หลวงปู่เทพโลกอุดรมาโปรด

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูอยู่ด้วย ช่วงนั้น เราบำเพ็ญธรรมยิ่งยวด จนมีครูบาอาจารย์หลายท่านในทาง "มิติทิพย์" ที่เข้ามา่ช่วยเรามากมาย หนึ่งในนั้นที่มาโปรดเราก็คือ หลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งท่านมาด้วยกายทิพย์ไม่ใช่กายเนื้อ ในคราวนั้นผมและสามเณรคู่หูกำลังบำเพ็ญอิทธิฤทธิ์ คือ การฝึก "พันกร" อยู่ ซึ่งการฝึกนี้ก็เป็นไปตามแบบที่ผมได้รับมาจากอาจารย์ที่มีสังขารอยู่บนโลกแต่ว่าท่านไม่ได้บอกโดยตรง ท่านปล่อยให้เรียนรู้และค้นหาเอง แล้วผมก็ได้ในแบบของตัวเอง คือ หลังจากที่มีพลังปราณมากพอระดับหนึ่ง เราจะฝึกมือให้เหมือนมีหลายๆ มือ เช่น ผมชวนให้สามเณรล้างถ้วยชามที่พระทั้งหลายฉันแล้ว ไม่มีใครล้าง ให้มาช่วยกันล้าง และทำให้คล่องแคล่วรวดเร็ว แรกๆ สามเณรรู้สึกไม่ยุติธรรม เหมือนโดนหลอก โดนแกล้ง หรือต้องทำล้างถ้วยชามเองอยู่ตลอด อะไรแบบนั้น ผมก็บอกเขาว่ามันคือเคล็ดลับของการบำเพ็ญ "พันกร" แล้วเดี๋ยวเข้ากุฏิจะบอกให้มากกว่านี้ ว่าแล้ว เราก็เข้ากุฏิ ผมก็แนะนำการฝึกพันกรโดยการรำพันมือ เหมือนหนังจีนกำัลังภายในหน่อยๆ แต่มันไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้นนะ มันเป็นการเพิ่มพูนอิทธิืฤทธิ์ให้ได้ถึงพันกร ก็เท่านั้นเอง และแล้ว ระหว่างที่ฝึกกันนั้น ผมก็ให้เขาทำสมาธิเปิดตาทิพย์ดูไปด้วยว่า "กรเพิ่มขึ้นเท่าไร?" เขาก็บอกเป็นระยะๆ เริ่มจากค่อยๆ เพิ่มจากสิบ, เป็นร้อย ฯลฯ


และแล้ว "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ก็มาเยี่ยมเรา ท่านโยนหินถามทางก่อนว่า "สามเณรรำไม่เหมาะนะ เพราะถ้ามีคนมาเห็นเขา อาจจะกลายเป็นเรื่องได้" โอเค ผมก็เลยบอกให้สามเณรคู่หูปิดประตูกุฏิก่อน (ตอนนั้น ลืมปิดประตูกุฏิ) แล้วเราก็ฝึกกันต่อ ผมก็นึกในใจว่า "ดูท่า ท่านจะหยั่งเชิงดูก่อนว่าเราจะเอาทางไหน ถ้าเราจะบำเพ็ญบารมีต่อไป เราก็จะเอาพันกรแน่ แต่ถ้าเราจะเอานิพพานเลยตรงนี้ ก็คงไม่เอาพันกร" แล้วก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะผมเลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญบารมี แน่วแน่แล้ว ท่านหยั่งเชิงเท่านั้น ท่านก็จากไป (ใช่แล้วเป็นวิสัยปกติของพระอรหันตสาวกจริงๆ ที่จะไม่ยุ่งเรื่องของพระโพธิสัตว์) ภายหลังท่านได้สื่อให้เราทราบด้วยถึงการดำรงอยู่ของสายธรรมของท่าน ซึ่งท่านได้กล่าวว่าสิ้นสุดลงแล้ว (ทางสังขาร) และท่านได้กล่าวถึงอายุขัยของท่านด้วย (อายุขัยเยอะมากๆ ผมจดไว้แล้วดันสมุดเล่มที่จด หายไปเฉยเลย?) ผมคิดว่าท่านคงเป็นสายธรรมแท้ที่ไม่อยู่ในลัทธิ, นิกาย, ศาสนา, องค์กร ฯลฯ อะไร คือ อิสระจริงๆ เป็นดังเช่นดั้งเดิมแท้จริงๆ และคงโปรดสัตว์อยู่แถบสุวรรณภูมินี้ (ไทย, ลาว, พม่า, กัมพูชา เป็นต้น) แต่ก็ไม่ทราบว่า "สายอื่นๆ" ที่สืบๆ กันมา ยังพอมีอยู่หรือไม่? เพราะมีบางท่านกล่าวถึง "พระมหากัสสปะ" ที่ยังไม่ละสังขาร ยังคงชีพอยู่ แต่ไม่ได้ออกจากฌาน ไม่ได้ทำกิจด้วยสังขารใดๆ อีกประการ พระมหากัสสปะก็ได้ทำ "นิกายเซน" ขึ้นมา ทำสิ่งที่ไม่มีในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมขึ้นมา เช่น การสังคายนาพระไตรปิฎก ผมก็เลยไม่รู้จะสรุปเรื่องสายธรรมอย่างไร? เอาเป็นว่าพระอรหันต์ที่ยังคงชีพอยู่ คงมี แต่ถ้าจะหาท่านที่ไม่แตกแยก แตกกอ แตกหนอ แตกสาย ออกไปเป็นนิกายเซนอะไร ท่าทางคงหมดสิ้นแล้วกระมังครับ!



 

ผจญนักพลังจิตสังหารชาวต่างชาติ

เรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรอยู่ และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยด้วย ในช่วงหลังจากที่เราได้จัดการอสูรมหิงสาไปแล้ว จากนั้น มังกรดำเกิดอาการควบคุมตัวเองไม่ไ่ด้ เลยอารวาดแล้วกลายเป็นถูกลงลงทัณฑ์ไป เราพักได้ไม่นาน ก็ได้มีกระแสพลังจิตที่น่าจะเข้าข่าย "จิตสังหาร" มาไกลจากต่างประเทศ แต่ขอไม่บอกชื่อประเทศนะครับ เป็นประเทศที่สนใจเรื่องพลังจิตอย่่างจริงจังเสียด้วยสิ เราไม่ได้รู้จักเขาในมิติของสังขาร และเขาเองก็คงเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เรารู้จักกันใน "มิติทิพย์" ครับ อย่างที่ผมเคยเล่าแล้วว่าสังขารอาจไม่รู้เรื่องอะไร เพราะขีดจำกัดของสังขารรู้ได้เท่านั้น ตราบเท่าที่เราไม่ได้สื่อสารในระดับสังขารให้เขารู้ สังขารนั้นก็จะไม่มีทางรู้จักเรา ทว่า จิตวิญญาณหาเป็นเช่นนั้นไม่! ในมิติทิพย์ ตัวตนในมิตินี้ก็ึืคือ "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นตัวตนที่รู้ได้มากกว่าสังขาร มีญาณหยั่งรู้เองตามระดับชั้นของเขาเอง และตอนนั้น พวกเขาก็เริ่มรับรู้ถึงวีรกรรมของพวกเขาแล้ว (อสูรมหิงสา อยู่ในตัวผู้นำประเทศๆ หนึ่งและมันส่งผลทำให้เขามีอำนาจลดลง เมื่อเราปราบมันลงได้) พวกเขาก็เริ่มเล่นงานเราเป็นการตอบโต้ ซึ่งนี่ไม่ใช่ประเทศเดียวกับร่างสังขารที่มีอสูรมหิงสาอยู่นะครับ คนละประเทศกัน แต่เขาคงอยากลองงัดข้อกับเราดู เขาก็มาสู้กับเราทางมิติทิพย์ โดยจิตวิญญาณที่มาเล่นงานเรานี้ มาจากผู้นำของประเทศนั้น ในเวลานั้นๆ และการปะลองครั้งแรก เขาสู้เราไม่ได้ (ตัวต่อตัว) เขาก็กลับไป เขาบอกขอหยุดก่อน เพราะถ้าเล่นงานกันไปมามากกว่านั้น จะส่งผลให้จิตวิญญาณนั้นจุติได้ (ตายเฉพาะส่วนจิตวิญญาณ แต่สังขารยังอยู่ จะส่งผลให้สังขารนั้นอ่อนฤทธิ์ หรือสิ้่นอำนาจทางโลกได้) เราก็หยุด เมตตาให้เขา ปล่อยเขาไป แ่ต่แล้วเขาก็กลับมาปะลองกับเราอีก ครั้งนี้ เขามี "ทีมงาน" อีกหลายคนทีเดียว โดยทีมงานพวกนี้ จะคอยส่งพลังจิตให้กับเขา รวมพลังไว้ที่เขาคนเดียว เสริมพลังแบบนั้นแล้ว เขาก็สู้กับเรา (ขออุบไว้ ไม่บอกนะครับว่าเราใช้วิธีไหนสู้กัน เอาเป็นว่าวิชาทางจิตก็แล้วกัน) แล้วพลังของฝ่ายเขาก็อ่อนลงเรื่อยๆ ทุกคน ทั้งทีม จนถึงจุดหนึ่ง เขาเริ่มไม่ไหวแล้ว เขาก็ขอหยุดอีก เพราะเขากำลังจะแพ้แล้ว เขาก็ยอมให้ ไม่คิดจะฆ่าใครนี่ครับ เราอยู่เฉยๆ เขาก็มาเอง เราก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น นับเป็นครั้งที่สอง แล้วเขาก็ลองอีก คราวนี้เป็นครั้งที่สาม ตอนนั้น สามเณรคู่หูบำเพ็ญบารมีได้อาวุธทิพย์ชนิดหนึ่ง เหมือนหอกแต่ปลายหอกไม่เหมือนหอกทั่วไป จะว่าสามงามก็ไม่ใช่ มีปลายแหลมอันเดียวแต่ไม่เรียบเหมือนหอก มีรอยหยักด้วย


ในครั้งที่สาม ก็เลยใช้อาวุธทิพย์นั้นลดทอนอิทธิฤทธิ์เขาลง (ถ้าจำไม่ได้นะครับ ถ้าผมจำผิดต้องขออภัย เรื่องนานมากแล้ว รายละเอียดก็เยอะด้วยครับ) อ้อ ลืมบอกไปครับว่า ในการปะลองครั้งแรกนั้น เขาเอาอาวุธทิพย์มาเยอะมากๆๆ เลย เป็นพันชนิดได้มั้ง (สมกับที่ชีวิตจริง ที่ประเทศนี้ สะสมอาวุธหลากหลายชนิดมาก) ตอนนั้น เขาเสียอาวุธทิพย์ให้เราทั้งหมด (เพราะวิชาลับของเราบางอย่าง) จากนั้น ผมก็ให้สามเณรอธิษฐานรวมอาวุธทิพย์ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาก็ทำสำเร็จ เลยได้เป็น "หอกทิพย์" ที่ไม่เหมือนหอกทั่วไป อันนี้ครับ ใช้ลดทอนพลังบุญ, พลังฤทธิ์ ศัตรูได้เลยทีเดียว แล้วเราก็เลยใช้่หอกนั้นคืนสนองเจ้าของครับ ทีนี้ ครั้งที่สาม เขาก็เลิกเลย ยอมแพ้ ไม่เอาแล้ว เรื่องก็เลยจบลงได้ครับ จบ! ...



 

ขึ้นขันธ์

เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว เมื่อครั้งผมลาออกจากงานใหม่ๆ ช่วงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิตและผมอยู่ต่างจังหวัด จึงยังไม่ได้เล่าอะไรให้แม่ฟัง แต่อาจจะด้วยลางสังหรณ์ของแม่พอจะมีบ้าง ก็คงรับรู้อะไรได้บ้าง แม่ก็ทำเหมือนชาวบ้านทั่วไปคือ ไปหาหมอดู, คนทรง ฯลฯ มาทำนายทายทักชีวิตผม ซึ่งผมไม่ชอบเอามากๆ เพราะอะไร? ๑. ผมเป็นคนยุคใหม่ ยุคไวไฟ (WiFi) ครับ ๒. ผมเรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์แต่มาจบทางบริหารเท่านั้น ๓. ผมไม่ชอบพวกคนทรง ๔. ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตหรือมาบงการชีวิต สรุปตุ๊บตั๊บ แล้วก็คือ ผมไม่ชอบให้คนทรงมายุ่งหรือทำนายอะไรในชีวิตของผม คือ ถ้าเขาทำนายแล้วเราไม่ทำตามก็เป็นเรื่องอีก (อะไรวะ?) ชีวิตข้า อยู่ๆ ให้เอ็งมาชี้นิ้วสั่งให้ไปทำนั่นนี่อะไร ได้ไง? อะไรประมาณนั้น นอกจากนั้น ผมยังชอบไปว่าพวกเขาลับหลังด้วย คือ ไม่อยากมีเรื่องก็ว่าลับหลังว่างมงายอะไรประมาณนั้น และแล้ว สวรรค์ก็ลงทัณฑ์ประมาณว่า "ไอ้ห่้า มึงด่าเขามาก มึงดูถูกเขามาก แต่มึงไม่รู้จริง มึงก็ไปเป็นซะ" คือ แม่ผมไปหาคนทรงซึ่งเป็นอาจารย์เก่าของผมเองสมัยผมเรียนมัธยมและผมก็ชอบอาจารย์ท่านนี้ (ท่านเป็นคนดีเชื่อใจได้ครับ เมื่อก่อนไม่ใช่คนทรง แต่มาเป็นเองภายหลังแบบไม่ได้เจตนา) แล้วคนทรงซึ่งเขาเป็นครูเก่าผม เขาก็บอกแม่ว่าให้ผมไปขึ้นขันธ์เสีย ไม่ได้บอกอะำไรมาก บอกว่าให้ทำเอง เรียนรู้เอง แล้วจะเข้าใจเองแหละ ซึ่งตอนนั้น ผมไม่ได้อยู่แถวบ้าน ก็ไม่สามารถไปหาตำหนักทรงอะไรได้ (คนละจังหวัด ความเชื่อ ความชอบต่างกัน) ผมรู้จักก็แต่ศาลเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมั้ง เขาว่าอย่างนั้น กำลังก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์นักแต่ก็มีพื้นที่เปิดโล่ง ด้านบน เรียกว่าทำพิธีบูชาฟ้าดินได้สบายๆ ผมก็เลยไปทำพิธีเสียให้มันจบๆ ไป จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับผมอีก ทำให้แม่สบายใจ เพราะคุยกับแม่แล้วรับปากแม่ไป ก็ต้องทำครับ จะปฏิเสธ แม่ก็จะเสียใจอีก


แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมแบบคนทรงทั่วไป ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยเข้าทรงอะไรทั้งนั้น แต่พอสังเกตุได้ว่าบางทีถ้าเราจิตอ่อน สติอ่อนกำลัง มันมีอาการคล้ายๆ คนทรงได้เช่นกัน คือ เหมือนจะอาเจียนทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรออกมา หรือหาว, เรอ ฯลฯ หรือบางครั้งเหมือนจะวูบแล้วเป๋ ทรงตัวไม่ไหว แต่พอรู้ตัว มีสติก็กลับมาปกติได้ตลอด เรียกว่า ถ้าผมกำลังถูกคุม ก็คงไม่ใช่ของง่ายนะครับ อีกประการผมไม่ไ่ด้ไปรับขันธ์จากตำหนักไหนของใครเขามา ผมแค่เอาเครื่องบูชาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม (พิธีขึ้นขันธ์ตามแบบผมเอง) ก็เท่านั้น ทำให้มันจบไปเพราะรับปากแม่มาแล้ว ส่วนเรื่องจะทำอย่างไรเป็นเรื่องของเรา ผมเลยไม่ไปหาตำหนักทรง, คนทรงคนไหนทั้งนั้น ทำๆ ให้จบไป ก็เป็นแบบนี้ จะว่าไปแล้วผมอาจคล้ายๆ "พวกม้าทรง" มากกว่า คือ ไม่ได้เข้าทรงแบบนั้น แต่ต้องทำกิจเหมือนกัน เป็นกิจที่ไม่ใช่การทำมาหาอาชีพทั่วไป ตามแต่สวรรค์จะว่ากันไป อีกประการบางครั้ง ผมก็เหมือนถูกลงโทษ เช่น ตื่นเช้ามามีรอยกรีดที่ขาสองข้าง เหมือนโดนมีดกรีดเป็นทางยาวๆ แต่ไม่เข้าลึก มีสะเก็ดเลือดออกบางๆ ทั้งๆ ที่เสื้อผ้าผมก็ปกติ ถ้าจะมีอะไรมากรีดถึงผิวหนังผมก็น่าจะมีรอยที่กางเกงบ้าง แต่นี่ก็ไม่มี? เอาเข้าไปสิ? หรืออะไรอีกมากมาย ที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เอาเป็นว่าผมไม่สรุปว่ามันมีจริงไหม, ดีหรือไม่ดี ทั้งนั้น มันเป็นแค่อะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ใครมีบุญมีกรรมแบบนั้นก็ต้องไปเสวยแบบนั้น ก็เท่านั้นเอง ถ้าคุณยังไม่มีกรรมก็ไม่ต้องไปยุ่ง ไม่ต้องไปว่าอะไรเขา (ด่าเขามากระวังจะเข้าตัวเอง เหมือนผมละกัน) ในที่สุด เมื่อผมมีอาการแปลกๆ อยู่ไม่น้อย ผมก็เลยต้องศึกษาเพื่อเอาตัวรอด ผมก็เข้าไปดูบางตำหนักทรงบ้าง เฉพาะที่พอไว้ใจกัน เพราะบางตำหนักไม่ควรเข้าอย่างยิ่ง เข้าไปปั้บ ถ้าไม่ก้มหัวกราบมัน มันจะทำนายให้ร้ายเราทันที นึกออกนะครับ แล้วเรื่องอะไรเราจะแส่ไปเป็นขี้ข้าให้เขาชี้่หน้าทำนายให้ร้ายๆ ใส่ตัวเราละครับ ผมก็ไปบ้างเฉพาะที่พอไว้ใจกันหน่อยเท่านั้นเอง คุยกันในเรื่องบางเรื่องที่คุยกับคนอื่นไม่ได้ เพื่อหาทางออกให้ชีวิตของตน ก็เท่านั้นครับ ไม่ใช่เรื่องนิพพาน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิด หรือเรื่องถูกต้องอะไร "แล้วแต่กรรมใคร มันจะปรุงแต่งให้ต้องไปเสวยอย่างไร ก็เท่านั้นเอง" โอ้ย กรรมของคนบางคน แปลกกว่านี้ ก็มีอีกถมไปครับ จบ!



 

นิมิตหลอน

เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะบวชเณรเสียอีก นับย้อนไปประมาณ ๗ ปีกว่าเห็นจะได้ ตอนนั้นผมยังทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งแล้วผมได้รับความกดดันและความเครียดสูงมาก ผมจึงปฏิบัติธรรมไปด้วยระหว่างที่ยังทำงานอยู่นั่นเอง ผมปฏิบัติ "สติปัฏฐานสี่" โดยยังไม่ได้เข้าฝึกที่ไหน ไม่มีครูสอน แต่เพราะอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ "หลวงพ่อ....." แล้วเกิดความศรัทธามาก ด้วยผมไม่เคยอ่านหนังสือแนวกรรมฐานที่ไหน ที่อธิบายได้ง่ายและเข้าใจได้ง่ายขนาดนี้มาก่อน ผมจึงปฏิบัติอย่างยิ่งยวด คือ ใช้ "สติ" ตามจับความโกรธ เพราะตอนนั้น ผมมีความโกรธมาก และมันมักทำให้งานผมเสีย และผมเห็นแล้วว่าเพราะความโกรธของผมนี่เองที่ทำลายสิ่งดีๆ หลายอย่างที่ผมทำขึ้นมา เวลาสติจับความโกรธได้ทัน ผมก็จะบริกรรมอะไรบางอย่างเพื่อทำให้ความโกรธนั้น ค่อยๆ เบาบางจางหายไป จากที่ใช้เวลานานมากๆ ผมฝึกจนใช้เวลาสั้นลงๆ ทุกวันๆ จนผมเริ่มมั่นใจว่าสติของผมก้าวทันความโกรธได้ไม่น้อยแล้ว ผ่านมาถึงวันนี้ก็ ๗ ปีกว่าแล้ว ผมผ่านอะไรมามาก แต่ใครบางคนมักคิดว่าผมไม่ได้รู้จริง หรือไม่เคยผ่านประสบการณ์จริง แล้วพยายามยกตัวเองเป็นครูสอนผม (ผมมีครูแล้ว และเลือกครูด้วย ไม่ใช่เป็นศิษย์ไม่มีครู หรือเอาใครก็ได้มาเป็นครูครับ) คนพวกนั้นก็จะทำตัวเหมือนเก่งมากแล้วพยายามมาสอนผม อย่างหนึ่งก็ึคือ ชอบมาสอนผมเรื่อง "ติดนิมิต" บ้าง, "เรื่องเข้าทรง" บ้าง ผมขอบอกเลยว่าผมคือคนยุคใหม่ ไม่ชอบการเข้าทรง และไม่ได้หลงอะไรแบบนั้น แต่สวรรค์จัดสรรให้ไปเรียนรู้ ก็เท่านั้นเอง ผมเคยรับขันธ์ แต่ทั้งชีวิตนี้ ผมไม่เคยเข้าทรงอะไรเลยครับ ไม่ได้นิยม และไม่ได้ต่อต้าน เรื่องของเขา กรรมของเขา ความเชื่อของเขาครับ


ผมขออนุญาติเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ "นิมิตหลอน" ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเป็นวิทยาทาน เพื่อให้ทราบว่าผมเคยมีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว กล่าวคือ ในครั้งที่ฝึกอย่างหนักในที่ทำงาน นั่นแหละ เรื่องมันก็เกิดในที่ทำงานนั้นเลย (ผมฝึกสติปัฏฐานตามจับอารมณ์โกรธตลอดเวลา ดังนั้น ขณะทำงานผมก็ทำสติปัฏฐานไปด้วยครับ) กล่าวคือ วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังประชุมและมีท่านอื่นๆ นั่งร่วมอยู่ในวงประชุมนั้นเอง ก็เกิดความรู้สึกเหมือน "ง่วงมากๆ" แทบจะหลับฟุปลงไปเลย ผมพยายามฝืนไม่ให้หลับในที่ประชุมต่อหน้าคนอื่น แล้วผมก็รู้ึสึุกวูบภายในเหมือน "หลับใน" ทว่า่ คุณคิดว่าหลับจริงไหม? ในเมื่อผมยังมีสติรู้และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ กล่าวคือ ผมเห็นภาพเบื้องหน้าผม (พื้นห้อง เพราะผมก้มหน้าลง) มันเหมือนเฟลมแต่ละเฟลมในฟิล์มฉายหนัง มันเหมือนค่อยๆ แสดงให้เราเห็นทีละเฟลม แต่ขอบอกว่ามันละเอียดยิบๆๆๆ ยิ่งกว่าเฟลมในฟิล์มฉายหนังมาก ผมเห็นตั้งแต่ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ก่อตัว แล้วมันก็คล้ายๆ หน้าจอทีวีที่สัญญาณไม่ชัด มันมีจุดดำๆ ด่างๆ รบกวนภาพอยู่ ในใจผมก็คิดว่าเป็น "มด" หรือเปล่า ทันใดนั้น "มันก็กลายเป็นมดฝูงหนึ่ง" ทันทีครับ (ทันทีที่คิดเลย) ต่อมา จุดดำๆ ด่างๆ มันก็ขยายใหญ่ขึ้นอีก (เฟลมต่อๆ มา) ผมก็เลยสงสัยว่ามันเป็น "หนอนหรือเปล่า?" เกิดอะไรขึ้นทราบไหมครับ? มันกลายเป็น "หนอนทันที" อีกเช่นกัน คราวนี้ ผมเหมือนถูกผีมดผีหนอน หลอกเอากลางวันแสกๆ ทั้งๆ ที่ตายังไม่หลับนี่ละ (ไม่ไ่ด้นั่งสมาธิหลับตาแล้วเห็นภาพนิมิตนะครับ และไม่ได้นึดคิดเป็นมโนภาพอะไรทั้งนั้น มันเห็นจะๆ กะตาที่เปิดอยู่นี่แหละ) ผมก็ได้สติ สะดุ้งตื่น เหมือนคนถูกผีหลอกน่ะครับ แล้วภาพมดและหนอนทั้งหมดก็หายไป กลายเป็นพื้นห้องธรรมดา แต่ผมเก็บอาการภายนอกได้ดี ไม่มีใครในที่ประชุมสังเกตุเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมได้ และอีกอย่างหนึ่ง ช่วงที่ผมวูบไปนั้น ผมรู้สึกเหมือนผ่านเวลาเนิ่นนานเป็นพันปีเลยทีเดียว ทว่า ในความเป็นจริง เรายังคุยกันในที่ประชุม "เรื่องเดิมยังไม่จบเลยครับ" !!! นี่แหละ ผมเคยโดนมาแล้ว "นิมิตหลอน นิมิตหลอก" ไม่ใช่ไม่เคย โดน ทั้งๆ ที่ตาเปิดอยู่นี่ละ ไม่ได้หลับตานึกเอา จบ!


    
 

พรจากท้าวมหาพรหมฯ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผมบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยงานในโลกทิพย์ เป็นช่วงเวลาที่ผมยังโปรดเทพกุมารอยู่ แล้วได้มีเทพกุมารตนหนึ่งเป็นกายทิพย์ ๑ ในสังขารของผมด้วย เทพกุมารตนนี้แปลก เพราะสอนยาก ไม่ใช่เพราะดื้อหรือเป็นเด็กไม่ดี แต่มีกรรม ทำให้ฝึกอะไรก็ไม่ก้าวหน้า (เจอกรณีนี้เข้าไป ทำให้เราต้องหาวิธีสอนเด็กที่มีกรรมให้ได้น่ะสิ?) ไม่ว่าจะเป็นสายปัญญาหรือสายอภิญญา ดูท่าจะไม่ขึ้น ไปทางไหนก็ไม่ก้าวหน้าเอาเสียเลย กลายเป็นโจทย์ปัญหาให้ผมกลับมาหาวิธีสอนเทพกุมารตนนี้ และแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า "เหล่าพรหมฤษีทั้งหลาย" ล้วนให้พรแก่เราได้ ถ้าไปเอาอกเอาใจท่านเหล่านั้นก็อาจได้รับพรมาบ้าง ก็ได้ ว่าแล้วเราก็เริ่มจากไปหาดอกไม้ทิพย์เครื่องบูชามาก่อน จึงค่อยหาดูว่าพรหมองค์ไหนที่มีบุญสัมพันธ์กับเราบ้าง (จะได้ไปบูชาด้วยดอกไม้ทิพย์ เผื่อจะได้รับพรกลับมา) และแล้วเราก็พบ "อรูปพรหม" องค์หนึ่ง ท่านเข้าฌานอยู่ยังไม่ออกจากฌาน คาดว่าอีก ๓ ปี เห็นจะได้ ท่านจึงจะออกจากฌาน ดังนั้น เราจึงได้เพียงแค่เอาดอกไม้ทิพย์ไปไว้เฉยๆ เท่านั้นแล้วกลับมา แต่ก็ยังไม่หมดความพยายาม เราก็ลงมาหาที่ภาคพื้นโลกบ้าง ก็มีฤษี (จิตวิญญาณ) ที่หลงเหลืออยู่เหมือนกัน ทว่า ก็เหมือนๆ กับท่านข้างบน คือ พรหมฤษี ภาคขาว ยังไม่ออกจากฌาน ที่ออกจากฌานแล้วมีแต่พรหมฤษี ภาคดำ ที่ดูแล้วเราไม่แน่ใจว่าจะได้พรแบบไหนกัน ก็เลยไม่ดีกว่า (ช่วงนั้นได้มีเรื่องราวกับท่านเล็กน้อยด้วย แต่ขอไว้เล่าในบทความอื่นแล้วกันครับ) พยายามไปมา ในที่สุด ก็ได้พบท้าวมหาพรหมผู้มีบุญสัมพันธ์กับเรา


นั่นคือ "ท่านท้าวมหาพรหมชินปัญจระ" นั่นเอง ท่านเป็นท้าวมหาพรหมผู้ปกครองพรหมโลก "ส่วนรูปพรหม" และท่านเองก็เป็นรูปพรหมด้วย ท่านออกมาแว้บเดียว แล้วท่านก็ให้พรแก่เทพกุมาร ซึ่งเป็นกายทิพย์กายหนึ่งในสังขารของผม ในขณะที่เทพกุมารเหาะไปเยี่ยมเยี่ยนท่านที่พรหมโลก ทันใด เทพกุมารก็กลายเป็นเทพ คือ โตเลยทันที (แต่ผมไม่ทราบว่าท่านให้พรว่าอะไร? สามเณรคู่หูไม่ได้บอก ผมก็ไม่ได้ถาม) ทว่า ต่อมาไม่นาน เทพกุมารที่โตแล้ว ก็พัฒนาไปสู่กายทิพย์อื่นๆ ตามระดับของบารมีต่อไป ผมจึุงไม่ทราบว่า "พรจากท่านท้าวมหาพรหมชินปัญจระ" นั้น จะยังคงมีผลต่อสังขารของผมด้วยหรือไม่? จบ!



 

ถูกเชิญให้บำเพ็ญนารายณ์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลือ ในช่วงนั้น หลังจบทัพอสูรทารุณไปแล้ว ผมได้พัก แต่การบำเพ็ญนั้น ไม่ได้ครบเหมือนตำราสักเท่าไร คือ บำเพ็ญในกายทิพย์ใดกายทิพย์หนึ่ง ยังไม่ถึงที่สุดของการกระทำ (ถ้าดูตามตำราหรือตำนาน) เราก็หลุดพ้นเสียก่อน คือ กายทิพย์นั้นๆ ได้เลื่อนระดับสูงขึ้นไปก่อนที่จะกระทำการณ์ครบทุกอย่างได้สำเร็จ อย่างเช่น การบำเพ็ญในกายทิพย์ "นารายณ์" ที่ผ่านมาก็ตาม ผมเพียงแค่ลดทอนมนต์ดำทางภาคใต้ไปบางส่วนเท่านั้น แต่ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นตอนั้นได้สำเร็จเลย กายทิพย์นารายณ์ก็มีบารมีมากพอที่จะรวมกับอีกสามกายเป็นตรีมูรติแล้วไม่นานก็เข้าสู่ธรรมไป หรือแม้แต่เรื่องการโปรดมังกรดำให้เป็นมังกรทอง ผมก็ยังไม่ได้ทำ แ่ต่ก็ผ่านมาไำด้ถึงขั้นนี้ ครั้งหนึ่ง กายทิพย์ของผมจรท่องไปแถวๆ ประเทศจีน ในบริเวณแม่น้ำสายหนึ่ง ในมิติทิพย์ สามเณรคู่หูก็เห็น "วังน้ำวน" กลางแม่น้ำ แล้วกลางวังน้ำวนนั้นก็มี "พระนารายณ์องค์หนึ่ง" ปรากฏขึ้นมา (เพิ่งเข้าใจคำว่า "พระนารายณ์อยู่ใต้สะดือทะเล ก็คงเป็นแบบนี้นี่เอง) ท่านก็มาเชิญให้ผมบำเพ็ญ "นารายณ์" แต่ตอนนั้น ผมเคยรู้มาว่า "มีคนไทยที่บำเพ็ญเป็นนารายณ์แล้ว" และเ่ก่งมาก เขียนหนังสือให้คนอ่านอีกด้วย ผมก็เลยแจ้งกับพระนารายณ์องค์นั้นไปว่ามีคนบำเพ็ญแล้ว ไม่อยากบำเพ็ญซ้ำ หรือแข่งกับเขาอีก พระนารายณ์องค์นั้น ก็กลับไปสู่ใต้แม่น้ำดังเดิม (ทำให้ผมคิดว่า แท้แล้วคำว่าพระนารายณ์จำศีลใต้สะดือทะเลนั้น น่าจะหมายถึง แหล่งน้ำอื่นๆ ได้ด้วยกระมัง เช่น แม่น้ำ ที่เราได้พบท่านนี้)


ผมไม่ทราบว่ามันจำเป็นแค่ไหนที่จะมีคนบำเพ็ญเป็นนารายณ์ในช่วงยุคนี้ เคยเห็นแต่เรื่องคำพยากรณ์ที่มีคนพูดถึงปางต่อไปของพระนารายณ์ว่านาม "กัลกี" อะไรแบบนั้น แล้วก็เห็นใครอีกมากมายหลายคน ที่อยากเป็นตัวตนตัวนี้ หรือพยายามเป็นอยู่ ส่วนผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น มีเส้นทางเดินที่เลือกเองได้ครับ ที่พระนารายณ์องค์นั้นมาเชิญให้บำเพ็ญ ก็เชื่อท่านนะว่าถ้าไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นจริงๆ ท่านก็คงไม่มาบอกเราโดยตรงหรอก ทว่า ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ ตอนที่องค์กษิติครรภ์มาขอให้โปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง ผมยังไม่เอา แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เห็นคนมากมายอยากเป็นกัลกี ก็ให้เขาไปแล้วกัน จบ!



 

เทพเฝ้าเขาพระวิหาร

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้ง ผมยังเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลืออยู่ ช่วงนั้น เราได้ทำกิจในโลกทิพย์ไปแล้วบางส่วน ก็เลยมีกำลังใจอยากทำมากขึ้น เพราะทำแล้วมันก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ หรือคิดแต่จะสร้างวัด, สร้างถาวรวัตถุ ทั้งๆ ที่มันก็มีอยู่แล้ว พอดี พอใช้แล้ว ก็เลยคิดว่าเราไม่มีปัจจัยอะไรจะไปทำไ้ด้มากกว่านี้ ก็พอใจในสิ่งที่เราทำได้ ก็แล้วกัน อีกอย่างเราจะทำเสียให้สมบูรณ์ ๑๐๐% ไปเลย ก็เห็นจะไม่เหมาะ เพราะนอกจากเป็นการฝืนกฏแห่งกรรมแล้ว ยังทำให้คนที่ทำงาน คนที่ต้องบำเพ็ญบารมี ในเรื่องนั้น กลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็น เหมือนโชคเข้าข้าง ทำงานไป อยู่ๆ ก็ฟรุ๊ค อะไรต่อมิอะไรดีึขึ้นเอง ทั้งที่ตนเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย แบบนั้นเห็นท่าจะไม่ดี (สมัยเรียน มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยบอกกับผมว่า ที่ทีมงานผมทำอะไรไม่เป็นเลย ก็เพราะผมทำแทนให้ทุกอย่าง เขาเลยทำไม่เป็น) ก็เลยคิดว่า ทำแค่บางส่วนที่เหลือก็ต้องปล่อยไปตามกรรม และกลายเป็นโจทย์ให้คนที่เขา้ต้องทำ ถูกจัดสรรให้ไปทำ ได้ทำต่อไป จะได้ไม่ไปแย่งบุญบารมีพวกเขาครับ แต่แค่ผมทำแค่นั้น ผมก็ได้ส่วนบารมีพอแล้ว เพราะเราทำโดยไม่มีตำแหน่งและเงินเดือนอะไรเลย ทำเท่าไรก็เป็นบารมีทั้งหมดไงครับ ทีนี้ หลังจากเราเคลียร์เรื่องทางภาคใต้ไปเล็กน้อยจนพอควรแล้ว เราวางมือจากที่นั่น เราก็มาดูที่ภาึคอีสานต่อ คือ "เขาพระวิหาร" ว่าทำไมมันจึงมีเรื่องราวกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ ในช่วงนั้น (หลายปีมาแล้วน่ะครับ) ก็เลยให้สามเณรคู่หูลองใช้ตาทิพย์เพ่งดูว่าที่นั่นมันมีอะไรในมิติทิพย์อยู่ ที่เป็นปัญหาหรือไม่? สามเณรเห็นเป็นยักษ์ ๔ ตน กับครุฑอีก ๓ ตนมั้ง (ถ้าจำจำนวนผิดต้องขออภัยเพราะเรื่องเกิดนานแล้ว) เลยได้ข้อมูลมาว่าเทพที่เฝ้าเขาพระวิหารอยู่ ไม่สมดุลกัน คือ ฝ่ายยักษ์มากกว่าฝ่ายครุฑ (สงสัยว่าฝ่ายยักษ์จะมาจากทางกัมพูชา, ฝ่ายครุฑจะมาทางไทย) เขาได้รับข้อมูลแจ้งมาว่าครุฑที่หายไปนั้น ถูกประเทศ ... เอาไปแล้ว ทำให้ขาดสมดุล และเกิดเรื่องขึ้น (ฝ่ายยักษ์ที่มีกำลังมากกว่า คงจะอยากยึดครองความเป็นใหญ่เหนือฝ่ายครุฑกระมังครับ?)


ตอนนั้น สามเณรคู่หูบำเพ็ญบารมีได้ "ครุฑ" พอดี เราก็เลยบอกให้เขาช่วยไปดูแลหน่อยได้ไหม? เขาก็ว่าถ้าเขาไปที่นั่น เขาจะได้เป็นใหญ่เลยนะ (เหมือนว่ามันมีเรื่องกันอยู่พอคนใหม่เข้าไป ก็ต้องมีตำแหน่ง จึงจะเคลียร์เรื่องจบได้) ผมก็เลยว่า "เอ้า ก็ได้" (เหมือนว่าครุฑเขาต้องขออนุญาติเรื่องตำแหน่งเราก่อน เขาจึงจะได้รับตำแหน่งนั้น) เขาก็ดีใจแล้วไปเลย ทำหน้าที่เต็มที่ ช่วงนั้น ผมก็ติดตามสถานการณ์อยู่ จากที่มีความรุนแรงก็ค่อยๆ เบาลงเหมือนกัน แล้วก็พ้นขีดอันตรายไปช่วงหนึ่ง แต่แล้ว อยู่มาไม่นาน หลังจากที่สามเณรให้ครุฑไปดูแลเขาพระวิหารแล้ว เขาได้ "มาร" มาอยู่กับเขาแทน แล้ววันหนึ่ง เราก็ถอดกายทิพย์ไปเยี่ยมครุฑที่เขาพระวิหารนั้น ทว่า ยังไม่ทันอะไรเลยครับ มารกับครุฑก็ซัดกันเลย เรายังไม่ทันห้ามแต่เขาก็ลงมือกันแล้ว เร็วมาก จบเห่เลย เสียครุฑไปอีก ๑ (มารเขามีฤทธิ์มากกว่าครับ) เราบอกว่าอ้าวทำไมทำอะไรกันแบบนั้น มารเขาก็ว่า ครุฑมันมาเล่นงานเขาก่อน เขาก็ต้องป้องกันตัว ภายหลัง ผมจึงเข้าใจว่าในโลกทิพย์นั้น อะไรที่เข้ากันไม่ได้ ถ้าเจอกัน เขาจะซัดกันทันที ไม่มัวมาคิดว่าจะโดนตำรวจจับเข้าคุกไหม ไม่เหมือนมนุษย์โลกเลยครับ ต่อมา พอครุฑเสียไปแล้ว ก็เลยขาดสมดุลอีกครั้ง ต่อมา เกิดเรื่องระหว่างไทย-กัมพูชาที่เขาพระวิหารอีก ผมก็เลยต้องปล่อยให้คนที่มีหน้าที่เขาดูแลกันเอง พอเปลี่ยนผู้นำประเทศ เป็น "สายยักษ์" เรื่องราวก็สงบมากขึ้น (อ้อ เชื้อสายทางจิตวิญญาณเดียวกัน เลยเข้ากันได้?) จบ