อสูรในร่างพระ

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมยังไม่ได้บวชเป็นเณรยังปฏิบัติเป็นฆราวาสจาริกแสวงหาธรรมอยู่ตามแหล่งปฏิบัติต่างๆ หลังจากเสร็จภารกิจปฏิบัติเป็นโยคีชีเปลือย ณ สถานธรรมโบถส์พราหมณ์แล้ว ผมยังจรต่อไปเพื่อ แสวงหาธรรมที่กว้างขวางยิ่งขึ้นไปเรื่่อยๆ ผมได้ไปยัง "สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง" ซึ่งจากการค้นคว้าข้อมูลในเน็ตนั้น ข้อมูลเบื้องต้นดีมาก และมีผู้คนศรัทธาเข้าไปปฏิบัติกันมากมาย โดยเฉพาะโยมที่มีเงิน มีระดับ มีเวลาปลีกตัวไปได้ เช่น กลุ่มแพทย์ในจังหวัดนั้นๆ ก็นิยมไปปฏิบัติที่นี่กัน ผมเห็นสถานที่ร่มรื่นดี ก็เลยลองไปดู ผมไปเงียบๆ ดูไม่มีแขกคนนอกอื่นๆ เข้ามาเลยมีแต่ผมเท่านั้นที่เข้าไปปฏิบัติที่เหลือก็พวกที่ทำงานในนั้น ผมเลยเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็น "ความจริงบางประการ" ก็เลยเข้าไปแบบเหมือนกับคนต้อยต่ำ ธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แล้วคนที่ทำงานในนั้นบางคนก็ช่วยเหลือเราดี ตามประสาคนในชนบทที่ใสซื่อและไม่ค่อยมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรน่ะครับ (แต่ก็ไม่ใช่เช่นนี้ทุกคนนะครับ) ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะมานั้น เขาเล่าว่ามีคนๆ หนึ่งมาก่อน และเขามีองค์เป็น "พระนเรศวร" มั้ง เข้ามาคุยสนทนาธรรมที่นี่ แล้วเหมือนว่าจะไม่เข้าทางกัน ก็เลยไปกันไม่ได้ เขาก็จากไปครับ จากนั้น ผมก็ได้เข้ามา หลังจากที่คนๆ นั้นจากไปแล้ว


แล้วผมก็ได้พบกับเจ้าอาวาส ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ในสถานปฏิบัติธรรม (ไม่แปลกอะไรนะครับ ไม่มีอะไรทำก็หลับเท่านั้นเอง ผมเคยเจอบ่อยๆ ก็อย่างน้อยเจ้าสำนักสามแห่งแล้ว ก็เป็นเช่นนี้ครับ และผมก็ไม่ได้ว่า ไม่ได้ตำหนิอะไรท่่าน) แล้วท่านก็มาว่าผมว่าผมโง่ บวชไม่ได้หรอก (เท่าที่ผมทราบนะ ท่านนี้ มาจากสายพระป่าไม่ได้จบปริญญาตรีเหมือนผมหรอกนะครับ) แล้วท่านก็ให้ไปท่องบทขอบวชอะไรยาวมากๆ ผมก็เอ้าทำไป ตามน้ำไปเรื่อยๆ ก่อน เขาให้ทำก็ทำไป พอเริ่มจะได้หมดแล้ว เขาก็ไม่ให้ผมทำแล้ว บอกว่าผมไม่ต้องบวชละ บวชไม่ได้หรอก พอตกกลางคืน เป็นเวลาปฏิบัติ ผมไม่ีูรู้ว่าที่นี่เขาปฏิบัติอย่างไร เพราะมาครั้งแรก ก็ทำตามๆ เขาบอกไป เขาให้นั่งสมาธิก็นั่งไป แน่นอน มันเลยเงียบ บวกกับผมหลับตาอยู่ ย่อมมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง แล้วเวลาก็ผ่านไปนานกว่าที่อื่นครับ ประมาณว่า ๑ ชั่วโมงเห็นจะได้ คนอื่นๆ ที่เขานั่งกันคงทราบว่านั่งประมาณนี้แล้วเขาก็ออกจากสมาธิกัน ผมไม่รู้และไม่มีใครบอก ก็เลยยังนั่งอยู่ แล้วเจ้าอาวาสก็มาด่าผม สารพัดประการ ผมก็ไม่ได้ว่า ไม่ได้เถียงอะไรครับ เช้ามาก็หาเรื่องอีก คราวนี้ เห็นผมไม่เถียง ไม่มีปากเสียง เลยยัดเยียดข้อหาว่า "ผมเป็นบ้าครับ" (เอากะมันเข้า เออ ดูสิ มันจะเล่นละครไปถึงไหน) แล้วก็บอกว่าผมปฏิบัติไม่ได้ เพราะเป็นบ้า (แหม รู้ดีเนอะ ยังไม่ได้สอบถามอาการ, วินิจฉัยโรค, ตรวจโรคเลย แหม เสือกรู้ยิ่งกว่าจิตแพทย์อีกแน่ะ) ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมเงียบตลอด ไม่ได้เถียงเขาเลยสักคำ เขาเลยเอาใหญ่ พูดอะไรทุกคนต้องเชื่อหมดเพราะผมไม่เถียง แกเลยเล่นงานเราได้เต็มๆ ฝ่ายเดียว ผมก็เฉยๆ ดูต่อไป ว่ามันจะเล่นละครไปถึงไหน (ข้อมูลเบื้องต้นมีว่า เจ้าอาวาสนั้นเป็นศิษย์สายหลวงปู่มั่นด้วยสิ) สุดท้าย เขาก็ให้คนมาคุยกับผมว่า บวชพราหมณ์ให้ไม่ได้, ปฏิบัติก็ไม่ได้ ให้เป็นคนงานช่วยทำงานที่นี่ไป ก็แล้วกัน (อ้อ เราเลยเข้าใจแล้วว่าไอ้โล้นนี่ มันต้องการอะไร ที่ไหนได้ มันหลอกคนเอาไปเป็นขี้ข้านี่เอง) เมื่อผมรู้ใส้รู้พุงมันหมดแล้ว ก็เลยลาบาย กลับบ้าน แต่คุณรู้ไหม ทุกคนในที่นั้น เชื่อเจ้าอาวาสหมด ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่าผมก็พูดคุยกับพวกเขาได้ปกติ ไม่ได้บ้า?


ต่อมา หลังผมบวชเณรแล้ว ก็เลยให้สามเณรคู่หูลองเพ่งดูว่า "กายทิพย์ข้างใน" ของเจ้าอาวาสคนนี้เป็นอะไร ปรากฏว่าเป็น "อสูร" ครับ มีของทิพย์เป็น "ดาบวงจันทร์" อยู่ใต้ลิ้น (ของทิพย์จะย่อขนาดได้) เวลาเจรจาก็จะใช้ของทิพย์นี้ เช่นงานคนอื่น จนทุกคนต้องยอมจำนนต่อมัน สามเณรคู่หูใช้กายทิพย์อวโลกิเตศวรไปดู แล้วกายนั้นก็ทำกิจเลย คือ ตัดแขนทิพย์เขาไปข้างหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิด อสูรตนนี้จะมีสี่แขน) แล้วดึงเอาดาบวงจันทร์ออก แล้วไม่จบเท่านั้น พรรคพวกมันมีมากครับ เป็น "ฤษี" ที่อยู่ในป่าแถวนั้น ออกมามากมาย จะมารุมเรา เราก็เลย เอ้า ถอยก่อน ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติของเขา ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะพ้นจากสิ่งที่เขายึดมั่นอยู่ ก็ปล่อยเขาไปครับ เรื่องราวของ "อสูรในร่างพระ" ก็เลยต้องจบลงเพียงเท่านี้ ...



Penulis : Unknown ~ Sebuah blog yang menyediakan berbagai macam informasi

Artikel อสูรในร่างพระ ini dipublish oleh Unknown pada hari 1/6/13. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan อสูรในร่างพระ
 

0 comments:

Post a Comment