ดอยสราญรมย์ : ผจญพระหรือมาร?

เรื่องนี้ก็เกิดมานานแ้ล้วช่วงที่ผมบวชพระครับ (ช่วงปี 2551-2554) จำไม่่ค่อยได้ว่าปีไหนนะ ตอนนั้น ผมไปพักกับอาจารย์ฆราวาสท่านเดิมที่ดอยของอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ตั้งเป็นสำนักธรรมเล็กๆ ไม่มีใครรู้จักนักครับ และตั้งไม่นานเอง ผมก็ได้ไปพักด้วยในช่วงนั้น อาจารย์ให้ชื่อสำนักประมาณว่าเป็นแนวสุขวิปัสโก คือ ไม่ใช่พวกทรมานตนให้ทุกข์เพื่อบรรลุธรรมนะครับ ผมเลยขอเรียกดอยนั้นว่า "ดอยสราญรมย์" ก็แล้วกัน ที่หลังดอยจะมีลานดินกว้างมาก เรียบยังกะสนามฟุตบอล ใหญ่พอดูเลย แล้วก็เป็นดินปนอิฐกรวดซึ่งแข็งแรงมาก นับว่า แปลกและหายากครับ มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครไปทำมันนะครับ และแล้วเราก็ได้คุยกับกับอาจารย์เจ้าสำนัก และอาจารย์ฆราวาสอีกท่าน ซึ่งมาช่วยในการฝึกธรรมของผมด้วยครับ (อาจารย์สองท่านนี้ ไม่ใช่ย่อยๆ นะครับ เก่งไม่แพ้พระดังๆ ในประเทศเลยแหละ แต่ไม่มีใครเขาเชื่อแกหรอก เพราะแกไม่ได้โฆษณาอวดอ้าง อีกทั้งเป็นเพียงฆราวาสครับ ก็เลยแล้วแต่ใครจะศรัทธาครับ) แกก็ได้กล่าวถึงพระรูปหนึ่ง ซึ่งสร้างวัดอยู่ไม่ไกลจากที่ดอยนี้นัก และเราจะไปเยี่ยมเยียนท่านกัน อาจารย์เล่าว่าอาจารย์เคยไปสนทนาธรรมกับท่านแล้วว่าการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การสร้างอะไร เพราะยิ่งสร้างก็ยิ่งต่อชาติ สืบภพไป ไม่สิ้นสุด แต่ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครฟังอาจารย์ท่านนี้เลย (มีแต่ผมคนเดียวละมั้ง) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าอาวาสวัดที่เราวางแผนจะไปเยี่ยมเยียนในตอนเช้านี้ด้วย เีรียกว่าท่านสร้างวัดได้ ก็เลยไม่ฟังใครละ ยิ่งอาจารย์ผมเป็นฆราวาสด้วย ไปพูดแบบนั้น ท่านยิ่งไม่ฟังใหญ่ และมีทิฐิมานะมาก จนอาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรได้แล้ว อาจารย์ก็เลยวางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเยียนสนทนากับพระรูปนี้กัน


รุ่งเช้า เราก็ไปสนทนากับท่านนี้ดู (เผื่อว่าผมซึ่งเป็นพระอาจจะสื่อสารได้ช่วยท่านได้บ้างประมาณนั้น)    วัดท่านก็สวยงามแบบกลมกลืนกับธรรมชาติ กึ่งๆ รีสอร์ทแล้วครับ ไม่ใหญ่มาก แต่ติดเขา ก็เลยเล็กแต่สวยครับ มีคนเข้ามาทำบุญเรื่อยๆ ไม่่ค่อยขาด ถ้าเริ่มหดหาย เจ้าอาวาสก็หาทางหาเงินได้เก่งครับ ทำให้มีเงินมาก่อสร้างได้เรื่อยๆ ผมก็เลยได้ไปนมัสการท่านที่มีพรรษามากกว่า ยังไม่ทันพูดอะไรหรอก ท่านก็เอาแต่จ้องจับผิดผมซึ่งเป็นพระบวชใหม่ ท่านว่ามีบัตรประจำตัวไหม? ผมว่า ยังไม่ได้รับบัตรอะไรเลย (เรื่องออกบัตรนี่ ผมไม่ใช่ผู้มีอำนาจนะ ก็ทำตามๆ ที่เขาให้ทำไปแล้ว เขาไม่ออกให้เราเองนี่นา แล้วผมผิดหรือไร?) ท่านก็รีบเล่นงาน จี้จุดอ่อนที่ท่านค้นเจอนี่ก่อนเลย จี้ๆๆ กดๆๆ เราให้เราจิตตกละมั้ง ให้เราแย่ว่างั้นเหอะ อ้าว เรายังไม่ทันพูดอะไรเลย เล่นงานเรา จับผิดเรา จี้กดเรา ใช้พลังจิตจัดการเราซะแล้ว ว่าแล้วเราเอาบ้าง นึกในใจ "ฉันก็ศิษย์มีครูเหมือนกันละวะ" ก็เลยหมุนธรรมจักรภายใน แป้บเดียวครับ จากที่แกนั่งจับผิดเราแบบไม่ยอมหยุด แกก็หยุดชงักเลย แล้วลุกผึง ขอตัว หนีหายออกไปเฉยเลยครับ


อ้าว ไอ้เราก็งงอ่ะสิ ยังไม่ทันคุยกันรู้เรื่องอะไร อยู่ๆ ท่านก็มานั่งจับผิด จี้จุดอ่อนเรา ไม่เท่านั้น จู่ๆ ก็ร้อนตัวรีบลุกผึง หนีออกไปเลย? เออ เป็นซะงั้น 555 ผมก็เลยเดินสำรวจรอบๆ วัดต่อ แล้วก็เดินดูว่าท่านเจ้าอาวาสหายไปไหนแล้ว ปรากฏว่า หายไปเลย เฮ้อ หนีหายไปเลยหรือไงเนี่ย อ้าว เป็นอย่างนั้นไปซะได้! ผมกลับมาถึงที่พัก ก็เลยมาคุยกับอาจารย์ (อาจารย์ผมตอนนี้มีสองท่าน) คือ ท่านที่เป็นเจ้าสำนักธรรม นี่แหละครับ ท่านก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนอาจารย์ตั้งสำนักใหม่ๆ วันหนึ่ง อาจารย์เห็น (ทางใน) เป็นกายทิพย์ของพระรูปนี้ (เป็นมารตัวดำๆ) อาจารย์คิดว่าเป็น "ผีกะ" มาเจอกับกายทิพย์ข้างในของอาจารย์ เขาสู้อาจารย์ผมไม่ได้ กายทิพย์ (ที่เ็ป็นมาร) ของพระรูปนั้น ก็เลยหนีหายไปเลย ไม่กล้ามาสู้กับอาจารย์ตรงๆ ต่อมา เขาไม่ยอมแพ้มั้งก็ไปดลจิตดลใจให้อาจารย์ขายที่ให้ได้ (สงสัยพลังธรรมขัดแย้งกันเลยอยู่ใกล้กันไม่ได้) สุดท้าย อาจารย์ผมก็ขายที่ สำนักก็ต้องปิดตัวลงไปครับ (อันนี้ ก็แล้วแต่อาจารย์ตัดสินใจครับ) และอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ลงมือเด็ดขาด ให้โอกาสเขากลับตัวกลับใจไงครับ เรื่องก็เลยจบลงเท่านี้ ...




Penulis : Unknown ~ Sebuah blog yang menyediakan berbagai macam informasi

Artikel ดอยสราญรมย์ : ผจญพระหรือมาร? ini dipublish oleh Unknown pada hari 11/15/12. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan ดอยสราญรมย์ : ผจญพระหรือมาร?
 

0 comments:

Post a Comment