จากจุดเริ่มต้นในวันที่ผมเริ่มมืดมน กลายเป็นเด็กเกเรในเมืองกรุง มาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาร่วม ๑๕-๑๖ ปี ได้ ปัจจุบัน ผมเริ่มดีขึ้น หลังจากเข้าสู่ทางธรรม, ปฏิบัติธรรม และได้บวชพักผ่อนจิตใจเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี (ผ้าขาว ๑ ปี เณร ๑ ปี พระ ๓ ปี) ผมจึงเห็นทุกข์และความมืดมนชัดเจนมากๆ เพราะผมต้องทนอยู่กับมันเป็นเวลานานร่วม ๑๕ ปี ก่อนจะเข้าสู่ทางธรรม เรื่องฤทธิ์เดชอะไรในทางพุทธศาสนาที่คนเขานิยมก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาผม เพราะผมตกต่ำถึงขีดสุดและทนทุกข์ถึงที่สุด ณ จุดนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้หลุดพ้นจากวังวนแห่งทุกข์และความมืดมิดนั้น เรื่องอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชอะไร จะมีหรือไม่ มันก็แค่ผ่านๆ ไป ถ้ามีเอามาเล่าให้ฟังแล้วจบๆ กันไป เท่านั้นเอง หาเป็นสาระที่พึ่งอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้ว เมื่อเราทุกข์ อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช มันก็ช่วยให้เราพ้นทุกข์ไม่ได้ ผมเคลียร์ตัวตนที่มืดมนนั้นจนหมดแล้ว จึงได้สัมผัสถึง "ตัวตนที่หายไป" คือ ตัวตนที่มีแต่ความสุข, ร่าเริง, หัวเราะตลอดเวลานั้น ผมเริ่มสัมผัสตัวตนนั้นได้อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ (ปี ๒,๕๕๖) แต่ไม่เต็มตัว ประมาณ ๑๐-๒๐% แต่ก็พอดีสำหรับผมแล้ว
ตัวตนที่หายไป
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมอายุประมาณ ๑๒ ถึง ๑๘ ปี ช่วงนั้น หลังจากที่ผมเกิดความรู้สึกผิดเพราะทำสิ่งที่ผิดต่อเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง แ้ล้วทำให้จิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมเหมือนเป็นคนใหม่ ที่มีแต่ความใสซื่อ เหมือนเด็กไร้เดียงสา หัวเราะร่าเริงตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่มีเื่รื่องอะไรน่าขำ คือ อยู่ๆ มันก็นึกขำขึ้นมาเอง เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ก็สงสัยว่าทำไมคนอื่นเขาไม่ขำเหมือนเรา เขาเฉยๆ แต่เราขำง่ายมาก ก็จะยิ้มตลอดเวลา แทบจะหัวเราะตลอดเวลา จนเพื่อนๆ มองว่า "ติงต๊อง" แต่ไม่ได้บ้า เพราะมีสติดี และยังเรียนได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย เพราะสมองปลอดโปร่งมาก โล่งสบาย จำอะไรก็ำได้หมด เยอะแยะ แถมยังคิดอะไรได้เร็วมากๆ คิดเลขได้รวดเร็วและแม่นยำมากๆ อีกด้วย การเรียนของผมจึงก้าวหน้ามาก เป็นเวลาประมาณ ๕ ถึง ๖ ปี เห็นจะได้ คือ ช่วงมัธยมศึกษานั่นเอง ซึ่งผมนับว่าเป็น "วัยรุ่นตอนต้น" จากนั้น ผมก็สอบติดมหาวิทยาลัยได้ ขณะยังเรียนอยู่ ม.๕ เพราะใช้การสอบเทียบเอา เป็นคณะและมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง แต่ใจผมยังไม่อยากไปเรียนเร็วเกินไปยังอยากอยู่อีกปีหนึ่งให้ครบ ๖ ปีตามปกติ ทว่า ในที่สุด ก็ตัดสินใจไปเรียน ซึ่งในช่วงนั้นต้องเจอกับอะไรเยอะมาก แล้วปรับตัวไม่ทัน สุดท้ายก็เกิดผลกระทบต่อจิตใจจนได้ ในปีที่สองหลังจากไปเรียน มีเรื่องความรักเข้ามากระทบจิตใจ ทำให้เกิดความรู้สึกเหม่อลอย คิดถึงแต่คนที่เรารัก และในที่สุดเขาต้องแยกตัวจากผมไป เพื่อให้สามารถเรียนได้ตามปกติ ไม่อยากให้เรื่องความรักกระทบต่อการเรียน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนสูญเสียตัวตนที่มีความสุขผ่องใสนั้นไป ผมกลายเป็นคนอีกคน ที่มืดมนและมีแต่ความทุกข์ กลับกันเป็นคนละด้านไปเลย แล้วต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุง เหมือนคนที่ตกทุกข์ มีปัญหาในชีวิต เหมือนวัยรุ่นในกรุงเทพฯ ที่มีปัญหาและมีชีวิตที่มืดมนอย่างนั้น แต่โชคดีที่ผมไม่ได้มีเงินมากพอที่จะไปซื้อยาเสพติดมาเสพ ผมจึงมีพฤติกรรมเหมือนเด็กเกเรและมืดมนในเมืองกรุงฯ เป็นกันแค่นั้น คือ เที่ยวเตร่ในเวลากลางคืน สำมะเลเทเมา อะไรแบบนั้น เป็นเวลาเกือบ ๘ ปีที่เป็นค่อนข้างหนัก เมื่อเรียนจบแล้ว จึงเริ่มทำงานทำการ ทำให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
จากจุดเริ่มต้นในวันที่ผมเริ่มมืดมน กลายเป็นเด็กเกเรในเมืองกรุง มาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาร่วม ๑๕-๑๖ ปี ได้ ปัจจุบัน ผมเริ่มดีขึ้น หลังจากเข้าสู่ทางธรรม, ปฏิบัติธรรม และได้บวชพักผ่อนจิตใจเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี (ผ้าขาว ๑ ปี เณร ๑ ปี พระ ๓ ปี) ผมจึงเห็นทุกข์และความมืดมนชัดเจนมากๆ เพราะผมต้องทนอยู่กับมันเป็นเวลานานร่วม ๑๕ ปี ก่อนจะเข้าสู่ทางธรรม เรื่องฤทธิ์เดชอะไรในทางพุทธศาสนาที่คนเขานิยมก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาผม เพราะผมตกต่ำถึงขีดสุดและทนทุกข์ถึงที่สุด ณ จุดนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้หลุดพ้นจากวังวนแห่งทุกข์และความมืดมิดนั้น เรื่องอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชอะไร จะมีหรือไม่ มันก็แค่ผ่านๆ ไป ถ้ามีเอามาเล่าให้ฟังแล้วจบๆ กันไป เท่านั้นเอง หาเป็นสาระที่พึ่งอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้ว เมื่อเราทุกข์ อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช มันก็ช่วยให้เราพ้นทุกข์ไม่ได้ ผมเคลียร์ตัวตนที่มืดมนนั้นจนหมดแล้ว จึงได้สัมผัสถึง "ตัวตนที่หายไป" คือ ตัวตนที่มีแต่ความสุข, ร่าเริง, หัวเราะตลอดเวลานั้น ผมเริ่มสัมผัสตัวตนนั้นได้อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ (ปี ๒,๕๕๖) แต่ไม่เต็มตัว ประมาณ ๑๐-๒๐% แต่ก็พอดีสำหรับผมแล้ว
Artikel ตัวตนที่หายไป ini dipublish oleh Unknown pada hari 1/28/13. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan ตัวตนที่หายไป
จากจุดเริ่มต้นในวันที่ผมเริ่มมืดมน กลายเป็นเด็กเกเรในเมืองกรุง มาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาร่วม ๑๕-๑๖ ปี ได้ ปัจจุบัน ผมเริ่มดีขึ้น หลังจากเข้าสู่ทางธรรม, ปฏิบัติธรรม และได้บวชพักผ่อนจิตใจเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี (ผ้าขาว ๑ ปี เณร ๑ ปี พระ ๓ ปี) ผมจึงเห็นทุกข์และความมืดมนชัดเจนมากๆ เพราะผมต้องทนอยู่กับมันเป็นเวลานานร่วม ๑๕ ปี ก่อนจะเข้าสู่ทางธรรม เรื่องฤทธิ์เดชอะไรในทางพุทธศาสนาที่คนเขานิยมก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาผม เพราะผมตกต่ำถึงขีดสุดและทนทุกข์ถึงที่สุด ณ จุดนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้หลุดพ้นจากวังวนแห่งทุกข์และความมืดมิดนั้น เรื่องอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชอะไร จะมีหรือไม่ มันก็แค่ผ่านๆ ไป ถ้ามีเอามาเล่าให้ฟังแล้วจบๆ กันไป เท่านั้นเอง หาเป็นสาระที่พึ่งอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้ว เมื่อเราทุกข์ อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช มันก็ช่วยให้เราพ้นทุกข์ไม่ได้ ผมเคลียร์ตัวตนที่มืดมนนั้นจนหมดแล้ว จึงได้สัมผัสถึง "ตัวตนที่หายไป" คือ ตัวตนที่มีแต่ความสุข, ร่าเริง, หัวเราะตลอดเวลานั้น ผมเริ่มสัมผัสตัวตนนั้นได้อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ (ปี ๒,๕๕๖) แต่ไม่เต็มตัว ประมาณ ๑๐-๒๐% แต่ก็พอดีสำหรับผมแล้ว
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment