เมื่อผมเห็นจุดจบของตาอย่างนั้น และไม่ใช่แค่ตาคนเดียว คนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีเวทย์มนต์คาถา แต่มีผีปู่ย่าติดมาด้วย อย่างเช่น ย่าของผม ซึ่งก็ทรมานประมาณ ๒ ปีกว่า เดินไม่ได้ ต้องนั่งขยับๆ ไป ทีละนิดแล้ว ก็ปลงครับ ไม่คุ้มกันเลย กับชีวิตบั้นปลายที่ต้องทรมานมากมายยาวนานก่อนตายอย่างนั้น เพียงเพื่อความสุขที่เกิดดับชั่ววูบแล้วผ่านไป สนองความต้องการ ให้เรามีฤทธิ์มีเดช อะไรแบบนั้น ผมเลยไม่ชอบการมีเวทย์มนต์คาถาอะไรติดตัวเลย และไม่อยากมีผีอะไรมาคอยหาผู้รับสืบทอดด้วย แต่บางอย่างก็ยังไม่พ้นภาระครับ เรายังต้องเคลียร์ต่อไป หวังว่ามันจะหมดได้ จบได้ด้วยดี ก็เท่านั้นเองแหละครับ
จุดจบนักเวทย์
เรื่องนี้เป็นเรื่องของตาผมเอง นำมาเล่าไเป็นวิทยาทาน กล่าวคือ ตาของผมเป็นคนที่มีวิชาอาคม ซึ่งต่างจากพี่หรือน้องของตาอีกคน คือ คนละสายคนละแนวกัน ตาจะมีวิชาไสยศาสตร์ในด้าน "กระทำ" เรียกว่า "หมอทำ" แต่พี่หรือน้องของตาอีกคนจะมีวิชาทางด้าน "แก้" เรียกว่า "หมอแก้" ว่ากันว่าพี่หรือน้องของตาท่านนี้ได้ตำราตกทอดมาจากใคร ก็ไม่ทราบ ผมไม่ได้สนิท และทางเขาก็ไม่ชอบเราด้วย เรียกว่าต่างคนก็ต่างอยู่ไป เอาเป็นว่าผมเลยทราบแต่เรื่องของตา ซึ่งเป็น "หมอทำ" ก็แล้วกัน มาเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังกัน ตา เลี้ยงผมมาแต่เด็กๆ เพราะ่พ่อกับแม่ออกไปทำไร่ทำนา ก็เอาผมไว้กับตา บางทีตาจะสอนอะไรแปลกๆ เช่น ให้ผมไปเอาลูกไก่ตัวเล็กๆ มาจากแม่ไก่ ทำให้แม่ไก่ซึ่งหวงลูกอยู่ จิกตีผม ซึ่งผมยังเด็กมาก จึงร้องไห้ และกล้วแม่ไก่ แต่ตาก็ให้ผมไปเอาลูกไก่มาให้ได้ (ตอนนั้นเด็กมาก ก็ทำไม่ได้หรอกครับ ได้แต่ร้องไ้ห้เท่านั้นเอง เพราะโดนแม่ไก่ตีเอา) ผมก็จำได้ เพราะมันเ็ป็นเรื่องที่เด็กจดจำ เพราะเราโดนแม่ไก่ตีเอานี่ครับ สำหรับเด็กแล้วมันน่ากลัวมากเลย คือ ตาจะสอนให้เราไม่กลัวอะไร นั่นเอง มันเป็นพื้นฐานที่จะต้องมีใน "หมอไสยศาสตร์" นะครับ เพราะหมอไสยศาสตร์ก็อยู่กับผี นั่นแหละ พูดตรงๆ แล้วก็ใช้ผีทำงานด้วย ดังนั้น จะเป็นคนขี้่กลัวไม่ได้เลย ต่อมา ตาเคยมีเรื่องบาดหมางกับคนๆ หนึ่ง แล้วเขาก็ตายในเวลาไม่นานนัก แม่สงสัยว่าตาอาจจะกระทำคุณไสยกับคนๆ นี้ แต่ก็ไม่ทราบว่าเท็จจริงอย่างไร แม่บอกว่าตาไม่กินฟัก เพราะมันเป็นของเย็น (วิชาตาเป็นสายร้อน) นอกจากนี้ ยังมีคนมากมายที่รู้ว่าตามีวิชาแรงๆ ก็มาชอนกินเหล้าเพื่อขอวิชาบ้าง ตาก็ไม่ยอมให้ใคร บางอย่างแรงมาก ต้องใช้ "ไม้ฟ้าผ่า" เอามาทำ ก็มี, บางอย่างใช้ของอาถรรพ์อย่างตะปูโลงศพ อะไรแบบนั้น แต่ตาก็เึคยบอกให้ผมอย่างหนึ่ง เป็นของเบาๆ แค่ให้เขาร้องไห้สำนึกตนเท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นป่วยหรือตาย ผมก็ยังจำได้นิดหน่อย แต่ปัจจุบัน มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อไปแล้วครับ ตอนตาแก่ลง ตาก็กลายเป็นอัลไซเมอร์ จำอะไรไม่ได้เลย และทรมานอยู่อย่่างนั้น ๒ ปีกว่าเห็นจะได้ จนตาตายลง ผมยังเรียนอยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำใจไม่ได้ แม่รอให้ผมกลับไปงานศพตา ผมก็ไม่ไป บอกว่าติดธุระ ทำให้ผมฝันถึงตาแทบทุกคืน เป็นเวลานานมาก กว่าจะหายได้ ผมมักจะฝันว่าตามีคู่แฝด และคู่แฝดอีกคนก็ยังไม่ตาย อะไรแบบนั้นคือ ทำใจไม่ได้น่ะครับ
เมื่อผมเห็นจุดจบของตาอย่างนั้น และไม่ใช่แค่ตาคนเดียว คนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีเวทย์มนต์คาถา แต่มีผีปู่ย่าติดมาด้วย อย่างเช่น ย่าของผม ซึ่งก็ทรมานประมาณ ๒ ปีกว่า เดินไม่ได้ ต้องนั่งขยับๆ ไป ทีละนิดแล้ว ก็ปลงครับ ไม่คุ้มกันเลย กับชีวิตบั้นปลายที่ต้องทรมานมากมายยาวนานก่อนตายอย่างนั้น เพียงเพื่อความสุขที่เกิดดับชั่ววูบแล้วผ่านไป สนองความต้องการ ให้เรามีฤทธิ์มีเดช อะไรแบบนั้น ผมเลยไม่ชอบการมีเวทย์มนต์คาถาอะไรติดตัวเลย และไม่อยากมีผีอะไรมาคอยหาผู้รับสืบทอดด้วย แต่บางอย่างก็ยังไม่พ้นภาระครับ เรายังต้องเคลียร์ต่อไป หวังว่ามันจะหมดได้ จบได้ด้วยดี ก็เท่านั้นเองแหละครับ
Artikel จุดจบนักเวทย์ ini dipublish oleh Unknown pada hari 1/20/13. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan จุดจบนักเวทย์
เมื่อผมเห็นจุดจบของตาอย่างนั้น และไม่ใช่แค่ตาคนเดียว คนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีเวทย์มนต์คาถา แต่มีผีปู่ย่าติดมาด้วย อย่างเช่น ย่าของผม ซึ่งก็ทรมานประมาณ ๒ ปีกว่า เดินไม่ได้ ต้องนั่งขยับๆ ไป ทีละนิดแล้ว ก็ปลงครับ ไม่คุ้มกันเลย กับชีวิตบั้นปลายที่ต้องทรมานมากมายยาวนานก่อนตายอย่างนั้น เพียงเพื่อความสุขที่เกิดดับชั่ววูบแล้วผ่านไป สนองความต้องการ ให้เรามีฤทธิ์มีเดช อะไรแบบนั้น ผมเลยไม่ชอบการมีเวทย์มนต์คาถาอะไรติดตัวเลย และไม่อยากมีผีอะไรมาคอยหาผู้รับสืบทอดด้วย แต่บางอย่างก็ยังไม่พ้นภาระครับ เรายังต้องเคลียร์ต่อไป หวังว่ามันจะหมดได้ จบได้ด้วยดี ก็เท่านั้นเองแหละครับ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment