ในช่วงหนึ่งของการปฏิบัติ หลวงพ่อรูปนี้ ก็นั่งสมาธิแล้วปล่อยตามธรรมชาติ (เป็นแบบของการฝึกที่นี่) ก็เอนหลังแล้วนอนไป ปล่อยตามอาการภายใน แล้วใช้สติพิจารณาดูเฉยๆ ไม่ได้บังคับร่างกาย ให้ต้องอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง จู่ๆ ก็มีแม่ชีอีกรูปเข้ามา แล้วก็ใช้เท้ากระทืบท้องท่าน แล้วก็มีฆราวาสอีกท่านเข้ามาใกล้ๆ เอามือฟาดเสาเหล็กดังสนั่น (คล้ายๆ กับทรงเจ้าน่ะครับแต่ไม่ใช่นะครับ) แล้วดึงตัวแม่ชีออกไปจากพระ เมื่อหยุดปฏิบัติแล้ว แม่ชีก็บอกว่าเบื้องบนสั่งให้ทำอย่างนั้น ส่วนฆราวาสอีกท่านก็บอกว่าเทพกวนอูมาช่วยไล่มาร ส่วนผมก็ดูเฉยๆ เพราะปฏิบัติไปบ้างแล้ว กำลังพักอยู่ จึงได้เห็นเหตุการณ์พอดี ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากครับ เราเข้าใจว่าขณะอยู่ในกรรมฐานแบบนี้ ก็อาจไหลไปตามอะไรๆ ได้ แล้วพอออกจากกรรมฐานนี้ ก็หมดไป พ้นไปครับ เราก็ใช้สติพิจารณาตัวเราไปครับ มันไม่มีอะไรผิดหรือถูก เพียงแต่เราจะวนติดอยู่ในสภาวะแบบใดแบบหนึ่งนั้น นานแค่ไหน ก็เท่านั้นเอง เช่น บางคนคิดว่าสภาวะนั้นๆ ซึ่งตนเข้าถึงอยู่ ถูกต้องแล้ว อาจจะวนอยู่แต่ในสภาวะนั้นๆ อยู่นาน จนไม่ออกไปไหน และไม่เกิดปัญญาก็มี ปฏิบัติอยู่ที่นั่นได้พอควรแล้ว ผมก็จรจากมา เนื่องจาก การอยู่ในสถานที่ที่ตนนิยมมากไป ทำให้ยึดติดได้ครับ อีกทั้งที่นั่นเจ้าของสถานที่ยังสร้างกุฎิที่สัปปายะ สงบร่มรื่นไว้ให้อีกด้วย เ็ป็นกุฎิที่ไม่มีพระอยู่ถ้าผมอยู่ประำจำก็จะกลายเป็นเจ้าของกุฎิไป ไม่มีใครว่าครับ ประกอบกับมีพระอีกรูปที่ไม่มีที่พัก กางเต้นท์อยู่ข้างนอก ผมก็เลยรีบกลับดีกว่า เพื่อท่านจะได้มีที่พัก ส่วนผมก็ปฏิบัติมากพอแล้ว จึงจรจาริกต่อไปครับ
พระไม่มีวัด
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมบวชเป็นพระแล้ว ได้จรจาริกไปเพื่อแสวงหาธรรมเพิ่มเติม ที่สถานธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาจารย์เป็นฆราวาสคอยดูแล ณ ที่นั่นเอง ผมได้พบกับท่านอื่นๆ ที่แสวงหาธรรมเช่นกัน เราจึงได้พูดคุยสนทนาธรรมกันบ้างเล็กน้อย และผมก็ได้สนทนาํธรรมกับหลวงพ่อรูปหนึ่ง ดูบางทีท่านเหมือนคนที่ยังไม่แก่ เหมือนหลวงพี่ ดูกระฉับกระเฉงและไม่ทำตัวเป็นคนแก่ เปิดใจเรียนรู้ ไม่ถือตัวเท่าไร แต่ดูบางทีก็จะรู้ว่าท่านน่าจะประมาณหลวงพ่อได้แล้ว ท่านบวชมานานพอดู แต่ท่านเป็นพระไม่มีวัด คือ ท่านจะจรจาริกไปเรื่อยๆ จากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง ไม่ได้อยู่ประจำ และไม่มีกำหนดที่แน่ชัด แล้วท่านได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งท่านปฏิบัติสติปัฏฐานกับพระอาจารย์ของท่านนั้น ท่านปฏิบัติไปจนถึงจุดหนึ่ง ก็เห็น "กายในกาย" ของตนเอง คือ เห็นกายอันเป็นทิพย์, กายละเอียดของตนเอง มีลักษณะใสเหมือนแก้ว แต่เปล่งประกายเหมือนเพชร เมื่อท่านค่อยๆ เคลื่อนแขนขึ้นก็เห็นแขนแยกออกเป็นหลายๆ แขน เหมือนเป็นพันกรอย่างนั้น แล้วท่านก็ไปถามพระอาจารย์ๆ ก็บอกว่่า "สักแต่ว่ารู้ไป" ซึ่ง ณ ที่นั่น ยังมีพระรูปอื่นๆ อยู่อีก มีพระหนุ่มรูปหนึ่งตั้งใจปฏิบัติอยู่มาก แต่ยังติดขัดบางประการ ไปต่อไม่ได้ คือ อาศัยวิชาความรู้ที่ได้รับมา ปฏิบัติไปแล้ว ติดขัด ไม่อาจเดินหน้าต่อได้ ผมก็สนทนาด้วย แต่ไม่เหมาะที่จะอยู่ช่วยเหลือนานๆ ทั้งยังเห็นว่าหลวงพี่อีกท่านที่ได้คุยกันนี้ น่าจะเหมาะสมช่วยเหลือพระหนุ่มรูปนั้นมากกว่า อีกทั้งยังเห็นว่าทั้งสองท่านมีศรัทธาต่อกันอยู่ น่าจะมีบุญวาสนาได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จึงไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งมากนัก ด้วยพระหนุ่มเึคยมีปัญหาเรื่องพลังงานแทรกเข้ามา ทำให้กลายเป็นคนดุร้าย เขาพยายามสลัดสิ่งนั้นออกไป แต่ได้เพียงชั่วขณะก็จะกลับมาอีก ผมได้แต่แนะว่าให้ปฏิบัติเบาๆ ลง ใกล้สภาวะนิ่งมากขึ้น ค่อยๆ ปรับไป ส่วนหลวงพี่ ก็เข้ามาช่วยอีกแบบ คือ ท่านว่าท่านพอมีคาถาไล่ ... ให้ออกไป อะไรแบบนั้น ก็เลยลองดู
ในช่วงหนึ่งของการปฏิบัติ หลวงพ่อรูปนี้ ก็นั่งสมาธิแล้วปล่อยตามธรรมชาติ (เป็นแบบของการฝึกที่นี่) ก็เอนหลังแล้วนอนไป ปล่อยตามอาการภายใน แล้วใช้สติพิจารณาดูเฉยๆ ไม่ได้บังคับร่างกาย ให้ต้องอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง จู่ๆ ก็มีแม่ชีอีกรูปเข้ามา แล้วก็ใช้เท้ากระทืบท้องท่าน แล้วก็มีฆราวาสอีกท่านเข้ามาใกล้ๆ เอามือฟาดเสาเหล็กดังสนั่น (คล้ายๆ กับทรงเจ้าน่ะครับแต่ไม่ใช่นะครับ) แล้วดึงตัวแม่ชีออกไปจากพระ เมื่อหยุดปฏิบัติแล้ว แม่ชีก็บอกว่าเบื้องบนสั่งให้ทำอย่างนั้น ส่วนฆราวาสอีกท่านก็บอกว่าเทพกวนอูมาช่วยไล่มาร ส่วนผมก็ดูเฉยๆ เพราะปฏิบัติไปบ้างแล้ว กำลังพักอยู่ จึงได้เห็นเหตุการณ์พอดี ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากครับ เราเข้าใจว่าขณะอยู่ในกรรมฐานแบบนี้ ก็อาจไหลไปตามอะไรๆ ได้ แล้วพอออกจากกรรมฐานนี้ ก็หมดไป พ้นไปครับ เราก็ใช้สติพิจารณาตัวเราไปครับ มันไม่มีอะไรผิดหรือถูก เพียงแต่เราจะวนติดอยู่ในสภาวะแบบใดแบบหนึ่งนั้น นานแค่ไหน ก็เท่านั้นเอง เช่น บางคนคิดว่าสภาวะนั้นๆ ซึ่งตนเข้าถึงอยู่ ถูกต้องแล้ว อาจจะวนอยู่แต่ในสภาวะนั้นๆ อยู่นาน จนไม่ออกไปไหน และไม่เกิดปัญญาก็มี ปฏิบัติอยู่ที่นั่นได้พอควรแล้ว ผมก็จรจากมา เนื่องจาก การอยู่ในสถานที่ที่ตนนิยมมากไป ทำให้ยึดติดได้ครับ อีกทั้งที่นั่นเจ้าของสถานที่ยังสร้างกุฎิที่สัปปายะ สงบร่มรื่นไว้ให้อีกด้วย เ็ป็นกุฎิที่ไม่มีพระอยู่ถ้าผมอยู่ประำจำก็จะกลายเป็นเจ้าของกุฎิไป ไม่มีใครว่าครับ ประกอบกับมีพระอีกรูปที่ไม่มีที่พัก กางเต้นท์อยู่ข้างนอก ผมก็เลยรีบกลับดีกว่า เพื่อท่านจะได้มีที่พัก ส่วนผมก็ปฏิบัติมากพอแล้ว จึงจรจาริกต่อไปครับ
Artikel พระไม่มีวัด ini dipublish oleh Unknown pada hari 2/11/13. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan พระไม่มีวัด
ในช่วงหนึ่งของการปฏิบัติ หลวงพ่อรูปนี้ ก็นั่งสมาธิแล้วปล่อยตามธรรมชาติ (เป็นแบบของการฝึกที่นี่) ก็เอนหลังแล้วนอนไป ปล่อยตามอาการภายใน แล้วใช้สติพิจารณาดูเฉยๆ ไม่ได้บังคับร่างกาย ให้ต้องอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง จู่ๆ ก็มีแม่ชีอีกรูปเข้ามา แล้วก็ใช้เท้ากระทืบท้องท่าน แล้วก็มีฆราวาสอีกท่านเข้ามาใกล้ๆ เอามือฟาดเสาเหล็กดังสนั่น (คล้ายๆ กับทรงเจ้าน่ะครับแต่ไม่ใช่นะครับ) แล้วดึงตัวแม่ชีออกไปจากพระ เมื่อหยุดปฏิบัติแล้ว แม่ชีก็บอกว่าเบื้องบนสั่งให้ทำอย่างนั้น ส่วนฆราวาสอีกท่านก็บอกว่าเทพกวนอูมาช่วยไล่มาร ส่วนผมก็ดูเฉยๆ เพราะปฏิบัติไปบ้างแล้ว กำลังพักอยู่ จึงได้เห็นเหตุการณ์พอดี ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากครับ เราเข้าใจว่าขณะอยู่ในกรรมฐานแบบนี้ ก็อาจไหลไปตามอะไรๆ ได้ แล้วพอออกจากกรรมฐานนี้ ก็หมดไป พ้นไปครับ เราก็ใช้สติพิจารณาตัวเราไปครับ มันไม่มีอะไรผิดหรือถูก เพียงแต่เราจะวนติดอยู่ในสภาวะแบบใดแบบหนึ่งนั้น นานแค่ไหน ก็เท่านั้นเอง เช่น บางคนคิดว่าสภาวะนั้นๆ ซึ่งตนเข้าถึงอยู่ ถูกต้องแล้ว อาจจะวนอยู่แต่ในสภาวะนั้นๆ อยู่นาน จนไม่ออกไปไหน และไม่เกิดปัญญาก็มี ปฏิบัติอยู่ที่นั่นได้พอควรแล้ว ผมก็จรจากมา เนื่องจาก การอยู่ในสถานที่ที่ตนนิยมมากไป ทำให้ยึดติดได้ครับ อีกทั้งที่นั่นเจ้าของสถานที่ยังสร้างกุฎิที่สัปปายะ สงบร่มรื่นไว้ให้อีกด้วย เ็ป็นกุฎิที่ไม่มีพระอยู่ถ้าผมอยู่ประำจำก็จะกลายเป็นเจ้าของกุฎิไป ไม่มีใครว่าครับ ประกอบกับมีพระอีกรูปที่ไม่มีที่พัก กางเต้นท์อยู่ข้างนอก ผมก็เลยรีบกลับดีกว่า เพื่อท่านจะได้มีที่พัก ส่วนผมก็ปฏิบัติมากพอแล้ว จึงจรจาริกต่อไปครับ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment