า ปรับตัวอยู่กันไป เช่น บางทีผมก็เล่นหวยบ้างครับ เล่นไปอย่างนั้นแหละ ให้เข้าใจสิ่งที่ชาวบ้านเขาเป็นเท่านั้น เล่นไม่มากเลยครับเรียกว่าาปรับตัว แล้วก็เรียนรู้ในสิ่งที่ชาวบ้านเขาเป็น ก็ได้เข้าใจว่าชาวบ้านทั้งหลาย ถูกพลังอสูรราหูครอบงำ เป็นเช่นไร สำหรับเรื่องของอสูรราหู ยังไม่จบครับ แต่ผมขอเขียนไว้เท่่านี้ก่อน สำหรับเรื่องราววันนี้ สวัสดีครับ ...



 

โดนของให้รัก

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังปฏิบัติธรรมห่มขาวอยู่ (ยังไม่ได้บวชเณร) ประมาณ ปี ๒๕๕๐ ได้มังครับ ปีนั้น ผมยังฝึกปฏิบัติอะไรไม่มากนัก เรียกว่ายังอ่อนหัดอยู่มาก ที่พอจะได้ก็คือ พื้นฐานสมาธิ, สติ ฯลฯ ที่ฝึกมาบ้าง แล้วมาต่อด้วยการฝึกสมาธิแบบแปลกๆ ที่แตกต่างไปจากพื้นฐาน (ผมของเรียกว่าเป็นขั้นสูงนะครับ) แต่ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ทว่า และแล้วผมก็ได้ประสบการณ์ "โดนของ" จนได้ เมื่อน้องสาวของผม มีแฟนอยู่คนหนึ่ง คบกันไม่นา่นเท่าไร เพราะน้่องเริ่มมีอายุแล้ว คงกลัวว่าจะขึ้นคาน ไม่ได้แต่งงานเสียที ก็เลยไม่ได้คิดมากอะไร คบไว้ละมัง เพราะผู้ชายคนนั้นผมดูๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรดีพิเศษเลย แต่ก็รักน้องผม เอาอกเอาใจดี ก็เลยไม่ได้ว่าอะไร เรื่องของเขา เขาก็ต้องตัดสินใจเอง ผมคงไม่เข้าไปยุ่ง แม้ว่าจะดูแล้วเห็นว่ายังไม่ดีนักก็ตาม (น้องสาวผมหน้าตาดี สามารถเลือกคนดีๆ ได้นะครับ) และแล้วในที่สุด เขาทั้งสองคนก็ตกลงแต่งงานกัน แฟนของน้องสาวก็ทำทุกอย่างถูกต้องตามประเพณีอย่างดีครับ มาสู่ขอถึงบ้านซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านของเขามากทีเดียว (คนละภาคกันเลย) แล้วก็เข้ามาคุยกับผมด้วย เขาเห็นว่าผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาก็เลยเล่าให้ฟังครับว่าเขาเองก็มีของขลังด้วย พวก "เมตตามหานิยม" อะไรแบบนั้น ผมก็เลยอยากลองสัมผัสพลังดู (เพราะตอนฝึกมาก อาจารย์ก็สอนให้สัมผัสพลังครับ) ผมก็เลยใช้ฝ่ามือประสานฝ่ามือเขา (คล้ายๆ หนังจีนกำลังภายใน นั่นแหละ) ก็ยังไม่รู้อะไร เพราะผมยังอ่อนหัดครับ


และแล้วก็เกิดเรื่องจนได้ คือ ในคืนนั้นเองที่น้องสาวผมได้ตบปากรับคำเรื่องแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ก็ได้คุยเปิดใจกับแม่ว่าทำไมต้องแต่งงานกับคนๆ นี้ด้วยก็ไม่รู้ ไม่ได้รักอะไรเลย (ไม่มีใครบังคับให้เขาแต่งนะครับ บ้านเราทั้งบ้านไม่มีใครก้าวก่ายเรื่องของน้องสาวเลย) แต่แล้วก็ต้องแต่งครับเพราะตบปากรับคำกันไปแล้ว จากนั้น งานแต่งงานก็จัดต่อไปอย่างเรียบร้อยดีทุกประการ ตอนนั้นหลังจากที่ผมสัมผัสพลังของเขาแล้ว รู้สึกแปลกๆ อธิบายไม่ถูกแม่ก็เลยอนุญาติให้ผมไปพักบ้านป้าที่อยู่่ต่างอำเภอก่อน (ป้าคนนี้ที่ได้รกแมว นั่นเอง) หลบไปก่อน เพราะรู้สึกไม่ดี เหมือนมีอะไรข้างใน ต้องชำระล้างให้สะอาด (ภายหลังผมจึงทราบว่า พลังของของขลังที่อยู่ในตัวแฟนของน้องสาว ไหลเข้ามาภายในและเป็นพลังที่มีกิเลสมากครับ จึงเป็นเช่นนี้) เป็นอันว่า "น้องสาวผมโดนของเต็มๆ" เลยครับ ผมเองก็ไม่รู้ ก็เห็นเขารักกันดี คบกัน ใครจะกล้าไปยุ่งละครับ น้องเขารักชอบใครก็ตามแต่ใจเขา เราก็เลยไม่ได้ก้าวก่ายชีวิตของเขาเลย ทว่า เรามาช่วยเขาก็ตอนสายไปแล้ว น้องสาวหลุดพ้นจากอำนาจของขลังนั้น ก็เมื่อตบปากรับคำแต่งงานกับเขาไปแล้ว ทำอย่างไรได้ ผมก็ไม่อาจทำอะไรได้ หลังจากนั้น เขาสองคนก็อยู่กันได้ไม่นาน ไม่เกินสองปีมังครับ เขาก็มีเรื่องบาดหมางกันรุนแรงมาก แล้วน้องสาวก็เลิกกับเขาครับ เลยต้องเป็นหม้าย หลังจากที่เคยรักกันจนพี่อย่างผมไม่กล้ายุ่ง กลายเป็นเกลียดกันมากชนิดสาปส่งกันเลยทีเดียวครับ จึงอยากจะเตือนทุกท่านครับ บางครั้งอย่าเพิ่งมองแค่ว่า "รัก" เห็นเขารักกันเราก็เกรงใจอะไรแบบนั้น เพราะบางที มันก็ไม่ใช่ความรักจริงๆ ก็ได้ มันอาจจะเป็น "การถูกของ" กระทำเอาก็ได้นะครับ จบด้วยประการฉะนี้ ...




 

ศึกอสูรทารุณ : ภาคจบ

เรื่องนี้ต่อจากเรื่อง "ศึกอสูรทารุณ ภาคหนึ่ง" นะครับ เนื่องจากผมใส่รายละเอียดน้อยมาก คิดว่าไม่ได้ต้องการจะเขียนหนังสือขายให้ได้ปริมาณมากๆ จึงไม่มียืดเนื้อหานะครับ ขออนุญาติกล่าวแบบลัด, สั้น, ง่าย ตามสไตล์ 3G ก็แล้วกันครับ เอาละ หลังจากอสูรทารุณไปเตรียมทัพแล้ว ผมก็เริ่มหวั่นๆ แล้วเพราะประลองกันคราวนั้น ขนาดกายทิพย์ "นารายณ์" ยังทำอะไรมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย (ถึงว่าทำไม เจ้าตัวนี้ จึงถูกปราบด้วยเจ้าแม่กาลี ไม่่ใช่พระนารายณ์) ผมก็ทำได้เพียง "เร่งบำเพ็ญธรรมยิ่งยวดเท่านั้น" คิดเอาว่า "ถ้ากูตายยังไงก็คงได้ธรรมวะ" เลยปฏิบัติยิ่งยวดมากๆ อธิษฐานจิตรวมกาย, รวมบารมีไปเลย จากนั้น กายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ในกายสังขาร ในรูปนามต่างๆ ดังนี้ พระอวโลกิเตศวร "จารุคิณี", พระมัญชุศรี, พระกษิติครรภ์, พระเมตตรัยโพธิสัตว์ และกายพรหมคือ "ตรีมูรติ" (อันเกิดจากการรวมสามกายได้แก่ กายศิวะ, กายนารายณ์, กายพิฆเนศวร) และกายสุดท้ายคือ "กายภิกษุ" รวมทั้งสิ้น ๖ กาย ก็สำเร็จเป็น ๑ กายหนึ่งเดียว มีจิตวิญญาณเดียว อันมีรูปกายดั่งเช่น "พุทธะ" ทั่วไป (ตามหลักวิชชาธรรมกาย จะเรียกกายนี้ว่า "ธรรมกาย" นั่นเอง) เมื่อผลออกมาอย่างนี้แล้ว ก็เข้าใจว่านี่มิใช่หน้าที่แห่งการเป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นหน้าที่ตามแนวทางแห่ง "พระยูไล" ดังนั้น จึงไม่รีบร้อนนิพพาน ยอมทำกิจตรงหน้า เฉพาะหน้านี้ก่อน ดังนั้น จึงได้ถามเบื้องบนว่าพอมีแหล่งพลังงานบนโลกที่ใดบ้างหรือ? ท่านก็บอกนามมาให้ทางจิต แล้วจิตพุทธะนั้นก็ทราบ จึงได้นำ "จิตวิญญาณ" ดวงหนึ่งของสามเณรที่อยู่รูปนามของ "เทพนาจา" ไปทันที เมื่อไปถึงที่นั่น มีเทพอารักษ์เฝ้าอยู่ แต่ด้วยเดชะบารมีแห่งกายพุทธะนั้น ท่านจึงยอมให้เข้าไปในเขตหวงห้ามโดยง่าย เมื่อเข้าไปแล้ว จึงได้บอกแก่เทพนาจานั้นว่า "ให้ท่านใช้พลังจากขุมพลังนี้ เพื่อสร้างห่วงทิพย์ ๔ ห่วง อันได้แก่ ห่วงดิน, ห่วงน้ำ, ห่วงลม, ห่วงไฟ" เทพนาจานั้นก็ทำได้ตามนั้นทุกประการ จึงถามสามเณรว่า "ได้อานุภาพของทิพย์เท่าใด" เขาก็ตอบว่า "ห่วงทิพย์มีอานุภาพทำลายล้างได้ ๓ ภพ" อ้าว ซวยละสิตู ถ้าเกิดใช้ผิดพลาดขึ้นมาไม่กลายเป็นโทษแก่เราสองคนหรือนี่? (ผมคิดในใจ) แต่ทำอย่างไรได้ มันเกิดขึ้นแล้วนี่นะ ต้องเดินหน้าต่อไป จากนั้น ก็เลยกลับมาทำของทิพย์ไว้รับทัพอสูรทารุณ ก็ได้อธิษฐานทำของทิพย์ไว้ดังนี้ ๑. เทียนทิพย์ ๒. กระดิ่งทิพย์ ๓. พัดทิพย์ (เป็นขององค์หญิงพัดเหล็ก ซึ่งเอามาถวายให้ช่วงที่ผมทำของทิพย์ไว้ต่อสู้รับทัพอสูรทารุณพอดี พร้อมกับเชือกทิพย์ของพระยายมซึ่งท่านนำมาถวายพร้อมกัน - เชือกนี้ท่านว่าัจับผีตนใดแล้วต้องลงนรกไปเลยครับ) ส่วนทางทัพพระนเรศวรก็บอกให้เราช่วยหาตุ๊กตาคน (แบบที่เขาเอาไปถวายแก้บนกันนั่นแหละ) แล้วท่านจะได้ช่วยเราได้ ผมก็ลังเลใจ มันจะส่งผลอะไรต่อบริวารเราในสวรรค์ไหมนะ อย่าดีกว่า ไปเอาตุ๊กตาม้าและช้างมาให้แทน (ปลอดภัยไว้ก่อน อาจโดนผีหลอกเอาได้) เป็นอันว่าเราได้เตรียมการณ์พร้อมแล้วในระดับหนึ่ง จากนั้น ก็ถึงวันนัดหมาย ซึ่งทัพอสูรฉลาดที่จะมาเล่นงานเราในเวลากลางคืน ผมจึงได้ใช้ "ยันต์พราง" ปิดวัดไว้ทั้งวัด ปรากฏว่าพวกมันมองไม่เห็น มันส่ง "ปีศาจแมงมุม" มาลาดเลาก่อน แล้วเจ้าปีศาจตัวนั้นก็หาไม่เจอ เราก็เลยนอนหลับกันได้ในคืนนั้น จากนั้น ถึงตอนเช้า ก็คิดว่า "คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง" หรือมันคงไม่มีจริงอะไรหรอก เลยอธิษฐานเอายันต์พรางออก จากนั้นเอง มันก็เกิดเรื่องขึ้นเลย ตอนนั้นฟ้ายังมืด แต่ใกล้เวลาจะไปบิณฑบาตรแล้วด้วยสิ พอเอายันต์พรางออกเท่านั้น พวกมันก็แห่กันมา ยกมาทั้งกองทัพเลย รอเราอยู่หน้าวัด (ตายห่าละตู ไม่กล้าออกบิณฑบาตรแล้ว)


ผมเลยใช้กายทิพย์ "ยูไล" เข้าไปเจรจาก่อน คิดว่าเราใช้กายพระยูไล อสูรทารุณน่าจะเกรงใจบ้าง ทว่า ก็ไม่เป็นผลครับ พวกนั้นไม่สนใจเลย ผมเลยต้องถอยกลับ ช่วงนั้นเองที่กายทิพย์ผมหันหลังให้ มันก็ฟาดกระบองทิพย์ลงมาที่หลังผมเฉียดๆ ไปทีหนึ่ง (ไม่รู้ผีตัวไหนทำครับ) ทำให้จีวรทิพย์ขาดและผมมีอาการเสียวแปลบๆ ที่หลังบริเวณใกล้กับบั้นเอว ต้องให้สามเณรคู่หูช่วยดูให้ (แต่ก็โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากครับ) ผมเลยต้องสู้อย่างเดียว ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่นา ว่าแล้วก็เริ่มจากอาวุธเบาก่อน ผมใช้เทียนทิพย์ขึ้นเพื่อใช้แสงสว่างไล่ หวังว่าทัพอสูรคงกลัวแสงสว่างแล้วถอยล่าไป ที่ไหนได้ "เจ้าอสูรราหู" (ซึ่งก่อนหน้านี้มันแอบอยู่ในพระประธานในโบสถ์วัดเรา นั่นเอง และได้มีเรื่องกับพวกเรามาบ้่างแล้ว) ก็เลยออกมาอม มันอมเทียนทิพย์มิดเลย เรียกว่า "ดัับสนิท" (ขนาดพระอาทิตย์มันยังอมได้นี่นะ?) ผมก็เลยเปลี่ยนใช้เทียนทิพย์ไม่ได้ ก็หยิบเอา "กระดิ่งทิพย์" ขึ้นมา ส่งให้เทพนาจา่ใช้สั่นไล่พวกมัน พอเทพนาจายกขึ้นเท่านั้นเอง "ปีศาจลิงลม" มาจากไหนไม่รู้ มันคว้าเอากระดิ่งทิพย์หายไปเฉยเลย ผมก็เลยต้องเอาของทิพย์ที่มีอานุภาพสูงขึ้นไปอีกมาแทน นั่นคือ "พัดเหล็ก" คิดว่าพัดให้มันกระเด็นไปให้หมดเลย ส่งให้เทพนาจาแล้ว ยังไม่ทันจะใช้เลยครับ "เจ้าปีศาจหนู" มันแบกถุงอะไรมาก็ไม่รู้ เปิดออกเทพรวดลงที่พัดเหล็กเป็นเหมือนฝุ่นทิพย์ ปรากฏว่า "พัดเหล็กสิ้นฤทธิ์" ไปเลยครับ กลายเป็นพัดธรรมดา ทำอะไรมันไม่ไ่ด้เลย ตายห่าละ ตรูซวยโครตๆ หรือว่าจะตายกันวันนี้ละเนี่ย อะไรก็ใช้ไม่ได้สักอย่าง เสร็จพวกมันหมด ตอนนั้น กองทัพสองกองทัพ คือ ทัพอสูรทารุณกับทัพของพระนเรศวรก็เริ่มปะทะกันแล้ว สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี ถ้าขืนปล่อยไว้นาน ทัพเราจะไม่เหลือ (กองทัพนี้มีไพล่พลน้อย) ในที่สุดก็เลยต้องให้เทพนาจาใช้ห่วง ไม่ทันที่ผมจะได้บอกครับ เทพนาจาเอาห่วงไฟใส่ทั้งกองทัพ "ทีเดียว" ใหม้เป็นจุณ หายวับไปกับตา ราบพนาสูญไปหมดเลย (อืม ของมันแรงจริงๆ) เสร็จกิจแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจว่าเทพนาจาจะดูแลของทิพย์ที่มีอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้ได้หรือไม่? (ถ้าผิดพลาดขึ้นมา ไม่ต้องรับผิดชอบร่วมกันหนักหรือ?) ผลจากการบำเพ็ญบารมีครั้งนี้เองทำให้ เกิดเทพอารักษ์ของทิพย์ขึ้นพร้อมกัน ๔ องค์ เพื่ออารักษ์ห่วงธาตุทั้งสี่นั้น ไม่นานนัก "เทพนาจา" ก็จากไป พร้อมบอกว่าไปเกิดแล้ว เราก็เลย "โล่งใจ" (ไม่รู้จริงหรือเปล่า หรือเขาจะหลอกเราก็ไม่รู้นะ) เป็นอันว่าเรื่องก็เลยจบก่อนที่จะออกไปบิณฑบาตรพอดีครับ ...



 

ศึกอสูรทารุณ : ภาคหนึ่ง

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมบวชเณรและมีสามเณรคู่หูที่ได้อภิญญาบ้างแล้ว หลังจากถูกทดสอบมาพอควร ผมและคู่หูเลยหาที่ฝึกบำเพ็ญให้มากขึ้น เพราะเราไม่ค่อยมีเงินที่จะไปสร้างวัด สร้างผลงานอวดโชว์ใคร เราจึงต้องทำงานเพียรบำเพ็ญในมิติที่คนอื่นมองไม่เห็น (เท่าที่เราจะทำได้ครับ) วันหนึ่ง ผมเห็นว่าที่ภาคใต้มีปัญหามาก คงต้องหาทางเคลียร์พื้นที่บ้าง ตอนนั้น ก็หนักอยู่ ผมดูกายทิพย์ข้างในทั้ง ๔ กายแล้ว ก็เลือกใช้ "กายนารายณ์" ที่อยู่ในสังขารเราเอง เพื่อไปทำกิจนั้น ไม่น่าจะเรียกว่าถอดกายทิพย์นะครับ น่าจะเรียกว่าใช้จิตวิญญาณหรือใช้ภูติในตัวเราเองมากกว่า การที่เราสั่งได้ด้วยใจนั้นแหละ จึงเป็นที่มาของคำว่า "มโนมยิทธิ" หรือ "ฤทธิ์ทางใจ" ว่าแล้วก็สั่งให้จิตวิญญาณนารายณ์ในกายของเราไปทำหน้าที่ครับ พอเหาะไปถึงแถวภาคใต้ (ทางโลกทิพย์นะ) แล้วก็เนรมิตกายทิพย์ให้ใหญ่ขึ้นมากๆ จากนั้น ก็ใช้ "น้ำเต้า" ตอนแรกจะใช้น้ำเต้าของคู่หู แต่หลวงพ่อโตบอกว่า "น่าเสียดาย" แล้วท่านก็ให้ผมใช้อีกอันแทน (น้ำเต้าของคู่หู มีน้ำทิพย์รักษาโรคทางกายทิพย์ได้ครับ เป็นของหายาก ถ้าใช้ฝนงานนี้แล้ว น้ำทิพย์นั้นก็เสียไป) หรือกล่าวได้ว่า "น้ำเต้าทิพย์" มีหลายชนิด แต่ละชนิดเหมาะสมในการทำกิจที่ต่างกัน ว่าแล้วผมก็ใช้น้ำเต้าทิพย์ที่หลวงพ่อโตให้มานั้น อธิษฐานแล้วดูดเอาสิ่งที่ไม่ดีแถวภาคใต้เข้าไปในนั้น คู่หูก็รายงานว่ามันมีทั้ง "มังกรดำ" และอะไรอีกมากมายด้วยนะ พอเหมาะพอควร (ไม่ถึงกับทำให้หมดสิ้นไป เดี๋ยวมนุษย์คนอื่นจะไม่ไ่ด้สร้างบารมีกัน) ก็จะมี "ทูตนรก" ตัวจ้อย ตามมารับน้ำเต้าเอาไปจัดการในนรก แล้วเอาน้ำเต้าอันใหม่มาเปลี่ยนไป หลายรอบอยู่เหมือนกัน ก็จบกิจ แล้วเราก็ตรวจดูต่อไปอีกว่าในตัวคนที่ทำงานภาคใต้ (กลุ่มก่อความไม่สงบ) นั้น หัวหน้าเขามีของอะไร เพราะ "ของอิสลาม" ขึ้นชื่อว่าแรงกว่าของเขมรที่เราเคยเจอมาก่อนหน้านี้ (ของเขมรมีหมอแก้ได้ ของอิสลามไม่มีหมอแก้) เราก็พบ "มีดหมอ" ครับ เราก็เลยลองดูว่าอะไรจะเล่นงานสิ่งนี้ได้บ้าง ก็ไม่ไ่ด้เลย ถึงขนาดไปยืมดาบทิพย์จากท่านท้าวผู้ปกครอง ณ สวรรค์ชั้นยามา มาแล้ว ก็เล่นงานอะไรมันไม่ได้ครับ แต่เราก็ทำงานไปขนาดนี้แล้ว กายทิพย์ข้างในเขาก็รู้ตัวครับ ทีนี้ เขาก็เลยจะเล่นงานเรากลับบ้าง ผู้ที่กล่าวนี้ก็คือ อสูรทารุณครับ ตัวเป้งเลย ว่าแล้วเขาก็ลองประมือกับผมเล็กน้อย โดยการเข้ามาตีซี้กับ "ยักษ์" ที่เฝ้าประตูให้ผม ยักษ์ตนนี้มาจาก "ยันต์" เป็นเครื่องสืออีกทีที่ผมติดไว้ที่หน้าประตูกุฏิ ตอนแรกยักษ์ก็ยังดีอยู่ คือ เขาก็ตัดกระบองออกเป็นสองชิ้น ให้ผมและคู่หูไว้ป้องกันตัว แต่ว่าพอเจอพวกอสูรทารุณเข้า อสูรเอาเหล้ามาให้ยักษ์กิน ทีนี้ เขาเปลี่ยนไปเลย ไปเข้าข้างพวกอสูรไปเลยครับ แล้วก็ไม่เฝ้าประตูกุฏิให้ผมอีกแล้ว! แล้วอสูรทารุณก็ย่ามใจ นัดประลองศึกกับผมเลย บอกว่า "อีก ๗ วัน" เตรียมรับทัพอสูร!


อ้าวละ เริ่มซวยละสิ ตอนนั้น ผมก็เลยทดลองเล่นงานอสูรทารุณกลับไปด้วย โดยใช้แส้ทิพย์ฟาดเจ้าอสูรทารุณ มันก็เอามือปัดเหมือนปัดยุง แบบว่า "ไม่ระคายผิว" อะไรตรูเลยสักนิด ไม่ว่าผมจะทำอย่างไร พลังของนารายณ์ก็ไม่อาจที่จะทำอะไร อสูรทารุณได้เลย แล้ว "เจ้าแม่กาลี" (ซึ่งท่านมีพลังปราบอสูรทารุณได้โดยตรง) ก็อาสามาเลยครับ ท่านจะปราบให้เอง แต่ผมเกรงว่าจะทำให้เข้าสู่กลียุค เลยบอกท่านว่าไม่เป็นไร ผมจะหาวิธีจัดการเองก่อน ก็เมื่ออสูรทารุณนัดทำศึกแบบเปิดเผยแล้ว อีก ๗ วันจะกลับมาพร้อมทัพอสูร เราก็เลยต้องเร่งเพียรบำเพ็ญฝึกกันขนานใหญ่ ที่สำคัญ "กายนารายณ์" รู้ตัวว่าทำงานนี้ไม่ได้แล้ว ก็เลยรวมประสานกับกายอื่นๆ แล้วก็กำเนิดใหม่เป็นกายโพธิสัตว์กายหนึ่งไปเลย (ไม่อยู่รบแล้วละตู) โชคดี คู่หูได้พบ "ทัพของพระนเรศวร" ก็อาสามาช่วยรบครับ ผมรู้ด้วยญาณว่านี่ไม่่ใช่องค์ปฐม ก็เลยถามท่านว่าท่านอยู่ลำดับที่เท่าไร? ท่านตอบว่าลำดับที่ ๕๐ เห็นจะได้ครับ นอกจากนั้น ก็มี "เทพนาจา" เป็นกายทิพย์กายหนึ่งในร่างของสามเณรคู่หู มาช่วยรอรับทัพอสูรทารุณที่จะมาในอีก ๗ วันข้างหน้านั้นด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ...