Mouth XP : ร่วมสัมผัสประสบการณ์ลึกลับ พิศวง ได้แล้ว ณ บัดนี้

แม่ชีผู้ชำนาญในฌาน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูอยู่ด้วย วันหนึ่งในช่วงเข้าพรรษาซึ่งเป็นวันที่มีอุบาสก อุบาสีกา ใส่ชุดขาวเข้ามาปฏิบัติสมาธิกันที่วัดด้วย ก็มี "แม่ชีรูปหนึ่ง" เป็นใครก็ไม่รู้ มาจากต่างถิ่นแดนไกล อยู่ๆ ก็เข้ามาร่วมปฏิบัิติ และคุยกับญาติโยมทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติไปได้พอควรจึงหยุดพัก แล้วแม่ของผมซึ่งมาปฏิบัติด้วย ก็ได้พูดคุยกับแม่ชีและกล่าวถึงผม แม่ชีจึงอยากคุยด้วย มีคนไปเรียกผมมา ผมจึงค่อยๆ เข้าไป ตอนแรก เห็นแม่ชีนั่งอยู่ มีโยมอยู่รอบๆ ก็ยังไม่เข้าไปใกล้นัก รอดูว่า แม่ีชีจะให้ผมไปนั่งเสมอด้วยกับสีกาทั้งหลายหรือไม่? (ผมเป็นสามเณรห่มเหลืองครับ ตอนนั้น) เพราะคนห้อมล้อมมาก หากแม่ชีหลงตัวเอง ก็อาจทำอย่างนั้น (ตรงนั้นมีที่นั่งสำหรับพระและสามเณรอยู่ใกล้ๆ ซึ่งจะสูงกว่าที่นั่งของโยมและแม่ชีครับ) ปรากฏว่า ไม่มีใครกล้าบอกว่าให้ผมนั่งตรงไหน ในที่สุด แม่ชีก็เชิญให้นั่งที่ที่พระและสามเณรนั่งกัน (โอเค แม่ชีคนนี้ ไม่หลงตัวเองมากไป คุยกันได้) ผมเลยได้สนทนาธรรมกับแม่ชี แม่ชีเล่าว่าปฏิบัติมามากเลย หลายที่ หลายครูบาอาจารย์ แล้วได้นำเอาหนังสือบันทึกการปฏิบัติมาให้ผมดูด้วย หลังจากสนทนาแล้ว ผมจึงบอกแม่ชีว่า "แม่ชีโปรดสัตว์ได้แล้ว" แม่ชีว่า ยังไม่รู้ว่าตัวเองปฏิบัติได้ ไหม ผ่านหรือไม่? ผมเห็นว่าแม่ชีห่มขาวอยู่ ไม่อาจบวชพระได้ ธรรมที่มีพอควรแก่ตน จึงไม่ได้ให้ธรรมมากเกินไปกว่านั้น บอกเพียงว่าแม่ชีโปรดสัตว์ได้แล้ว ทำกิจได้แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการปฏิบัตินั่นเอง


ในบันทึกของแม่ชีรูปนั้น เขียนกล่าวถึง การเข้าฌานตามลำดับฌาน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าแม่ชีนับอย่างไร ได้เป็นร้อยๆ เลยมังครับ (ถ้าจำไม่ผิด) เข้าและออกฌาน จากฌานหนึ่งไปฌานหนึ่ง ทั้งอนุโลม ปฏิโลม ได้หมด มีความชำนาญมาก เรียกว่า มีวสี ที่มากกว่าใครๆ ที่เราเคยเห็นทีเดียว เพราะปกติ เวลาผมเข้าฌาน ผมไม่ค่อยนับว่าไปถึงไหน ออกไหน ผมจะปล่อยตามธรรมชาติ ไม่ได้จำสภาวะว่า "สภาวะนี้ ถึงฌานที่เท่าไรแล้ว" อะไรแบบนั้น มันก็จะดำเนินไปเอง ลึกลงไปเองเรื่อยๆ (จนผมคิดว่ามีมากกว่า ๑๖ ชั้นครับ) ของแม่ชีเข้าฌาน ๔ (รูปฌาน) ต่อด้วย ฌาน ๘ (อรูปฌาน) ไปแล้วกลับหลายรอบ แต่จะไม่มีเกินกว่านี้ ตรงตามตำราว่าไปตามนั้น แต่ผมคิดว่ามันอาจจะมีทะลุเกินตำราอยู่ ฌานที่เข้าลึกเกินกว่าที่บันทึกไว้ในตำรา คือ มันลึกลงไป ลึกลงไป เรื่อยๆๆ ดิ่งลงไปเองเรื่อยๆ อะไรแบบนั้น จนไม่รู้จะนับชั้น นับลำดับฌานกันอย่างไร ทว่า เอาแค่ ฌาน ๘ นี่ก็พอควรแล้วครับ เลยไม่ได้แนะนำอะไรแม่ชีมาก เพราะแม่ชีก็มีธรรมในตน พอควรแก่ตนแล้ว แม่ชีก็ได้แนะนำผมบ้างเล็กน้อย โดยให้ตำราบันทึกการเดินฌานแก่ผมไว้ด้วย



READMORE
 

พุทธปาฏิหาริย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยเริ่มต้นเมื่อครั้งที่ผมบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หู อยู่ด้วย เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ผ่านการปฏิบัติธรรมและเรื่องราวลึกลับหลายอย่างมา ไม่น้อยแล้ว วันหนึ่ง ขณะที่กำลังจะไปบิณฑบาตรและกำลังรอพระรูปอื่นอยู่นั้น เป็นเวลานานพอควรพระอาทิตย์ จึงกำลังขึ้นมาพอดี ทว่า ด้านตรงข้ามของวัดเป็นแม่น้ำ และปรากฏมี "ดวงกลมๆ" ใหญ่กว่าดวงจันทร์ สีขาวเปล่งปลั่ง ไม่มีรอยมลทินใดๆ แม้แต่รูปกระต่าย ดูแล้วไม่น่าจะเป็นพระจันทร์ แต่คล้ายพระจันทร์มาก กำลังจะตกลงในทิศตะวันตก ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ผมเห็นคนแรกจึงเรียกสามเณรไปดูว่านี่คืออะไร? พอดีมีชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่ผมรู้จักขี่จักรยานผ่านมาพอดี เขาก็เข้าไปดูด้วย พร้อมๆ กัน เมื่อสามเณรดูแล้วยังไม่รู้ เลยให้ลองถอดกายทิพย์ไปถามพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ ท่านก็บอกว่า "เป็นปริศนาธรรมของพระพุทธเจ้าสมณโคดม" ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นเป็นปริศนาธรรมแต่แล้วผมก็ยังตีปริศนานั้นไม่ออก เพียงแต่สงสัยว่า เหมือนท่านให้เลือกระหว่างทางโลกกับทางธรรมอย่างนั้นหรือเปล่า? (พระอาทิตย์ หมายถึง ทางโลก, พระจันทร์หมายถึง ทางธรรม) เพราะมีครั้งหนึ่ง หลวงพ่อโต พรหมรังสี (อาจารย์บนสวรรค์) ท่านเคยล้อผมเหมือนกันประมาณว่า "ถ้าแบ่งร่างเ็ป็นสองคนได้ คงดีเนอะ" อะไรแบบนั้น ผมคิดว่าท่านไม่ไ่ด้พูดจริงจัง แต่พูดสะท้อนความต้องการของเราออกมา เหมือนเป็นกระจกส่องให้ผมดูตัวเองประมาณนั้นมากกว่า ทว่่า ผมก็ยังไม่แน่ใจ และยังไม่มั่นใจอยู่ดี ตกลงมันยังไงกันแน่? จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมและสามเณรก็แยกย้ายกัน คือ ผมบวชพระต่อ ส่วนสามเณรก็สึกไปเรียนรู้เรื่องราวทางโลก (เพราะเขาอายุยังน้อยครับ การไปเรียนรู้เรื่องราวทางโลก เหมาะสมกับวัยของเขามากกว่าที่จะบวชยาวต่อไป) เราจึงแยกไปคนละทาง ผมไปทางธรรม แต่สามเณรคู่หูไปทางโลก ทว่า ภายหลัง ผมก็สึกเหมือนกันครับ


บางครั้ง ผมรู้สึกว่ามีพลังสองอย่างมาดึงผมไป ทางใดทางหนึ่ง มันเป็นพลังจาก "คู่บารมี" ที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในอดีต คนหนึ่งอยู่ทางโลกเป็นผู้หญิง, คนหนึ่งอยู่ทางธรรมเป็นผู้ชาย (คู่บารมีเป็นผู้ชายได้ครับ เพราะเราปฏิบัติธรรม จึงไม่จำเป็นต้องเป็นสามีภรรยากัน เป็นสหายธรรมกันก็ได้ครับ) ผมอาจจะมีความชอบทางใดทางหนึ่งอยู่ แต่ก็ละทิ้งอีกทางหนึ่งไม่ได้ (ไม่ใช่จะชอบเชิงชู้สาวนะครับ หมายถึงชอบทางโลกทางธรรมทั้งคู่) แต่ผมก็ยังปล่อยให้ "ธรรมชาติจัดสรร" ต่อไป ผมยังไม่ได้ทำกรรมเืพื่อให้ตนได้ไปสู่ทางใดทางหนึ่ง หรือเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับคนหนึ่งคนใดเลย และผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรมันคืออะไร? แม้แต่ปริศนาธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพุทธปาฏิหาริย์ให้ผมเห็นจะๆ กับตา ผมเองก็ยังตีไม่ออกเลย



READMORE
 

มารสุรา-อสูรราหู

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ กล่าวคือ ผมอยู่กับพ่อและแม่ในบ้านเดียวกัน พ่อแม่ทำงานทางด้านการเกษตร แต่จะจ้างคนอื่นมาทำงานบ้างเป็นบางครั้ง และแล้ว พ่อและแม่ของผม ก็โดนแบบทดสอบที่ไม่ธรรมดาเข้าให้ กล่าวคือ เริ่มจากแม่มักจะมีอาการแปลกๆ ที่ผมสังเกตุได้ว่าไม่ปกติเหมือนเดิม เ่ช่น แม่หลงๆ ลืมๆ เหมือนคนสติสตังไม่สมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ปกติ แม่ไม่ใช่คนแบบนี้ ซึ่งบางครั้งผมก็เป็น ผมก็โดน ก็มีอาการแบบแม่เหมือนกันครับ มันไม่ใช่ภาวะปกติ เรียกว่า โง่จนเหลือเกินคนานับ ผิดปกติมนุษย์ไปเลย เช่น พืชผลที่แม่ปลูกไว้เหี่ยวลง เพราะแม่ให้น้ำแล้วฝนตกซ้ำลงมาปรากฏว่าแม่คิดจะเอา "นมไปรด" ครับ  ผมถามแม่ว่า "แม่ซื้อนมมาทำไม" แม่ว่า "ซื้อไปรดพืชผล จะได้หายเหี่ยว" ผมถามว่าไปเอามาจากไหน? ใครเขาทำกัน? แม่ว่า "เขาทำกันทั้งนั้น แล้วหายเลย" (โอ? งมงายสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น) แล้วแม่ก็เอานมไว้ในตู้เย็น ผมเลยเอาไปถวายเทพกุมารแล้วลามากินเฉยเลย ไม่สนใจแม่แล้วพืชผลซึ่งเหี่ยวอยู่ก็หายได้เอง ไม่ตายครับ ต่อมา แม่ก็จ้างคนมาช่วยงาน วันแรก จ้าง ๑ คน ได้งาน ๑ ส่วนเต็ม วันที่สองจ้าง ๒ คน ก็ได้งาน ๑ ส่วนเต็ม ต่อมา จ้าง ๓ คน ก็ได้งาน ๑ ส่วนเต็ม ผมเลิกช่วยแม่ทำงานเลยละ แล้วไม่อยากคุยกับแม่อีก เรียกว่า ผมสไตท์หยุดงานไปเลย วันที่สี่ แม่ก็เอาอีก จ้างพวกเดิมมา ทีนี้มันมากัน ๔ คนได้งาน ๑ ส่วนเต็มเหมือนเดิม ผมคุยกับแม่เลย ปีที่แล้ว แม่ไม่จ้าง ผมช่วยแม่ แม่มีเงินเหลือเก็บ ปีนี้ ถ้าแม่ทำแบบนี้ ผมจะไม่ช่วยอีกแล้ว เด็ดขาดไปเลย สุดท้าย แม่ยอมไม่จ้างพวกนั้นมาแล้วครับ


ที่เห็นทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ตาเนื้อเห็นครับ แต่ในมิติทิพย์มันมี "ตัวบงการ ๒ ตัว" ที่เรามองไม่เห็นอยู่ ได้แก่ อสูรราหู จะมีฤทธิ์ครอบงำให้เรามืดบอด หลงๆ ลืมๆ โง่เง่า ประมาท ขาดความระวัง และอสูรราหูมันชอบขโมยครับ วันแรกมันครอบงำเพื่อนบ้านให้ขโมยแมวผมไปซ่อน ผมดันเห็นแมวผมโผล่หน้าผ่านช่องรอยแตกของบ้าน เอาแมวคืนมาได้ครับ วันที่สองมันครอบงำเด็กที่ทำงานในบ้าน ผมเอากระเป๋าเงินไว้บนตู้เย็น เงินผมหายไปครับ ผมไม่เอาเรื่องแต่บอกแม่ไว้ให้รู้ตัวว่า "บางคน ไว้ใจไม่ได้ครับ" วันต่อมา ผมเอาน้ำมะพร้าวแช่เย็น กินไปบางส่วนที่เหลือถูกขโมยกินครับ (โอ้ว แม่เจ้า! อสูรราหูชอบขโมยน้ำอำมฤทธิ์) ผมโดนเล่นงาน ๓ วันติดกัน ฝีมือผีอสูรราหู ผ่านร่างเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ไม่เท่านั้น พ่อไปงานศพมา ซึ่งญาติคนนี้ตายลงเพราะกินเหล้ามาก ไปได้ผีมารสุราติดมา พ่อต้องกลายเป็นทาสของเพื่อนกินเหล้า คือ มีเพื่อนพ่อคนหนึ่ง ชอบเอาเหล้ามากินปรนเปรอพ่อให้มีความสุขด้วยคำพูดเอาอกเอาใจ แต่มาถลุงเอาเงินพ่อครับ เพราะคนนี้เองที่เอาลูกจ้างมา ๔ คนแล้วทำงานได้ไม่ต่างจาก ๑ คนเลย เป็นอันว่า แม่ผมก็โดนอสูรราหูครอบงำ ส่วนพ่อผมก็โดนมารสุราครอบงำ ผมต้องเจอ ๒ ตัวนี้ ทั้งมารและอสูร เล่นงานกับพ่อและแม่พร้อมกัน สิ่งที่ผมต่อสู้นี้ มันไม่ใช่มนุษย์ครับ เพราะผมเจอมากับตัว รู้ชัดเจน แทบจะรู้เลยว่ามันเคลื่อนย้ายไปร่างไหน ต่อร่างไหน แล้วก่อเรื่องไหนต่อบ้าง แม้ผมไม่มีตาทิพย์มองเห็น แต่มันไม่ต่างกับมองเห็นเลยครับ มันมีจริงเสียยิ่งกว่าจริง มันเล่นงานผม แกล้งผม ถึงขนาดที่ว่าก่อนผมจะหยิบอะไร มันขโมยไปก่อนหมดเลย ทั้งๆ ที่ของเหล่านั้น ปกติ ไม่เคยหาย ไม่เคยเอาออกไปวางไว้ที่อื่นเลยครับ!



READMORE
 

พระเลี้ยงไก่เถื่อน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้ง ที่ผมบวชเป็นพระ แล้วได้ไปเยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ ทั้งสถานธรรมและวัด วันหนึ่งมีโยมฆราวาสผู้ชายคนหนึ่ง อาสาพาผมไปวัดๆ หนึ่ง วัดนี้เป็นวัดชนบทห่างไกลความเจริญ ไม่ได้มีอะไร โดดเด่น ไม่ได้มีคุณค่าทางวัตถุ หรือมีถาวรวัตถุที่มีค่าใดๆ เป็นวัดของชาวบ้านเล็กๆ เท่านั้นเอง เมื่อก่อน มีพระหนุ่มจากแดนไกลมาอยู่กับเจ้าอาวาสท่านนี้ แล้วพระหนุ่มนั้นชอบไสยเวทย์มนต์ดำ จึงอยู่กับท่านเจ้าอาวาสไม่ได้เพราะเจ้าอาวาสไม่ชอบอย่างนั้น วัดนี้มีเหลือเจ้าอาวาสอยู่รูปเดียว ท่านชอบเลี้ยงไก่ป่า เพื่อการอนุรักษ์ เหมือนพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน เพราะท่านเลี้ยงไก่ป่าได้จริงๆ ด้วยด้านหลังวัดนั้นเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ไม่มีป่าไม้มากนัก เป็นเพียงป่ารก ไม่สวยงามเท่าไร แต่มีไก่ป่าอยู่บริเวณนั้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จะได้ยินเสียงไก่ป่าแ่ต่มองไม่เห็นตัวไก่เลยสักตัว ถ้าเดินเข้าไปใกล้มาก ไก่ก็จะหายไป พร้อมทั้งไม่มีเสียงให้ได้ยินอีกด้วย ผมเลยสงสัยว่าท่านเจ้าอาวาสเลี้ยงไก่ป่านั้นได้อย่างไร? เพราะไก่ป่ามันเป็นสัตว์ป่า ไม่ใช่ไก่บ้าน ซึ่งไม่มีความเชื่องมาก่อน ไม่แน่ว่าท่านจะเข้าใจถึงธรรมชาติของสัตว์ป่า ทั้งยังปรับตัวเข้ากับธรรมชาติของสัตว์ป่านั้นได้ดีอีกด้วย ผมเข้าไปสนทนากับท่าน ท่านก็จัดเตรียมอุปกรณ์ที่นอนต่างๆ ให้ แต่เนื่องจากผมยังต้องจำพรรษาที่บ้าน (ซึ่งได้ยกขึ้นเป็นสถานธรรมแล้ว) ให้ครบทั้ง ๓ พรรษา เป็นไปตามความตั้งใจของผมเองที่จะทำให้แก่บ้านของผม ตระกูลของผม ผมจึงบอกท่านว่าผมไม่อาจพักได้ เพราะยังไม่ได้บอกแก่โยมแม่ว่าจะมาพักที่นี่ จำต้องกลับไปพักที่บ้านดังเดิม เรื่องราวของเจ้าอาวาสท่านนี้ กับพระหนุ่มจอมไสยศาสตร์ ยังไม่จบลงโดยง่าย เมื่อพระหนุ่มโกรธแค้นเจ้าอาวาสที่ขับไล่ตนออกจากวัด พระหนุ่มก็ทำทีหว่านล้อมทั้งโยมฆราวาสคนที่พาผมไปนั้น, อาจารย์ของผม และตัวผมด้วย ทั้งสองคนตกเป็นพวกของพระหนุ่ม และมองว่าเจ้าอาวาสเป็นคนไม่ดีไปเลย มีแต่ผมคนเดียวที่ไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่พูดอะไรมากไม่ได้ จำต้องปล่อยให้พลังครอบงำลดกำลังลงก่อน จึงจะคุยกันรู้ได้


พระหนุ่มนั้นจึงใช้วิธีแบบของตน สร้างวัดแข่งกับเจ้าอาวาสขึ้นมา แล้วก็ดึงให้ผมไปจำพรรษาอยู่ด้วยแต่ผมรู้ว่าพระหนุ่มรูปนี้มีพลังดำมาก แทรกเข้ามาในตัวผมบ่อยๆ ผมจึงไม่อยู่ด้วย ต่อมาภายหลัง ท่านก็ได้ลูกน้องและบริวารมากขึ้น ดังที่ใจอยากจะได้ เป็นพระที่ยังไม่รู้อะไรมาก ไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร ก็เข้ามาติดสอยห้อยตามด้วยเห็นว่าท่านสร้างวัด เป็นบุญ เป็นของดี เห็นเท่านั้น คิดเท่านั้น ไม่มองให้ละเอียดรอบด้านก็รวมหัวกันต่อไป ฝ่ายเจ้าอาวาส ท่านมีบุญ มีคนเห็นคุณงามความดีท่านที่เลี้ยงไก่ป่า อนุรักษ์ไก่ป่ากระมัง จึงมีโยมบางคน เอาเงินมาทำบุญแล้วช่วยให้ท่านพัฒนาวัด จากวัดที่ไม่มีอะไรเลย ก็เริ่มมีห้องน้ำที่มีมาตรฐานมากขึ้น โดยเจ้าอาวาสเป็นผู้ทำเองด้วย (สองรูปนี้ สร้างบารมีแข่งกันหรืออย่างไร? แล้วเกี่ยวอะไรกับผมด้วยเล่า?) โดยส่วนตัวผมจึงนับถืิอเจ้าอาวาสท่านนี้มากกว่าพระหนุ่มรูปนั้น แต่ด้วยยังไม่ใช่เวลาที่ผมจะอยู่กับท่าน ผมจึงจรจากลาไปก่อน หากมีบุญวาสนาผมได้บวชพระอีกครั้ง ผมก็อาจเลือกที่จะจำอยู่ที่นั่นก็ได้ เพราะมันไม่มีอะไรพิเศษเลย เป็นที่เงียบๆ และห่างไกลตาคน ธรรมดามากๆ หากจะเอาสงบหรือเลือกเป็นที่พักสุดท้ายก่อนตาย ก็นับว่าใช้ได้เหมือนกัน


  
READMORE
 

พระทำเสน่ห์ฯ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นพระอยู่ แล้วมีฆราวาสท่านหนึ่ง มีปัญหาภายในครอบครัว เนื่องจากมีบุคคลที่สามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฝ่ายสามี คนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวนี้เป็นผู้หญิงที่มีทั้งเล่ห์เหลี่ยมและยังใช้พระทำคุณไสย์อีกด้วย ส่วนพระที่ทำคุณไสย์ให้ ก็เป็นพระที่ต้องการลาภสักการะ เพื่อใช้ในการสร้างวัดของตน ไม่สนใจคำทัดทานของผู้ใด เมื่อก่อนพระรูปนี้ มาจากถิ่นอื่นแล้วไปจำวัดที่วัดในท้องถิ่นนั้นๆ แต่ท่านเจ้าอาวาสซึ่งมีอยู่รูปเดียว ไม่เห็นด้วยที่ท่านชอบเล่นไสย์ดำ จึงอยู่ักันไม่ได้ แล้วท่านก็แยกตัวออกไป สร้างวัดของตัวเองตามประสาของพระที่มีอายุน้อยกว่าและไฟแรงกระมังครับ หลังจาก เจ้าอาวาสได้พูดคุยกับพระรูปนี้แล้ว ท่านก็ยังไม่ลดละ ไม่เลิก ไม่เชื่อฟัง ยังคงดื้อดึงทำอยู่ต่อไป ต่อมา อาจารย์ของผมได้เดินทางมาเยี่ยม และได้ไปพักกับพระรูปนี้ด้วย แล้วได้สนทนากันจนสนิทสนม ทำให้อาจารย์ของผม มองว่าเจ้าอาวาสคนนั้นเป็นคนไม่ดีไป (เจ้าอาวาสท่านนี้ สามารถเลี้ยงไก่ป่าเพื่ออนุรักษ์ได้ ผมเคยไปดู ไม่เห็นตัวไก่ป่าเลยสักตัว พอได้ยินเสียงก็หายเข้าป่าไปหมดเลย ไม่รู้ท่านเลี้ยงไก่ป่าให้เชื่องได้อย่างไร ทำให้นึกถึงฉายา "สุก ไก่เถื่อน" จริงๆ) ผมเคยไปพบพระรูปนั้น แล้วต้องนั่งข้างๆ กัน รู้สึุกได้ถึงพลังดำที่แผ่เข้ามาครอบงำไปครึ่งตัว ทำให้ภายในผมอึดอัดและรู้สึกไม่ดี ไปครึ่งหนึ่ง (ครึ่งที่ใกล้กับท่่านนั้น) แต่อีกครึ่งหนึ่งยังไม่เป็นไร แสดงว่าพลังดำในตัวท่านนี้ มีเยอะมากจริงๆ เพราะไม่เพียงเท่านั้น เรายังสงสัยว่าท่านคือผู้ที่ทำคุณไสย์ให้ผู้หญิงคนหนึ่ง อันส่งผลให้ครอบครัวหนึ่งต้องร้าวฉานกัน เป็นคุณไสย์แบบเสน่ห์ยาแฝด หัวหน้าครอบครัวก็ไม่อยากให้แตกแยก แต่อยากให้อยู่กันได้ทั้งสองบ้าน แต่ฝ่ายภรรยาไม่ยอมให้สามีมีสองบ้าน ให้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นเสีย เรื่องวุ่นวายอยู่นานพอดู ทั้งเรื่องไสย์ดำและเรื่องการใช้เล่ห์เหลี่ยม จนในที่สุด ก็จบลงได้ เพราะครอบครัวเดิม มีครบทุกอย่างแล้ว หัวหน้าครอบครัวคงไม่อยากจะเสียสิ่งที่มีอยู่แล้ว เพื่อไปเริ่มต้นใหม่ อีกทั้งลูกก็โตมากจนแต่งงานได้แล้วด้วย


สรุปแล้ว เรื่องพระทำเสน่ห์นี้ จึงทำเอาครอบครัวของโยมฆราวาสปั่นป่วนไปพักใหญ่ทีเดียว กว่าเรื่องจะจบลงได้ ทว่า พระรูปนั้นก็ยังคงไม่สำนึกและยังคงทำต่อไป (แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่สำเร็จก็ตาม) แต่ท่านได้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น คือ ปั้นเทวรูป, ปั้นพระ ฯลฯ เอาเงินเข้าวัด มาสร้างวัดแทน ชาวบ้านไม่รู้อะไรมาก เห็นการสร้างวัด เป็นของดี เป็นบุญ ก็หลงศรัทธากันมากมาย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าท่านผู้นี้ใช้อวิชชานอกรีต เพื่อแสวงหาลาภสักการะอยู่ แม้จะได้รับการโปรดจากทั้งสี่ท่านแล้วก็ไม่สำนึก (เจ้าอาวาส, อาจารย์ของผม, ตัวผมเอง และโยมฆราวาสผู้นั้น สี่คนช่วยกัน ก็ไม่สำเร็จ) ผมคิดว่าท่านคงตั้งจิตมาสร้างวัดก่อน พอสร้างเสร็จแล้วคงพร้อมจะรับธรรมทีหลัง ตอนนั้นอาจพอคิดได้บ้างกระมัง



READMORE
 

ลามะจอมพิษ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมยังบวชพระอยู่ แล้วได้รู้จักกับโยมสีกาท่านหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีสายธรรมเชื่อมโยงอยู่มาก วันหนึ่ง โยมสีกาจึงเล่าให้ฟังว่าได้เชื่อมต่อสายธรรมไปยัง "พระลามะ" รูปหนึ่ง คาดว่าน่าจะมาจากธิเบตแต่มาทำธุระบางอย่างในประเทศไทยโดยการเืชื่อมโยงสายธรรมผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่ง  ทั้งลูกชายของโยมสีกาซึ่งอยู่ในวัยหนุ่ม ก็อยู่กับพระลามะรูปนี้มานาน ได้รับการสอน ถ่ายทอด อะไรหลายอย่างเช่น การเชิดสิงโต เป็นต้น (ที่ธิเบตจะมีพระลามะร่ายรำใส่หน้ากากเหมือนเทพนักษัตรต่างๆ) ไม่แน่ว่าพระลามะธิเบตรูปนี้ อาจจะสอนอะไรบางอย่างผ่านการเชิดสิงโตบ้างก็เป็นได้ เพียงแต่ผู้ชมนั้นจะสังเกตุเ็ห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ก็เท่านั้น เช่น อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็ให้ลูกชายของโยมสีกาคนนี้ แต่งเป็นพระโพธิสัตว์มัญชุศรี (เป็นพระโพธิสัตว์ที่ขี่สิงห์) ซึ่งผมได้เห็นและได้รู้เรื่องราวของเด็กคนนี้พอมาควร ก็พอสัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้ สืบสายธรรมตรงจากพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ การที่พระลามะธิเบตรูปนั้นทำเ่ช่นนี้ก็เพื่อจะทดสอบดูว่ามีใครในประเทศไทย รู้ถึงเรื่องนี้บ้างซึ่งเด็กชายคนนี้ต้องแสดงเชิดสิงโตให้คนทั่วไปดูด้วย (เป็นอันว่าไม่มีคนไทยคนไหนรู้ทันพระลามะรูปนี้ กระมัง) ทว่า ผมซึ่งบวชเป็นพระไทยอยู่สายเถรวาท ไม่เคยได้พบเห็นหรือพบเจอพระลามะรูปนี้เลย วันหนึ่ง จึงได้ปะลองกันผ่านสีกาท่านนี้


กล่าวคือ เมื่อโยมสีกาเล่าเรื่องมาเท่านี้ ผมก็พอทราบได้ว่าพระลามะธิเบตได้ธรรมอะไรบ้าง โดยเริ่มจากวันหนึ่ง โยมสีกาได้รับ "ยาดองเหล้า" ซึ่งดองสัตว์พิษแปดชนิด (ถ้าจำผิดต้องขออภัย) ไว้รวมกัน ท่านว่าเมื่อโยมสีกาดื่มแล้วจะกลายเป็นพิษชนิดที่เก้า เพราะหลังจากท่านได้จับดูชีพจรบางอย่างก็เห็นว่าภายในของโยมสีกามีปัญหาจึงใช้ยาดองเหล้ารักษา เมื่อโยมสีกานำมาเล่าเช่นนั้นผมจึงแนะโยมสีกาให้ตอบคืนพระลามะด้วยสิ่งของบางอย่าง ให้กันไปกันมา หลายครั้ง เพื่อทดสอบวิชา "จิตสู่จิต" นั่นเอง หลังจากได้ปะลองแล้ว พอว่า วิชาจิตสู่จิตของลามะธิเบตท่านนี้ไม่ธรรมดา เพราะอ่านจิตได้เร็วมาก ความเร็ว ความชำนาญของผม ยังไม่ทัน ยังสู้เขาไม่ได้ เช่น ลามะธิเบตให้กระจกใสมาอันหนึ่ง ผมบอกให้โยมสีกาใช้ผ้าขาวห่อไว้ แล้วให้คืนกลับไป พอโยมสีกาให้คืนกลับไปแบบนั้นแล้ว พระธิเบตก็ให้ สายเชือกสีทองเล็กๆ มาอีก ผมก็บอกให้โยมสีกาหาสายเชือกสีทองอีกอัน ผูกเข้าแล้วส่งคืนให้ ฯลฯ เป็นอันว่าทั้งโยมสีกาและเด็กหนุ่มคนนั้น ไม่เข้าใจว่า กำลังเล่นอะไรกันอยู่ เพราะการสื่อสารด้วยจิตสู่จิตนั้น ย่อมเข้าใจเฉพาะผมและพระลามะธิเบตนั้นเป็นสำคัญ สุดท้าย เขาจึงเปิดเผยให้เห็นอะไรบางอย่าง ผมจึงเข้าใจว่าเขาอยากจะให้ลูกชายของโยมสีกาคนนั้น สืบทอดบางอย่างจากเขา นั่นเอง (ขอเก็บเป็นข้อมูลลับไม่อาจเปิดเผย) เป็นอันว่าการปะลองของผมกับพระลามะจอมพิษ ก็จบลงด้วยดี ด้วยการเชื่อมสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้น ซึ่งต่อมา พระลามะธิเบต ก็ได้บวชให้โยมสีกาท่านนั้นด้วย เพื่อต่อสายธรรมวัชรยานจากธิเบตภาคฆราวาส



READMORE
 

สามเขยร่วมบนบาน

เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นาน ไม่ใช่เรื่องของผมโดยตรง แต่เป็นเรื่องของพี่ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกของป้าผมเอง ในยามเด็กผมรู้จักกับพี่คนนี้ระดับหนึ่งครับ เพราะตอนเด็กๆ ที่นาผมยังมี อยู่ไม่ไกลกันเท่าไร พ่อแม่ผมก็จะทำไร่ทำนาไป ผมก็จะเล่นอยู่ตามริมคลอง บางทีก็จะได้เห็นปลากระโดดขึ้นมานอนบนดินเฉยๆ โดยที่เราไม่ได้ทำให้เขาขึ้นมาครับ แ่ต่พอจะเข้าไปจับเขาก็กระโดดหนีลงน้ำหมดเลย แปลกดี ผมเคยเจอแบบนี้ แค่ครั้งเดียวเองในชีวิต ทว่า เมื่อผมพอโตขึ้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป เลยห่างเหินกับพี่คนนี้ ต่อกันไม่ิติด แต่แม่ยังไม่ห่างเหินเพราะทำงานเป็นชาวไร่ชาวนาเหมือนกัน เลยรู้เรื่องแล้วเอามาเล่าต่อให้ผมฟังครับ เรื่องมีไม่มาก คือ ปกติผมและคนในชนบทก็มีความเชื่อเรื่อง "ผีสางเทวดา" และการบนบานสานกล่าวอยู่มาก คือ หลายคนเชื่อว่าถ้าบนบานสานกล่าวกับสิ่งศักดิสิทธิ์ อาจจะได้อย่างนั้นจริงๆ และต้องทำตามที่ตนได้บนไว้ ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเกิดสิ่งไม่ดี หรือเรื่องร้ายๆ กับตัวเองก็ได้ ปกติ ก็จะบนบานสานกล่าวโดยใช้หัวหมูบ้าง, ไก่บ้าง, เหล้าบ้าง, ยาสูบบ้าง, ดอกไม้พวงมาลัยบ้าง ฯลฯ ที่บนแปลกๆ ก็มีไม่มากนักครับ อย่างพี่สาวข้างบ้าน ก็บนให้ได้เป็นข้าราชการ ถ้าได้ก็จะแก้บนด้วยการมีลิเกที่วัดครับ แล้วพี่สาวคนนั้นก็ได้จริงๆ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นผลมาจากอะไร? แต่เมื่อบนไปแล้วก็ต้องทำตามที่บนไว้ครับ คือ จ้างลิเกมาเล่นในงานวัดครับ ส่วนตัวผมเอง ไม่ค่อยบนอะไรนัก และถ้าบนก็ไม่ค่อยได้อย่างนั้น เลยไม่ชอบบนครับ


ทว่า การบนบานของพี่ชายคนนี้แปลกและไม่เหมือนชาวบ้านเขา กล่าวคือ พี่เขาร่วมกับพี่ชายอีกสองคน ซึ่งเป็นเขยของญาติๆ กันเอง เืพื่อทำนาร่วมกัน ให้ได้ผลมากๆ ครับ และเพื่อให้ได้ผลมากๆ วันหนึ่ง หลังจากกินเหล้าเมาแล้ว ทั้งสามเขยก็นึกสนุกหรืออะไรขึ้นมาไม่ทราบ เลยไปบนบานกลางทุ่งกลางท่าว่า ขอให้ข้าวในนาได้ผลมากๆ ดังใจหมาย (เท่าไรจำไม่ได้ครับ) พวกเขาก็จะแก้บนด้วยการแก้ผ้ากลางทุ่งนาครับ แล้วไม่นานเกินรอ ผลผลิตออกมาดี เขาก็เลยต้องทำตามที่ได้บนบานไว้ ทั้งสามเขยก็เลยต้องไปแก้ผ้าแก้บนกลางทุ่งนากันครับ ทั้งสามคนก็ปลอดภัยดี ไม่มีปัญหาอะไรครับ เพราะอาจได้ทำตามที่บนแล้ว นั่นเอง ซึ่งก็ถือว่ายังดีครับ ที่ไม่ไ่ด้บนบานอะไรที่ยากเกินไป ดีกว่าบนเอาจมูกไปแลกปลา จริงไหมครับ? สุดท้ายนี้ ผมขอไม่สรุปนะครับว่าการบนบานสานกล่่าวนั้น ได้ผลจริงหรือไม่? มีจริงหรือไม่? ถูกผิดเพียงใด? เพราะเป็นความเชื่อ เป็นค่านิยมของชาวบ้านเขาครับ ส่วนตัวผมแล้ว เฉยๆ เพราะบนไม่สำเร็จครับ



READMORE