กองทัพผีพยาธิ! : เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรและมีคู่หูเป็นสามเณรรูปหนึ่งอยู่ด้วย ซึ่งผมได้สอนสามเณรรูปนี้ในการฝึกอภิญญาเบื้องต้น เช่น หูทิพย์, ตาทิพย์, มโนมยิทธิ ฯลฯ จากนั้นก็ได้ทดสอบความแม่นยำของสามเณรโดยการเอาของใส่ไว้ในมือ ถามสามเณรโดยให้สามเณรนั่งหลับตาเพ่งดู ตอนแรกสามเณรก็ตอบว่า "กรรไกร" ซึ่งยังไม่ใช่ ผมก็บอกว่าเดี๋ยวอย่าเพิ่งตอบทันทีภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพมาจากความคิดนึก ต้องรอให้มันดับลงไปก่อน แล้วสามเณรก็ตอบอีกว่า "ปากกา" ผมเลยบอกว่ายังไม่ใช่ รอหน่อยใจเย็นๆ จากนั้น สามเณรก็บอกว่าภาพที่เห็นค่อยๆ ดับลงแล้ว จากนั้นก็มีแสงสีทองสว่างขึ้นแล้วก็ค่อยๆ ชัด เห็นเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิม สามเณรเลยตอบว่าเจ้าแม่กวนอิม ผมเลยบอกว่าใช่แล้ว พร้อมแบมือให้ดูเป็นองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์เล็กมากๆ พออยู่ในมือได้ แล้วสามเณรก็ไม่กล้าเล่นทายของอีก แต่ก็คอยเพ่งดูในมิติทิพย์ให้เวลาผมทำงานทางมิติทิพย์ (ถูกบ้าง ผิดบ้าง แม่นหรือไม่แม่น ก็ต้องยอมรับทำกันไปครับ เราไม่มีทางเลือกมากกว่านี้ แต่ก็ต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นครับ) เป็นอันว่า สามเณรพอใช้ได้ ผ่านแล้ว ทำงานได้


ในช่วงนั้น พวกเราก็กำลังฝึกอภิญญาด้วยกัน แล้ววันหนึ่ง เราก็ถูกทดสอบครับ สิ่งที่มารบกวนเรานั้นเป็น "กองทัพผีพยาธิ" ที่ว่าเป็นผีพยาธิเพราะมีลักษณะเหมือนพยาธิ คือ เป็นตัวยาวๆ มีหัวและหางยาวๆ ที่หัวจะมีแสงสีออกแดงๆ และมากันทีเป็นกองทัพใหญ่ๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหน มาได้อย่างไร? ขณะพวกเรากำลังฝึกอภิญญากันอยู่ ก็ถูกเล่นงานเข้า ครูบาอาจารย์เบื้องบนหลายท่านก็ช่วยเหลือทันทีครับ โดยมีหลวงพ่อเงิน "ท่านให้ยืมจีวรทิพย์" คลุมกายไว้ ท่านว่าจะป้องกันได้ ๓ ชั่วโมง แล้วมันก็ไม่จบ กองทัพผีพยาธิยังรอจะเล่นงานเราอยู่ครับ ถัดจากนั้น เมื่อไม่มีจีวรทิพย์แล้ว มันก็เริ่มเล่นงานอีก ทีนี้ ก็มีหลวงพ่อสดมาช่วย ท่านให้เรายืมลูกแก้วธรรมกายครับ มาครอบรอบตัวเรา ทว่า พวกผีพยาธิฝ่าเข้ามาได้ก่อนแล้ว มันจึงเล่นงานดวงแก้วธรรมกายนั้นจากทั้งด้านนอกและด้านใน จนดวงแก้วเริ่มแดงขึ้นและแดงขึ้น ผมเห็นท่าจะไม่ดี จึงคืนดวงแก้วธรรมกายให้แก่หลวงพ่อสดไป แล้วก็ร้องขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยครับ ก็มีอยู่องค์หนึ่งซึ่งลงมาจากสวรรค์แล้วใช้วิธีของท่านเอง แปรเปลี่ยนผีพยาธิเหล่านั้นจากสีแดงๆ เป็นสีฟ้าๆ แล้วยังไม่ทันจะคิดการณ์อะไรต่อ ท่านก็เอาพวกนั้นมาใ่ส่ตัวผมเลย! แล้วก็บอกว่า "มีทั้งผลดีและผลเสียนะ" แต่ก็ไม่บอกว่าดีอย่างไร? เสียอย่างไร? แล้วท่านก็ไปเลย อ้าว ไปเสียแล้ว อย่างนี้ ผมจะเป็นอย่างไรเนี่ย? ผมก็เลยรอดไปด้วยวิธีดังกล่าวนั้น หวังว่ามันคงจะเป็นเหมือนแบคทีเรียที่มีประโยชน์อยู่ร่วมในร่างกายของเราได้ ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ทำอย่างไรได้ เรื่องมาแบบนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงไปนั่นแหละครับ ...
 

ต้นไม้ปีศาจ : รุกขเทวดา

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณร (ประมาณปี ๒๕๕๑ ถ้าจำไม่ผิดนะ?) และมีสามเณรอีกรูปคอยช่วยเหลือ เราเลยกลายเป็นคู่หูกันเหมือนฟง-อวิ๋นไปเลย และหลังจากที่เขาได้หูทิพย์, ตาทิพย์ และมโนมยิทธิแล้ว เราเลยทำงานร่วมกันหลายอย่างในมิติทิพย์ หลังจากงานปลดปล่อยจิตวิญญาณฤษีในสุสานฤษีแห่งป่าหิมพานต์ผ่านไปแล้ว ผมเลยรู้สึกฮึกเหิมอยากลองทำเองบ้าง (ไม่มีหลวงพ่อโตช่วยนำไป) ก็เลยถอดกายทิพย์ไปสำรวจบริเวณรอบๆ ดูว่าจะมีอะไรให้ทำบ้าง เช่น ไปสวดมนต์ตรงทางสามแพร่งใกล้วัด ปรากฏว่าผีที่ชุมนุมอยู่แถวนั้นไม่พอใจ เพราะพลังเสียงสวดมนต์เข้ากับเขาไม่ได้ กลายเป็นว่าเราไปสวดไล่เขา กลับมาเลยโดยของทิพย์เป็นเศษอะไรไม่รู้ติดหลังมา สามเณรคู่หูก็เห็นเลยบอกให้หยุดทำ เราก็เลยเลิกสวดตรงนั้น ย้ายกายทิพย์ไปนั่งสวดมนต์ใต้ต้นโพธิ์อีก ทีนี้ เทวดามากันเยอะเลย แล้วสามเณรคู่หูเราก็ถูกเทวดาตำหนิเอา เขาก็เลยโมโหใหญ่ว่ามาว่าเขาทำไม? เราเลยถามดูได้ความว่า "เทวดาเขาเข้าใจว่าเราเชิญเขามาฟังธรรม เพราะบทสวด โอม มณี ปัท เม ฮุม" นั้น พอเราไม่ได้แสดงธรรมอะไร เขาเลยว่าสหายเราแทน (เพราะตอนนั้นบารมีธรรมของสามเณรคู่หูเรายังไม่มาก ยังถูกตำหนิจากเทวดาได้) ว่าแล้ว ผมก็เลยต้องหยุดอีก งง? อะไรกัน สวดมนต์ตรงนั้น ก็ไม่ได้, ตรงนี้ ก็ไม่ได้, บทนั้นก็ว่าไปทำร้ายเขา, บทนี้ก็ว่าไปเชิญเขามาแล้วไม่ทำหน้าที่ที่ควรทำ? อ้าว งงละสิ ก็เลยไม่สวดมนต์ไประยะหนึ่ง จนกว่าจะเข้าใจแจ้งด้วยปัญญาก่อนว่า "มันสวดไปทำไม ให้ผลอย่างไรบ้าง?"


แล้ววันหนึ่ง สามเณรคู่หูก็ไปเห็นพระรูปหนึ่ง ที่มาเรียนวิชาอาคมกับเจ้าอาวาสวัดเรา (เจ้าอาวาสคนนี้มีเวทย์มนต์คาถาเยอะ) ตกกลางคืน คนอื่นนอนหลับกันแล้ว กุฏิพระที่สามเณรไปคุยด้วย ด้านหลังเป็นป่าช้าก็เลยมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นพระรูปนั้น ไปทำอะไรใต้ต้นยางใหญ่ในป่าช้า ตอนเช้ามา ก็มีคนมาใส่ร้ายว่าเป็นสามเณรคู่หูเราบ้าง (พระรูปนั้นร่างอ้วนเหมือนคู่หูเรา) มั่วไปหมด เราก็เลยไปสำรวจดูก่อนพบว่ามีร่องรอยการทำพิธีบางอย่าง คือ มีธูปปักอยู่ใต้ต้นยางใหญ่นั้น ชักไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว เราไม่ทราบว่าใครทำอะไร? เพื่ออะไร? เพราะเราไม่ได้เรียนคาถาอะไรแบบเขา แต่เราก็คิดว่าเราจะลองปลดปล่อยภูติผีที่ต้นไม้ต้นนี้ดู ด้วยเพราะเราเคยทำมาแล้ว (ที่หลวงพ่อโตพาไปป่าหิมพานต์นั่นแหละ) เราก็เลยชวนสามเณรคู่หูออกมาด้วย เราทำหน้าที่ไปสามเณรก็เพ่งทางในดูผลไปคอยรายงานเรา เขาเห็น "ดวงไฟกลมๆ จำนวนมากมายสีแดงหม่น" อยู่ในต้นไม้ต้นนั้นเยอะแยะ พอเราทำการปลดปล่อยแล้ว ดวงไฟเหล่านั้นกลายเป็น "สีฟ้าสว่างขึ้น" แล้วก็ลอยออกไปจากต้นไม้นั้นเหมือนพุไฟเลย แล้วตัวที่ยากที่สุด คือ เห็นเป็นดวงไฟดวงใหญ่ที่สุด มาทีหลังสุด และอยู่ลึกในสุด ก็ค่อยๆ ออกมา ตนนี้ เราใช้เวลานานกว่าตนอื่นๆ จนกระทั่งสำเร็จ เขาก็ล่องลอยออกไปจากต้นยางใหญ่ในป่าช้านั้น (เราเข้าใจเอาว่าดวงไฟนั้นน่าจะเป็น "จิตวิญญาณ" แต่เราเห็นในรูปนี้แทนที่จะเป็นรูปร่างอย่างอื่น) จากนั้น เมื่อภูติผีกลุ่มนั้นออกไปหมดแล้ว ก็มี "เทวดาชั้นดาวดึงส์" องค์หนึ่ง อาสาลงมาเป็น "รุกขเทวดาประจำต้นยางใหญ่" ในวัดนั้น ผมและสามเณรจึงมอบยันต์ทิพย์ให้รุกขเทวดา เผื่อกันภัยจากคนรบกวน (เพราะเกรงว่าพระรูปนั้นจะมารบกวนเขาอีกด้วยกำลังร้อนวิชา เรียนวิชามาเยอะ คงอยากลองวิชาบ้างกระมัง)


ทำให้เราสงสัยว่าในต้นไม้ต้นนี้ จะเป็นแหล่งซ่องสุมของภูติผีจำนวนมากที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที มาช้านานแล้ว และคงมี "ปีศาจตัวพญา" คอยควบคุมภูติผีตนอื่นๆ อยู่ ซึ่งป่าช้านี้เป็นป่าช้าเก่า ก่อนที่ผมจะทำการปลดปล่อยฯ ป่าช้าจะน่ากลัวและไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไป หลังจากนั้นไม่นาน มันก็เปลี่ยนไปครับ แถมเวลาจัดงานวัด ยังจัดกันในป่าช้าได้เลย ก็แปลกดี? สำหรับเรื่องนี้ อาจไม่ค่อยสนุกเหมือนเรื่องโปเยโปโลเยนัก แต่ก็มีส่วนคล้ายกันบ้างนิดหน่อย (ตรงต้นไม้ปีศาจแหละ) ขอจบลงเพียงเท่านั้นครับ



 

จิ้งจอกเก้าหาง : กับพลังพระธาตุ?

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๕ ปีมาแล้ว ช่วงนั้นผมยังไม่ได้บวชเณร จากนั้นก็บวชเณรในเวลาต่อมา (เกิดก่อนบวชเณรเพียงเล็กน้อย) ผมได้ไปช่วยงานที่วัดแห่งหนึ่ง โดยการแนะนำของคณะนักบุญที่นำโดยหลวงพี่ท่านหนึ่ง ทำให้รู้จักกับเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งเป็นพระที่อยู่รูปเดียว เป็นผู้นำสอนกรรมฐานพระรูปอื่นๆ เมื่อคราวปริวาสกรรมครั้งที่ผ่านมา จากนั้น คณะของผมจึงได้ตามมา่ช่วยในการสร้างวัดซึ่งเป็นวัดแห่งใหม่ ยังไม่ได้พัฒนาอะไรมาก (ยังเป็นแค่ที่พักสงฆ์อยู่) ในช่วงนั้นเอง พวกเราได้ช่วยกันออกเรี่ยไร (ซึ่งไม่ได้ขออนุญาติก่อน) ช่วงแรกก็พอไปได้ แต่ช่วงกลางเกิดปัญหาขึ้น ทำให้ต้องหยุดชะงัก เพราะเราไม่มีใบอนุญาติก็มาทำหน้าที่กันเลย หลวงพี่บอกว่าเคยทำได้ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย ก็เลยทำโดยไม่ขออนุญาติก่อน แล้วก็เกิดปัญหาแปลกๆ ตามมาอีก เช่น จู่ๆ เกิดไฟใหม้ลุกลามข้างกุฏิ. แม่ผมที่อยู่ที่บ้าน ถูกฝาปลากระป๋องบาด ผมเห็นท่าไม่ดี ก็เลย ขอตัวลากลับบ้านก่อน ซึ่งก่อนกลับนั้น ผมก็ได้เดินสำรวจและไต่ถามเรื่องราวต่างๆ จากชาวบ้าน ชาวบ้านก็เล่าให้ฟังว่า แถวนี้ไม่มีใครใส่บาตรเจ้าสำนักคนนี้เลย เพราะมีคนไปได้ยินมาว่า ท่านจะเอาแต่คนที่มีประโยชน์ไว้ ใครไม่มีประโยชน์ก็ไม่เลี้ยง อะไรแบบนั้น แล้วก่อนหน้านี้ สำนักสงฆ์ก็ไม่ใช่ของท่าน เป็นพระไม่รู้กี่คณะ เข้ามาช่วยกันสร้างไว้ โดยมีแม่ชีรูปหนึ่งริเริ่มดำเนินการมาก่อน จากนั้น ท่านนี้ก็เข้ามา แล้วเกิดขัดแย้งขึ้นกับแม่ชี ทำให้แม่ชีรูปนั้นต้องออกไปในที่สุด ซึ่งเรื่องเกิดมานานแล้ว แต่พระรูปนี้ก็ยังคงอยู่ ยึดเอาสำนักสงฆ์นี้เป็นของตนต่อไป


ต่อมา หลังจากที่ผมบวชเณรแล้ว และมีสามเณรอีกรูปมาอยู่ด้วย เขาได้ตาทิพย์แล้ว จึงให้เขาช่วยดูว่าข้างในของเจ้าสำนักสงฆ์ผู้นี้เป็นอะไร? ตอนแรก สามเณรเห็นเป็น "รูปพระพุทธเจ้า" เราก็แปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีใครมีกายทิพย์เช่นนั้น ก็เลยแนะวิธีให้สามเณรว่าให้ "เพ่งต่อไปลึกขึ้นๆ" สามเณรก็ทำตาม ทำให้ พลังพุ่งออกจากตาทิพย์โดนกายทิพย์ที่เพ่งนั้น จนเขาทนไม่ได้ กลายร่างกลับคืนสู่ร่างเดิม (กายพระพุทธเจ้านั้นเป็นร่างแปลงครับ ไม่ใช่กายทิพย์จริง) ปรากฏว่า กลายเป็น "ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง" เราก็เลยสงสัยว่า "ทำไมปีศาจตนนี้จึงแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้าได้" (ในระดับทิพย์) เลยขอให้สามเณรถามเบื้องบนท่านหนึ่งดู (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะถามเจ้าแม่กวนอิมนะครับ) ก็ได้คำตอบมาว่า "เพราะพลังจากพระธาตุทำให้เขาแปลงร่างได้เช่นนั้น" กล่าวคือ เจ้าสำนักสงฆ์ผู้นี้ ได้พระธาตุมาไม่น้อยเลยทีเดียว จึงเก็บไว้จำนวนมาก เพื่อรอเป็นเครื่องรวมใจคนมาสร้างพระธาตุเจดีย์ พอเราเห็นอย่างนี้้ ก็เลยไม่หลงเขา บวกกับคำบอกเล่าของชาวบ้านหลายปากและสิ่งที่เราเห็นเองกับตัวเรา ก็พอเชื่อถือได้ครับ ส่วนหลวงพี่ก็บอกว่าท่านเป็นคนดี อาจถูกใส่ร้ายก็ได้ ผมก็เลยไม่อยากยุ่งอีก เรื่องผจญจิ้งจอกเก้าหาง เลยจบลงด้วยประการฉะนี้ (ไม่ได้ไปทำร้ายหรือเข่นฆ่าเขาแค่รู้แล้วไม่หลง เห็นชาวบ้านไม่หลง ก็จบลงเท่านั้นเองครับ)



 

ตายแล้วฟื้น : ต่ออายุด้วยพลังเซียน

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมยังบวชเป็นเณร และมีเณรอีกรูปมาอยู่ด้วย ผมเห็นเขามาจากต่างถิ่นและมาตัวคนเดียว เลยอยากให้เขาได้เรียนรู้สิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์ติดตัวไว้ครับ (ยังกะพ่อคอยเลี้ยงลูกเลย อายุผมก็มากกว่าเณรนั้น ๑๕ ปีด้วยสิ!) ประกอบกับท้องถิ่นของผม มีความเชื่อเรื่องเข้าทรง มีคนทรงเยอะครับ ผมเองเฉยๆ และไม่นิยมอะไรกับคนทรง แต่ก็ไม่ได้มองเขาว่าไม่ดีนะครับ กลางๆ นะครับ มองว่านี่คือ "ค่านิยมในชุมชน" การที่ให้เณรได้เรียนรู้หรือเข้าใจ ไม่ใช่สอนให้เขาจมปลักงมงายแต่ทำให้เขา "เข้าใจวิถีชุมชน-วิถีชาวบ้าน" ก็เลยพาออกภาคสนาม ไปพบปะกับคนทรง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้วัฒนธรรมและความเชื่อในท้องถิ่นอีกแบบหนึ่งครับ เริ่มจากบ้านคนทรงที่ติดกับบ้านผม และก็อีกบ้านหนึ่งซึ่งเขาเป็นญาติกันด้วย ก็เลยพาเขาไปดูการเข้าทรง, ไหว้ครู ดูเพื่อเรียนรู้เท่านั้นเองครับ แล้วก็มีโิอกาสได้คุยกับคนทรงคนหนึ่งที่อยู่บ้านติดกับบ้านผมครับ คนทรงคนนี้เขาเข้าทรงมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้เด่นดังอะไรมากครับ แรกๆ เป็นเหมือนสัมภเวสีจร ที่ไม่ได้มีอะไรเ็ป็นพิเศษ เรียกว่าผีชั้นเล็กๆ อยากบำเพ็ญบารมี ก็มาเปิดทางก่อนครับ พอเขาได้พอควรแล้ว เขาก็ไปบำเพ็ญในภพของเขาต่อ องค์ของเขาก็เลยเปลี่ยนและเลื่อนระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งกว่าจะไปได้นี่เขาใช้เวลาเป็นปีๆ นะครับ (ทั้งหมดร่วม ๑๐ ปีคงจะได้) ในที่สุด เขาก็ได้ทำหน้าที่ประสานกับพลังเซียน เพื่อรักษาคน เขาบอกว่าเขาประสานพลังกับเซียนองค์ที่สาม (เซียนหนุ่มถือขลุ่ย เวลาเข้าทรงบางทีจะให้คนเอาขลุ่ยมาเป่าเล่นด้วย ซึ่งผมสัมผัสได้ว่าเป็นองค์เซียนคุ้มครองร่างนี้ เพราะบุญบารมีเก่าทำร่วมกันมา แต่คนทรงคนนี้อดีตชาติก็คือ เซียนองค์ที่ถือดอกบัวรักษาโรคคนครับ) แล้วก็รักษาโรคให้คนด้วยการใช้พลังจิต พลังภายในครับ แต่ว่ามันไม่เห็นชัดเจน ก็ไม่มีใครรู้ว่าได้ผลจริงไหมนะครับ ตัวแปรมันก็เยอะ เช่น เวลาหาย บางทีก็อาจมองว่ามันหายเพราะยาแผนปัจจุบันก็ได้ (ก่อนหน้านี้ก็ใช้ยาแบบนี้มาตั้งนานไม่เห็นจะหายเลย?) แล้วตัวคนทรงก็เริ่มแย่ครับ เพราะการช่วยรักษาโรคคน เขาก็ต้องฝืนกฏแห่งกรรม คนมีกรรมต้องป่วย เขาไปช่วยไม่ให้ได้รับกรรมนั้น เขาเลยต้องรับเข้าตัวเองไป เขาทำงานไปไม่กี่ปี ก็เลยเริ่มป่วยครับ ทีนี้ เขารักษาตัวเองก็ไม่ได้ ให้ใครมารักษาก็ไม่ได้ มันเป็นกรรมที่เขาต้องรับอันมาจากการที่เขาไปฝืนกรรมรักษาให้คนอื่นไงครับ


และแล้ว ผมก็สัมผัสได้ว่าเขาจะต้อง "ตาย" ชะตาถึงฆาตแล้ว แต่มีทางออกได้ครับ คือ "ตายใน" ให้เขาเข้าทรงแล้วตายในขณะเข้าทรงแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ครับ คือ "ตัดกรรมโดยการรับกรรมจนตายไปเลย" ก็ค่อยช่วยให้ฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้งครับ และแล้วผมก็เลยบอกแผนการนี้ให้เขา พร้อมทั้งนัดที่จะมาคุยกับเขาด้วย (เขาไม่ไ่ด้รับหรือปฏิเสธ ผมก็แค่บอกเฉยๆ แต่เวลาผมไปคุยด้วย เขาจะเข้าทรงพูดด้วยครับ) ก่อนหน้าวันนัดเขาก็ฝันเห็น "พระสุริโยทัย" ซึ่งบำเพ็ญบารมีจนตายกลางสนามรบ เป็นหมายนิมิตว่าท่านอาจจะมา "ตายในขณะเข้าทรง" พร้อมๆ กัน ผมก็เลยบอกให้เขาประสานพลัง บำเพ็ญบารมีร่วมกันไปเลย แต่เขาก็ปฏิเสธไปครับ และแล้ววันนัดก็มาถึง เขาเข้าทรงคุยกับผมเหมือนเคย ทว่า จู่ๆ เขาก็มีอาการผิดปกติ หงายหลังล้มค่ำไปเลยครับ ก่อนจะหมดสติเขาก็บอกก่อนว่า "นี่เป็นกรรมนะ เณรอย่ายุ่ง เขาถึงเวลาของเขาแล้ว" (องค์ของเขาที่เข้าทรง ห้ามไม่ให้ผมยุ่งครับ) ผมก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร เณรที่ดูอยู่ด้วยกันเขาก็เลยหาทางอธิษฐานและช่วยครับ ตอนนั้นเหตุการณ์คับขันมาก พักใหญ่ๆ ทีเดียว สามีของเขาต้องตาม "คนทรง" อีกคนซึ่งเป็นญาติกันมาช่วยด้วย ในขณะเดียวกันแม่ของผมก็ไปอธิษฐานขอสิ่งศักดิิสิทธิ์ที่บ้านต่ออีก พักหนึ่ง เขาก็ได้สติและฟื้นขึ้นมาครับ เณรที่อยู่กับผมเขาเพ่งทางในดู (ผมบอกให้เขาเพ่งดู) เขาเห็นพระยูไลมาช่วย และมีพระโพธิสัตว์มาด้วย เราทั้งสองก็เลยรอดไป นึกว่าจะต้องถูกจับสึกคาผ้าเหลืองข้อหาทำคนทรง ทรงเจ้าจนตายเสียแล้ว คนทรงคนนั้นก็เลยฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ ผมให้เณรช่วยตรวจดูจิตวิญญาณของเขาด้วยว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? ก็เลยพบว่า "จิตวิญญาณในรูปกายอวโลกิเตศวร อันเป็นบารมีเก่า ตัวตนเบื้องสูงของเขา" ประสานลงมาเกิดในร่างนั้นในฐานะ "จิตหลัก" และมี "จิตวิญญาณเิดิมของเขาซึ่งเป็นมาร" เปลี่ยนสถานะเป็น "จิตรอง" เป็นภูติคุ้มครองสังขารนั้น จะมีอายุอยู่ได้อีก ๓ ปีในร่างสังขารนั้น (จากนั้น จิตรองก็จะจรจุติไปให้จิตดวงอื่นมาประจำการแทน ถ้าไม่มีบารมีอยู่ต่อนะครับ) ผลบุญบารมีคราวนี้ ส่งผลให้ "จิตวิญญาณ" ของเณรที่เคยเป็นมาร (เพราะโกรธแค้นพระในวัดที่เคยทะเลาะกันบ่อยๆ) กำเนิดใหม่กลายเป็นโพธิสัตว์ในรูปกายอวโลกิเตศวรมีนามว่า "ตัสสะ" ครับ เรื่องของเรื่องก็ได้ความว่าอย่างนี้ ไม่รู้จริงเท็จประการใด ไม่อาจพิสูจน์ได้น่ะครับ ถ้าใครรู้ใครสามารถพิสูจน์ว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ อย่าลืมส่งจมหมายมาบอกผมด้วยที่ ช่อง ๓ ตึกมาลีนนท์ ด้วยนะครับ อ่ะ ล้อเล่นครับ สำหรับเรื่อง "ตายแล้วฟื้น" รายที่หนึ่ง (ยังมีอีกหลายรายครับ) ขอจบลงเพียงเท่านี้ ...



 

ผีแม่หม้าย : ปีศาจแมงมุม

เรื่องนี้ ถ้าจะนับเวลาคงมีมาก่อนผมจะเกิดแล้วครับ เพราะเรื่องมีมาแต่ครั้งรุ่นย่าของผม อนึ่ง ที่ผมเขียนนี้ไม่ได้มีเจตนาให้ใครเกลียดใครนะครับ บางครั้ง "ผีบางชนิด" อาจอยู่ร่วมกับคนและสืบทอดมาหลายรุ่น คนไม่ได้ผิดอะไร แต่อาจเพราะคนๆ นั้นมีกรรมเลยได้รับสืบทอดผีที่ไม่ดีมาได้ครับ เอาละ เริ่มต้นจากรุ่น "ย่าของผม" ซึ่งย่าเป็นคนยากจน จึงต้องแต่งงานเพื่อให้อยู่รอด ครั้งแรก ปู่คนแรกก็ตายไป ไม่นานครับ ต่อมาปู่คนที่สอง ซึ่งก็คือ ปู่ของผมเอง เขาเล่ากันว่าปู่ชอบเอาเต่ามากิน เวลาจะกินก็จะโกงกรรม โดยที่ทำสะพานหกเอาไว้ให้เต่าคลานตกลงไปตายในหม้อน้ำเดือดเอง (ทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ฆ่า นั่นเอง) แต่ก็ไม่รอดครับ ปู่ผมอายุสั้นไม่นานก็ตาย แล้วปู่คนสุดท้าย (คนที่สาม) ก็แต่งงานกับย่าอีก แต่สุดท้ายก็ตายไม่นานครับ อายุสั้นหมดทุกคน ย่าของผมจึงเป็นหม้ายโดยจบลงที่ปู่คนที่สามนั้นแต่ย่าของผมไม่ใช่คนเลวร้ายนะครับ เป็นผู้หญิงชาวนาธรรมดา ไม่ได้ไปทำร้าย โกงใครอะไรได้เลย อ่อนแอตามปกติของผู้หญิงครับ ตอนปู่คนที่สามตาย ย่าไม่มีเงินทำศพ ต้องเอาศพไปทิ้งไว้วัด และพ่อก็ทำใจไม่ได้ เลยหนีจากย่ามาหางานทำ อยู่อาศัยบ้านป้าข้างบ้านตั้งแต่ยังเล็กครับ เรื่องราวของย่าขอจบไว้เท่านี้ก่อน


มาถึง รุ่นของผมบ้าง เริ่มจากพี่สาวข้างบ้าน (ที่พ่อเคยไปอาศัยเขาอยู่ เมื่่อยังเล็ก) มีอยู่สองคน ทั้งสองคนก็ค่อยๆ หม้ายครับ คนโตหม้ายช้าหน่อย ตอนลูกชายโตเป็นหนุ่มแล้ว แต่คนเล็กหม้ายเร็วกว่ามากแค่ไม่ึถึง ๒ ปีเห็นจะได้มังครับ เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะในหมู่บ้านของผม มีแม่หม้ายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เยอะไปหมด จนพ่อพูดออกมาว่า "นี่มันเมืองแม่หม้าย" และไม่ใช่หม้ายเฉยๆ แต่เป็นหม้ายล่าผัวชาวบ้าน ก็มีครับ อย่างพ่อผม ก็ถูกล่าประจำแต่แกไม่ได้ทำผิดพลาด ก็เลยไม่หลงกลผีแม่หม้ายนั้นครับ มาถึง "น้องสาว" ของผมบ้าง ก่อนแต่งงานผมได้พบกับน้องสาวและแฟนของเขา ผมไม่ได้พูดอะไร เรื่องแบบนี้ เราไม่ควรไปยุ่ง หรือขวางใช่ไหมครับ จนในที่สุด เขาก็จะแต่งงานกัน แฟนของน้องสาวก็มา บอกผมว่า "เขาก็เล่นของนะมีพวกเมตตามหานิยมอะไรแบบนั้น" ผมก็เลยขอสัมผัสพลัง (โดยวิธีของผม)  ปรากฏว่าตกกลางคืน น้องสาวคุยกับแม่ว่า "ทำไมต้องแต่งกับคนนี้ด้วยนะ ไม่ได้รักอะไรเลย" ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใครไปยุ่งวุ่นวายกับการตัดสินใจของน้องสาวเลย ไม่มีทั้งบังคับให้แต่งหรือว่าขัดขวางก็ไม่มีครับ แ่ต่เขาก็กลับคิดได้อย่างนั้น (ปกติ ผมสัมผัสพลังแล้วสิ่งๆ นั้น สามารถเสื่อมฤทธิ์ได้ครับ) แต่วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็ต้องแต่งกันแล้วครับ จะมาเลิกกลางคันไม่ได้ ส่วนผมรู้สึุกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ เลยขอตัวไปพักกับป้า แล้วก็สลายสิ่งไม่ดีที่ติดมาครับ (คงเป็นพลังเมตตามหานิยมของแฟนของน้องสาวผมละมังครับ) และแล้วเขาก็อยู่กันได้ไม่นาน น้องสาวก็ถูกเล่นงานอย่างหนักจนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจเลิกครับ คิดว่าคงไม่เกิน ๒ ปีเห็นจะได้ ตอนเลิกแล้วน้องสาวก็เกลียดแฟนตัวเองมากเลยครับ จึงต้องกลายเป็นหม้ายอีกคน


มาที่ย่าของผมบ้าง เมื่อก่อนย่าอยู่อีกบ้านหนึ่งเป็นบ้านของย่าเอง แต่พอลุงเสียแล้ว ไม่มีใครดูแลย่า ก็เลยพาย่ามาที่บ้านผมครับ (พ่อไปรับมา) ย่าแก่มาก จนเดินไม่ไ่ด้ ย่าจะไปไหนก็จะกระเถิบๆ ไป ใช้มือและเท้าคล้ายๆ แมงมุมคลานเลยอ่ะ? ขอโทษนะครับ ไม่ได้กล่าวร้ายย่าตัวเอง ย่าผมเป็นคนดีครับ แต่สิ่งไม่ดีหรือผี ฯลฯ ก็อาจมาอยู่กับคนดีที่มีกรรมได้ครับ กระบวนการหม้ายในหมู่บ้านยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ จนล่าสุดคือ "ครอบครัวของยาย" ซึ่งยายคนนี้ไม่ได้มีเชื้อสายเดียวกับผม แต่เรารักและนับถือกันเหมือนยายจริงๆ กล่าวคือ ลูกชายของยายคนนี้ มีอันต้องเลิกกับเมียเขาครับ และผลร้ายแรงถึงขั้นแบ่งสมบัติ แยกบ้าน ยกบ้านกลับไปเลย รุนแรงจริงๆ อ้อ ลืมบอกไปอย่างหนึ่งว่า เืรื่องราวนี้เกิดขึ้นยาวนานมากนะครับ และผมคิดว่าคงยังไม่จบง่ายๆ หรอกครับ เพราะแม้แต่นายกไทย ก็ยังเป็นหม้ายไม่หายเลยนี่ครับ เอาละ มีช่วงหนึ่งที่ผมบวชอยู่แล้วมันมีอะไรสะกิดให้ผมทำตามสัจสัญญา (ในอดีตชาติ) ทั้งอาจารย์ก็บีบให้ผมไปแต่งงาน (ทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมบวชพระอยู่นะครับ) อีกทั้งผมก็มีสัจสัญญาให้ไว้กับคนๆ หนึ่งว่า "จะมีเขาเป็นแฟนคนสุดท้าย" (ก็เลยแต่งงานกับคนไม่ได้นะครับ) ผมก็เลยเอ้า เอาว่ะ ทำให้มันจบๆ ไป ก็เลยทำพิธีแต่งงานกับป้ายวิญญาณครับ อธิษฐานว่า "ใครก็แล้วแต่ที่เราเคยติดค้างด้วยสัจสัญญามาในอดีตชาติว่าจะแต่งงานด้วยและไม่ได้แต่งงาน ก็ขอให้มาร่วมแต่งงานกันในวันนั้น" แล้วก็จบง่ายๆ ครับ ทำพอเป็นพิธี คือ จุดธูปบอก แล้วทำป้ายวิญญาณเขียนกว้างๆ ว่า "ภรรยา" ก็เท่านั้นเอง เราไม่ไ่ด้ผิดศีลปาราชิกนี่ครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามพระสงฆ์แต่งงานเสียหน่อย ห้ามแต่ไม่ให้มีกามเท่านั้นเอง ต่อมา ผมจำต้องสึกจากพระเพราะเหตุจำเป็นทางการเงิน ผมได้พบคนทรงคนหนึ่ง เลยเล่าให้เขาฟัง เขาก็ว่าผมแต่งงานกับผีแล้ว ให้ไปหย่าเสีย ผมก็เลยทำพิธีหย่าไปครับ คือ จบกันไปเท่านั้นเอง เคลียร์กรรมเก่ากันครับ


Photobucket
เจ้าเมืองแม่หม้ายหลงรักพระถังซำจั๋งหวังจะครองคู่กับพระถังซำจั๋ง
 

บึงบำเพ็ญ : ศึกชิงโยคีน้อย

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๕ ปีก่อน (ประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๑) เมื่อผมยังปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาส ห่มขาว ยังไม่ได้บวชเป็นเณร ตอนนั้น ผมได้ไปปฏิบัติที่สถานธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งอาจารย์ผมให้ทดลองไปฝึกตนที่นั่น ท่านก็เล่าว่ามีหลายคนไปมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยู่ประจำ มีเรื่องให้ต้องออกมาเรื่อยๆ เพราะที่นั่นเป็นสถานธรรมพิเศษครับ ครึ่งหนึ่งเป็นพราหมณ์ ครึ่งหนึ่งเป็นพุทธ ก็ตรงกับใจผมพอดี ผมกำลังหาสถานที่ไม่แบ่งแยกพราหมณ์และพุทธ และทำให้ทั้งสองอย่างอยู่ร่วมกันได้พอดี ซึ่งไม่ใ่ช่ที่ของสงฆ์ เป็นสถานที่ส่วนบุคคลครับ มีเจ้าของซึ่งเขาค่อนข้างเคร่งครัดครับ ผมไปในช่วงวันถือศีลของทางพราหมณ์พอดี ไม่ใช่น่าจะเป็นศิวราตรี แต่เป็นอย่างอื่นนะครับ ที่ต้องมีการทำพิธีบูชาไฟ และเจ้าของสถานที่ก็ได้เป็นครูผม สอนบูชาไฟด้วย เป็นแบบอินเดียโดยตรง ถูกต้องตามแบบแผนดั้งเดิม ไม่ใช่ของไทยครับ ซึ่งผมก็ต้องการพอดี เพราะอยากเรียนรู้ว่าของอินเดียจริงๆ เขาเหมือนไทยหรือเปล่า ซึ่งก็ต่างกันครับ ผมจึงต้องกินเจและต้องทำพิธีบูชาไฟตลอดช่วงนั้น ในขณะเดียวกันผมบำเพ็ญธรรมไปด้วยในแบบของผม กล่าวคือ ผมเห็นสถานที่เหมาะสม ไม่มีผู้คน และด้านหลังเดินออกไปไม่ไกลเกินไปนัก จะมีบึงขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มาก ไม่เล็กเกินไป ไม่มีคนเลย ผมก็เลยจะบำเพ็ญแบบลัทธิทิคัมพรดู คือ นุ่งลมห่มฟ้า แต่ไม่ใช่ตลอดเวลานะครับ ทำไม่ได้ เฉพาะช่วงที่จะทำสมาธิเท่านั้น แล้วผมก็เลยฝึกด้วยการเปลือยกาย ทำสมาธิท่านั่งบ้าง, ยืนบ้าง ฯลฯ ในสถานที่นั้นครับ ผมไม่ได้เน้นทำทุกขกริยาอะไร เพียงแ่ต่เริ่มต้นจากความสงสัยที่ไม่ใช่วิจิกิจฉาว่า "ทำไมจึงต้องนุ่งลมห่มฟ้า" แล้วก็ทดลองปฏิบัติไปครับ ขณะนั้นเราก็ยกกามขึ้นมาพิจารณา และให้กามมันเกิดมาเลย จะไ้ด้เข้าใจและเห็นไงครับว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วผมก็ถามตัวเองว่า "กามอยู่ไหน?" มันอยู่ที่ร่างกายที่เปลือยเปล่าของผมหรือไม่? หรืออยู่ที่ร่างกายคนอื่น? มันก็ได้คำตอบว่า "เปล่านี่?" แล้วกามมันอยู่ไหนละ? ไม่ใช่ร่างกายเปลือยเปล่า เป็นกามหรอกหรือ? ผมก็ได้คำตอบว่า "ไม่ใช่ กายนี้ก็เป็นเพียงธาตุสี่ ไม่ต่างจากธาตุที่ผมพิจารณาเบื้องหน้านั้นเลย" กล่าวคือ ผมพิจารณาธาตุสี่ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ในบริเวณนั้นประกอบไปด้วยครับ เลยเห็นว่าร่างกายที่เปลือยอยู่นี้ ไม่ต่างกันกับธาตุทั้งสี่นั้น แล้วก็เกิดประกายขึ้นมาว่า "กามก็มาจากความคิดเองนั่นแหละ" ความคิดที่ปรุงแต่งไปว่า "กายนี้งาม กายนั้นไม่งาม" กายนี้น่าอภิรมย์ กายนั้นไม่น่าอภิรมย์ ฯลฯ


ไม่นานนัก ผมก็เฉยๆ นะ ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ได้มีแสงสว่างโอภาส, ปีติ, ตัวลอย หรืออะไรทั้งนั้น เฉยๆ ครับ ไม่ได้เห็นกามเป็นสิ่งที่ดีหรือเลว บวกหรือลบ ฯลฯ อะไรเลย ก็เห็นมันเหมือนธาตุสี่ ธรรมชาติทั้งหลาย นั่นแหละ ยังเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ผมก็จะบูชาไฟครบกำหนดแล้ว ทว่า มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมานั่งรอในโบสถ์พราหมณ์ โดยไม่บอกไม่กล่าว ใครไม่รู้ มาจากที่ไหนไม่รู้ แล้วก็มาเจอผม เขาบอกผมว่า "เบื้องบนให้มาหา" แล้วก็คุยอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมฟังแล้วก็งงๆ แต่ก็ฟังได้ครับ ฟังไป เขาคุยให้เราฟัง เราก็ฟังครับ เขาก็เลยสอนผมให้สัมผัสพลังในเทวรูปต่างๆ ด้วย ในช่วงนั้นเอง ทางเจ้าของสถานที่ ซึ่งกำลังต้องการคนช่วยเหลือซ่อมแซมสถานธรรมอยู่ ก็ได้คนๆ หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักการเมือง อาสาตัวมาช่วยซ่้อมแซมสถานธรรมให้ เขาเป็นผู้ใหญ่ มีอายุมากแล้ว และดูภูมิฐานน่านับถือทีเดียว (เปลือกนอกดูดีมาก) พอมาถึง ก็ข่มผมด้วยอายุก่อนเลย แล้วก็บอกว่าเขาทำงานนี้ได้ สอนธรรมะคนได้ (แต่ผมทำไม่ได้นะ อะไรแบบนั้น) ผมก็เห็นเล่ห์เหลี่ยมที่แนบเนียนของเขาแล้ว แต่ไม่อยากจะว่าอะไรเขา เขาก็เอาความดีเข้าซื้อใจผมด้วย ให้ผมทำงานให้แล้วจะได้มีรายได้ เขาจะให้เงินผมครับ บวกกับทางเจ้าของสถานธรรมก็บอกว่าเขาอยากให้ผมดูแลที่นั่นไปยาวๆ เลย แล้วเขาจะช่วยเรื่องที่แม่ของผมมีหนี้มาก (สักไม่เกินสองแสนน่ะครับ) ให้เราไม่ต้องกังวล กลายเป็นว่าตอนนี้ ผมกำลังถูกดึงอยู่สองฝ่าย คือ ฝ่ายเจ้าของสถานธรรมแห่งนี้ และฝ่ายผู้หญิงคนหนึ่งที่อ้างว่าเบื้องบนให้มาหานั่นเอง (ทั้งสองฝ่ายก็สอนธรรมะและอะไรๆ ให้ผมทั้งคู่ครับ ทำให้ผมนึกถึงยายเฒ่าทาริกาและหลีชิวสุ่ยมาก เพราะว่าผู้หญิงทั้งสองคนเหมือนนั้นมากๆๆ เลยครับ ฮ่าๆๆ) ทว่า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผมรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีแล้ว ผมเลยขอเบอร์ผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่าเบื้องบนให้มาหาแล้วยังสอนอะไรผมอีก โทรขอให้เขามารับผมไปทันที ผมต้องการไปด่วน ไม่อยู่แล้วครับ 555 ศึกชิงโยคีน้อย (ผมเิอง) ก็เลยจบลงด้วยประการฉะนี้




 

เป็ดเทวดา : คุยกับคนได้?

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกว่า ๕ ปีเห็นจะได้ ก่อนที่ผมจะบวชเณร ๑ ปี ช่วงนั้น ผมยังปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาส ยังห่มขาวอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องใส่ชุดขาวตลอดนะครับ ใส่ตามปกติ แล้วก็ปฏิบัติธรรมไปครับ วันหนึ่ง ผมค้นหาสายธรรมของท่าน "เจ้าคุณโพธิแจ้ง" และได้ไปแวะที่วัดของท่าน ก็ไม่มีอะไรแปลกครับ ผมเข้าไปดู สรีระสังขารของท่านที่ไม่เน่าเปื่อย มันก็แปลกอย่างหนึ่งที่ว่าท่านนั่งในท่าสมาธิและุถูกปิดล้อมด้วยกระจกใสสามด้าน ด้านหลังเป็นผนังกำแพง และด้านบนผมคิดว่าน่าจะปิดไม่ให้สัตว์ เช่น ตุ๊กแก, มด หรืออื่นๆ ลงไปได้นะครับ ดูๆ ก็ไม่มีอะไรแปลก ยกเว้น "ผ้าที่ห้อยอยู่ในนั้น ไหวพริ้วเหมือนถูกลมพัด" ก็เท่านั้นเอง ผมก็งงๆ ดูใหญ่เลย ลมมันมาจากทางไหน? ถ้าลมมันเข้าได้ มด, แมลงก็เข้าได้ แล้วสรีระท่านไม่แย่หรือ? เอ้า หาคำตอบไม่ได้ ก็เลยช่างมัน จากนั้น ไม่พบอะไรมากกว่านี้อีก ก็เลยเสริซหาข้อมูลในเน็ต พบว่าท่านมีสายธรรมไปสร้างวัดมหายานใหญ่มาก วัดหนึ่งที่จังหวัดเชียงราย ก็เลยคิดว่าจะไปดูสักหน่อย


เมื่อเดินทางไปถึงเชียงรายแล้ว ผมลงจากรถโดยสาร เห็นป้ายโฆษณา "ครูจูหลิง" อยู่ปากทางเข้าซอยด้วย อ้าว อยู่ใกล้กันดีจัง ผมต้องจ้างรถมอเตอร์ไซต์เข้าไป ระยะทางยาวไกลพอควร เรียกว่าแยกตัวออกห่างจากความเป็นเมืองได้อย่างแท้จริง ผ่านทุ่งนากว้างเวิ้งว้างและทิวเขาโดยรอบ ก็ถึงวัด ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ โดยเฉพาะ "พระศรีอาริยเมตตรัย" ที่เขาว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้มังครับ (ใหญ่มากจริงๆ) ก่อนหน้านี้ผมก็เคยแวะเข้าไปที่ศรีราชา เพื่อดู "เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย" มาก่อนเหมือนกัน ก็ใหญ่จริงๆ นั่นแหละ ยังกะหอบูชาฟ้าดิน ด้านบนจะเปิดโล่งเห็นท้องฟ้า เรียกว่า "ฮวงจุ้ยสุดยอด" เลย เอาละ ที่นั่นมีสามเณรมหายานเยอะ คงไม่ได้คิดอะไรกันมากหรอก นอกจาก จนไม่มีเงินเรียนตามระบบปกติ ก็ได้เสวยบุญเข้ามาเรียนในสายธรรมมหายานครับ ผมเดินสำรวจไปทั่วๆ ก็ลองเคาะๆ เครื่องทำสมาธิในโบสถ์มัง เบาๆ ดู ก็ไหนๆ มาแล้วนี่ก็สร้างบารมีหน่อยหนึ่ง ทำสมาธิก็ได้มัง แล้วพระที่นอนหลับกลางวันอยู่ด้านหลัง (ผมไม่เห็น) ก็เลยตื่นขึ้นมาโบกมือไล่ผมไำป ผมเลยออกจากโบสถ์ ไปด้านหลังก็เลยพบ "หลวงพี่สุดหล่อ" กำลังก้มๆ เงยๆ คุยกับสาวสวยคนหนึ่งอยู่ ช่วยกันมัดพันอะไรไม่รู้กันสองต่อสอง เราก็เลยทำเป็นบิดๆ ขยับๆ เหมือนออกกำลังกาย แล้วเขาทั้งสองก็เลย "ชะแว้บ" หายไป ผมก็เลยเดินไปสำรวจที่อื่นต่อ สำรวจไปสำรวจมา ดันมาเจอหลวงพี่สุดหล่อ กับสาวสวยคู่เดิม จู๋จี๋กันอย่างเดิม เป๊ะเลย เลยอุ๊ว่ะ โมโห ตรูไปดีกว่า วัดห่าอะไรว่ะเนี่ย? ยิ่งใหญ่ สวยงามแต่ว่า ... แล้วก็เลยเดินออกจากวัดเลยครับ


ไม่นานก็มีเป็ดฝูงหนึ่ง (เป็ดหรือห่านไม่แน่ใจนะครับ) สัก ๗ หรือ ๙ ตัวนี่แหละ จำไม่ค่อยได้ (ตอนก่อนมา ผมเห็นแล้ว จะเข้าไปเล่นกับมัน มันก็หนีเหมือนเป็ดทั่วๆ ไปตามปกติครับ) แต่คราวนี้ มันรีบเดินมาหาผมใหญ่เลย แล้วมีอยู่สองตัวที่เป็นผู้นำ มีน้ำตาไหลออกมาด้วย แต่มันยังเดินมาไม่ถึงเรา ก็มีหมาน้อยตัวหนึ่ง มาขวางเรากับเป็ดเอาไว้ แล้วก็เห่าไล่เราใหญ่เลย (หมายถึงใครกันหว่า?) เราก็เอ๊ะใจแล้ว? เลยหยุดสักหน่อย ไล่หมาตัวนั้นไป แล้วมันก็ทำท่าจะคุยกับผม ผมก็เลยให้มันนำทางไป (นึกในใจแค่นั้นครับ) มันก็ออกเดิน แล้วก็โย้หัวไปทางซ้ายที ขวาที พร้อมกันทั้งหมดเลยครับ เราก็เลยเอ้า อะไรว่ะ มันจะไปทางไหนของมันเนี่ย? ว่าแล้วผมก็เลยเดินนำหน้ามันซะเลย แล้วมันก็เดินตามมาทั้งฝูงครับ แล้วผมก็นึกในใจถามมันว่าจะให้ผมไปหาใคร? ผมเห็นพระแล้ว ก็เลยหยุดแล้วถามในใจว่า "ใช่ไหม?" มันก็เสียงแตกครับ ร้องไปคนละเรื่องละราว ผมก็เลยคิดว่าไม่ใช่แล้ว ว่าแล้วก็เจอแม่ชีอีกครับ ถามว่า "ใช่ไหม?" มันก็เสียงแตกอีก ก็เลยเดินต่อไป จนพบสามเณรสองรูปครับ นั่งอยู่ ทีนี้ ผมหันหลังให้สามเณรแล้วหันหน้าไปหาเป็ด ใช้นิ้วชี้ที่สามเณรสองรูปนั้น (ชี้ไปข้างหลัง) แล้วก็ถามเป็ดในใจว่า "ใช่ไหม?" ปรากฏว่า "เป็ดทุกตัวจากที่มีเสียงดังเล็กๆ น้อยๆ เงียบกริบหมดเลยครับ" อ้อ แสดงว่าใช่แล้ว เสียงไม่แตก แล้วมันก็เดินต่อไป ยังกะไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเมื่อกี้เลย กลายเป็นเป็ดธรรมดาไป อ้าว เป็นอย่างนั้นซะได้ ผมก็เลยเข้าไปหาสามเณรสองรูป ในมือผมมีหนังสือธรรมะอยู่ ๒ เล่ม ผมเลยเข้าไปนั่งใกล้ๆ สามเณร ยื่นหนังสือให้เล่มหนึ่ง สามเณรไม่กล้ารับ เพราะผมเป็นคนแปลกหน้าไงครับ ผมเลยบอกว่า "หนังสือไตรปิฎก" แล้วสามเณรก็รับไป แค่นั้นแหละ ผมก็กลับเลยครับ ...