เพ่งเทียนคุมไฟ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมเป็นฆราวาสแล้วปฏิบัติธรรมแบบพราหมณ์ฤษี ช่วงนั้น ผมยังทำงานอยู่ยังไม่ได้ลาออกจากงาน ผมจึงอาศัยเวลาว่าง ๓ วันไปปฏิบัิติธรรม ในวันนั้น พี่คนหนึ่งอาสาไปส่ง จู่ๆ ก็ืำทำกุญแจรถหายไปเฉยเลย หาอย่างไรก็ไม่เจอ แล้วต้องกลับไปหากุญแจรถที่บ้าน ต่อมา ขับรถไปจู่ๆ ก็เกิดกันชนด้านหน้าร่วงลงมาติดใต้ท้องรถเสียเฉยๆ อย่างนั้น (ลางไม่ดีสองครั้ง) แต่ว่าในเมื่อเราตั้งใจแล้วก็ไปครับ ไปให้ถึงและทำให้ได้ ผมก็เลยอยู่ปฏิบัติที่นั่น คนเดียว ตกกลางคืน ผมก็ไม่ได้รีบนอน กุฏิแต่ละกุฏิจะห่างกันมาก และมีต้นไม้โดยรอบ จึงคล้ายว่าเราอยู่คนเดียวเหมือนกัน (เป็นวัดป่าน่ะครับ) หลังจากช่วงกลางวันฝึกกรรมฐานแนวสติปัฏฐานมาบ้างแล้ว กลางคืน ผมก็เลยจุดเทียนขึ้น ลองเพ่งเทียนดูึีัครับ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร ทำไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แล้วก็เลยหลับไปพักหนึ่ง ตื่นขึ้นมาทำใหม่ ทีนี้ นึกครึ้มๆ อะไรไม่รู้ ก็เลยนึกให้ไฟมันลุกมากขึ้นๆ มันก็ลุกมากขึ้นๆ พอนึกให้มันอ่อนแรงลง มันก็อ่อนลงๆ ได้ ตามนั้น สักชั่วแว้บหนึ่งครับ จากนั้น จิตเปลี่ยนไป อยากลองทำให้มากขึ้น อยากให้มันชัดขึ้นว่าเมื่อกี้มันจริงหรือเปล่า? หรือบังเอิญกันแน่ (กุฏิปิดรอบด้าน ไม่มีลมเข้ามานะครับ) แล้วมันก็ทำไม่ได้ครับ เลยเลิก


ช่วงเช้า ตอนผมกวาดลานวัด อยู่ๆ เจ้าอาวาสก็มาทางด้านหลังเงียบๆ แล้วผมก็จู่ๆ หยุดกวาดแล้วหันไปพอดี ไม่รู้บังเอิญหรือว่าเพราะอะไร สงสัยท่านจะมาทดสอบดูว่าเรามีสติไหม เวลากวาดวัด ไม่ใช่ว่าเอาแต่กวาดๆ โดยไม่ทัน มีสติรู้ตัวว่ามีคนมาข้างหลัง จนกวาดไปโดนเขาเข้า อะไรแบบนั้นหรือเปล่า? ทว่า ก็ผ่านไปได้ด้วยดีัครับ ผมก็สนทนากับท่านเล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็ปฏิบัติของเราต่อไป ครบสามวัน ผมก็กลับ ไปทำงานต่อครับ ช่วงนั้น ผมยังทำงานอยู่ ยังไม่ได้ลาออกจากงานอย่างเต็มตัว แต่ก็เริ่มหันมาเข้าวัด ปฏิบัติธรรมบ้างแล้ว และเริ่มได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองบ้าง บางประการแล้วครับ ทั้งในด้านของสิ่งเหนือธรรมชาติเล็กน้อย ไม่มากพอที่จะไปโชว์ใคร แต่ทำให้ตัวเราเอ๊ะใจขึ้นมาบ้างนิดหน่อยว่านี่ มันมีอะไรที่เราอธิบายด้วยเหตุผลทั่วไป ไม่ได้หรือเปล่า? หรือการปฏิบัติที่ได้ที่ใจเรา พัฒนาขึ้น อันนี้ก็พิสูจน์ได้อยู่ ทำให้รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมมันได้ผลจริง พัฒนาตัวเราจริง ไม่ต้่องรอชาติต่อไป (ตอนแรกก็คิดว่าเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนา เป็นเรื่องของชาติหน้า รอไปรับผลบุญชาติหน้า) ก็เลยปฏิบัติยิ่งขึ้นครับ



 

ความทรงจำที่เลือนลับ

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมมานานแล้ว ประมาณอายุ ๑๘ ปี ผมอกหักครั้งแรก มันยากที่จะอธิบาย มันมากกว่าคำว่าเจ็บปวด มันเหมือนกับคุณถูกรถชนอย่างแรง แล้วคุณก็หมดความรู้สึกทุกอย่างไป สิ้นสติ ไม่รู้แม้แต่ว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างไร ผมมีชีวิตอยู่เหมือนซอมบี้ ผีดิบที่เดินได้ แต่ยังมีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างคนที่ไร้จิตใจ แล้วผมก็เริ่มโปรแกรมสมองตัวเองให้ลืมทุกๆ อย่าง ทว่า ยิ่งผมทำอย่างนั้น มันยิ่งกลับทำให้ผมยิ่งจดจำเรื่องราวที่เจ็บปวดได้มากยิ่งขึ้น แล้วกลับลืมเรื่องอื่นๆ ไปเสีย ส่งผลให้ผมไม่สามารถเรียนต่อในคณะแพทยศาสตร์ได้ และต้องลาออกในที่สุด ใช่แล้วผมทำสำเร็จเพียงครึ่งเดียว ครึ่งที่ผมไม่ต้องการนั้น  ความทรงจำของผมถูกตัวเองโปรแกรมให้ลบไปทีละน้อยๆ ในเรื่องที่ไม่ควรลืมและถูกตอกย้ำจดจำในสิ่งที่ไม่ควรจำ แต่ผมก็ยังคงสู้ต่อไป ร่างกายของผมยังคงดำเนินชีวิตต่อไปอย่างคนปกติ แม้ผมจะรู้ตัวเองดีว่าภายในจิตใจของผม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และเพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ ได้ ผมก็ไม่่่ต่างอะไรกับคนที่ใส่หน้ากากเข้าหาเพื่อนๆ ให้เพื่อนๆ เห็นว่าผมปกติ แต่ทั้งนี้ ผมไม่ไ่ด้ทำเพื่อหลอกลวงหรือทำร้ายใครเลย ทั้งหมดก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้่ ทำให้พวกเขาสบายใจเท่านั้น กระบวนการลบเลือนความทรงจำที่เจ็บปวด จึงดำเนินไปอย่างเงียบๆ และไม่มีเพื่อนคนไหนรู้และจะยื่นมือมาช่วยหรือจะหยุดยั้งกระบวนการนั้นได้เลย จนเมื่อผมรู้สึกว่ามันเริ่มเหมือนการย่อยสลายอะไรสักอย่างหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น เมื่อผมย่อยสลายหมด ผมหมดแรง นอนอยู่เพื่อดูเพดานห้อง เปิดตาแล้วหลับลงอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นไปมีชีวิตต่อไปเืพื่ออะไร ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆ แต่แล้วผมก็ต้อง "ล่า" เพื่อความอยู่รอด ผมไปหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมเหมือนมีพลังฟื้นคืนมาอีกครั้ง ที่จะทำให้หัวใจเต้นต่อไป ขาทั้งสองข้างก้าวต่อไป ผมหาเจอ และมันเป็นพลังชั่วคราวที่ทำให้ผมไปข้างหน้าต่อได้ทีละน้อยเท่านั้น กระบวนการทั้งหลายได้ดำเนินมายาวนานเกิน ๑๐ ปี จนผมเริ่มมีกำลังกาย กำลังใจ มากขึ้นทีละน้อย ผ่านด่านต่างๆ มีงานทำได้คล้ายคนปกติ จนในที่สุด ก็หลุดพ้นออกมาจากระบบทุนนิยม แล้วถือบวช คราวนี้ ผมได้ฝึกสมาธิ ได้เข้าถึงความว่างไร้ สุขสงบที่แท้จริง ที่ยังไม่ใช่นิพพาน แต่มันเสริมกระบวนการลบเลือนเก่าของผมให้แก่กล้ายิ่งขึ้น คราวนี้ ผมเริ่มลบเลือนสิ่งที่ผมไม่อยากจำ ความเจ็บปวดทั้งหลายได้ ราวกับถูกล้างเครื่องใหม่ จนคล้ายกับว่าผมเป็นเด็กที่เกิดใหม่อย่างนั้นเลย ทุกวันนี้ ผมอาจระลึกบางเรื่องได้แต่บางอย่างก็ระลึกไม่ได้  ผมจำชื่อเพื่อนแทบไม่ได้เลย และเริ่มจะจำหน้าตาของพวกเขาไม่ไ่ด้ด้วย ผมต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทุกอย่าง


เหมือนเด็กอีกครั้ง แ้ล้วผมก็เริ่มต้นเรียนรู้ในขณะที่ถือบวช เหมือนเกิดใหม่ในผ้าเหลือง ในวรรณะนักบวช เหมือนเครื่องยนต์ที่ถูกเปลี่ยนอะไหล่ทั้งหมดใหม่ ตอนนี้ผมไม่ใช่คนที่ำจำอะไรได้เก่งหรือมากเหมือนดังก่อนอีกแล้ว แต่ผมก็ได้อย่างอื่นมาแทน ที่เหมาะควรแก่การดำีรงชีิวิต มันอาจไม่มากนัก แต่ก็พออยู่ได้ ที่มากกว่านั้นคือ ผมได้สัมผัสเรื่องราวเกินคาด ที่ไม่น่าเชื่อ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่มองเห็นได้เฉพาะในมิติพิเศษ และทั้งที่เห็นได้จริงในชีวิตปัจจุบันและพิสูจน์ได้จริงโดยไม่ต้องรอชาติหน้าจนเมื่อผมได้เผชิญหน้ากับ "ตัวตนในอดีต" ทั้งในช่วงวัยเด็กที่ร่าเริง, วัยรุ่นตอนปลายที่มืดมน ฯลฯ ผมกล้าที่จะเผชิญหน้ากับตัวตนเหล่านั้นมากขึ้น ความทรงจำเก่าๆ ก็หวนกลับมาบ้าง เหมือนลมพัดหวน ในทุกครั้งที่ตัวตนเดิมกลับมา แต่คราวนี้ ผมเข้มแข็งและพร้อมแล้วกับทุกอย่าง แม้ที่ผ่านมาผมเหมือนคนที่ไม่เหลือสภาพ ไม่แม้แต่จะเรียกว่าคน เดี๋ยวนี้ ไม่น่าเชื่อ ผมพอใจและพร้อมกับทุกอย่าง ผมไม่ได้เก่งหรอก แต่ธรรมะช่วยได้จริง!



 

แต่งงานกับผี!

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมบวชพระแล้วและไม่มีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลือแต่มีอาจารย์ที่เป็นฆราวาสดูแลอยู่สองท่าน หลังจากที่ผมเคยให้สัจสัญญากับคนๆ หนึ่งว่าผมจะไม่มีแฟนเป็นคนอีก บวกกับผมถูกกดดันจากอาจารย์ให้มีเมีย คือ อาจารย์บอกว่าผมต้องมีเมีย ไม่งั้นไม่ผ่าน อะไรแบบนั้น ซึ่งถ้าผมทำอย่างนั้นก็จะผิดสัจจะทันที ผมจึงหาทางออกด้วยการ "แต่งงานกับป้ายวิญญาณ" ซึ่งไม่มีตัวตน ไม่มีสังขาร ก็ไม่้ผิดศีลแน่นอน (ศีลของพระไม่มีข้อห้ามแต่งงานกับป้ายวิญญาณนะครับ) ผมจึงแต่งงานกับป้ายวิญญาณ ทำพิธีง่ายๆ ครับ แค่จุดธูปแล้วกล่าวด้วยวาจาว่าเราจะแ่ต่งงานกับวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับเรา ก็เท่านั้น แล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติทุกอย่างก็ดูปกติเหมือนเดิม (ผมไม่มีใครมาใช้ตาทิพย์ช่วยดูให้ด้วยครับ) ผมยังเป็นพระอยู่เหมือนเดิม จนกระทั่งถึงวาระที่ต้องสึก คือ มีอะไรหลายอย่างบีบและกดดันทางอ้อมให้ต้องสึกก็ไม่ได้ยึดอะไร ก็สึกออกมา ได้ไปเยี่ยมอาจารย์และพบกับคนๆ หนึ่ง เขาเป็นคนทรง เขาเข้าทรงแล้วบอกว่าเรากับเขาเกี่ยวข้องกันมาก่อนในอดีตชาติ (คนทรงเป็นผู้หญิงครับ) ผมบอกว่าผมแต่งงานกับป้ายวิญญาณก็ถามเขาว่าแล้วมันจะเกิดผลอย่างไร? เขาบอกว่าผมแต่งงานกับผี ให้ไปหย่าเสีย ผมก็ทำ ไปทำพิธีหย่าให้ ก็ไม่ได้คิดอะไรนี่ครับ มันก็แค่ "พิธีกรรม" เท่านั้นเอง ทั้งการแต่งงานและการหย่า ไม่ได้กระทบกระเทือนใคร ไม่ได้เชิญใครมาร่วมพิธี ไม่ได้ใช้เงินทองอะไรมากมาย แค่จุดธูป ๓ ดอกกล่าวต่อพระรัตนตรัยเป็นพยานเท่านั้นเอง ก็เลยทำไป ให้เขาได้สบายใจครับ (อีกอย่างผมก็มีสัจจะมีแฟนเป็นคนไม่ได้อยู่แล้วนี่)


อีกอย่างหนึ่ง ผมเคยได้ยินว่าคนจีนมีประเพณีแต่งงานกับป้ายวิญญาณ ในกรณีที่หมั้นหมายกันไว้แต่เด็กแล้วอีกฝ่ายหนึ่งตายลง เพื่อไม่ให้ผิดสัจจะสัญญาต่อกัน ก็จะทำพิธีแต่งงานกับป้ายวิญญาณครับ ในหนังเรื่อง "ดาบมังกรหยก" ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยพูดกับเตียบ่กี้ว่าจะแต่งงานกัน หรืออย่างไรไม่ทราบ แล้วเตียบ่กี้มัวแต่ลังเลใจ ไม่รู้จะเลือกใครดี อะไรแบบนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็เลยแต่งงานกับป้ายวิญญาณของเขา (เตียบ่กี้มีอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนี้เรียกครับ) ผมก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นประเพณีที่มีคนทำต่อๆ กันมานานแล้วด้วย ปัจจุบัน ผมก็อยู่ดีมีสุขได้โดยไม่ต้องมีคู่ครองเลยครับ ไม่มีปัญหาอะไรเลย ก็เมื่อก่อนนั้นยังมีปัญหาบ้างว่าบางครั้ง เราไม่มีแฟน เราอาจจะเหงาๆ หน่อย รู้สึกถึงความว้าเหว่เป็นใช่มั้ยครับ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหงา ไม่รู้สึกอย่างนั้นแล้ว เหมือนอิ่มพอ เต็มภายใน อะไรแบบนั้น มันก็สมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ต้องไปแสวงหาคู่ครองอะไรใดๆ ให้มันยุ่งยากอีก จบเรื่องง่ายๆ ใช้ชีวิตอย่างสันติสุขไปเท่านี้เอง



 

น้ำทิพย์พระศิวะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณร และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยอยู่ ในช่วงนั้น ผมมีจิตวิญญาณดวงหนึ่งในสังขารเป็น "พระศิวะ" และมีของทิพย์ประจำกายบางอย่างซึ่งสามารถชำระล้างพลังที่ไม่ดีให้่ใสสะอาดได้ วันหนึ่ง หลังจากทำกิจ ผมถูกพลังไม่ดีแทรกเข้ามาในร่างกายค่อนข้างมาก ระบบภายในจึงทำงานคือ ชำระล้างพลังที่ไม่ดีนั้นให้ใสสะอาดขึ้น แต่เนื่องจากในตัวผมมีพลังสองชนิดซึ่งสามารถชำระล้างพลังงานที่ไม่ดีได้ทั้งคู่คือ ๑. พลังที่มาจากน้ำทิพย์ของพระศิวะซึ่งเป็นน้ำทิพย์ที่ไหลจากมวยผมขององค์พระศิวะซึ่งอยู่ในกายสังขารเรานั่นเอง ๒. พลังที่มาจากของทิพย์ประจำกายซึ่งชำระล้างพลังที่ไม่ดี ให้กลายเป็นพลังใสสะอาดได้ เมื่อทั้งสองอย่างทำงานอัตโนมัติพร้อมๆ กัน จึงทำให้ภายในปั่นป่วนบ้าง เล็กน้อย สามเณรจึงเตือนให้ใช้อย่างหนึ่งอย่างใดก็พอ ซึ่งไม่นานเท่าไรนัก ก็สามารถเคลียร์พลังงานที่ไม่ดีนั้นให้ใสสะอาดได้ ภายหลังผมจึงเข้าใจว่าผู้ที่มีจิตวิญญาณพระศิวะข้างในสามารถใช้พลังทิำพย์จากน้ำทิพย์ที่ไหลจากมวยผมของพระศิวะ ในการชำระล้างพลังงานที่ไม่ดีได้ และหลายครั้งเวลาผมไปทำกิจที่ไหน ทำไมจึงมักจะเจอแต่คนที่ใช้่ำพลังงานที่ไม่ดี เช่น คนที่เ่ล่นคุณไสย์, ของดำ ฯลฯ อยู่เสมอและมักจะมีเรื่องประจำๆ คือ คนเหล่านั้นมักจะรู้ตัว และเล่นงานผมก่อนด้วยวิธีการต่างๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัว เมื่อได้ทราบอย่างนี้ จึงได้เข้าใจว่าบางครั้ง พลังงานในร่างกายของคนเราต่างกัน ตรงข้ามกัน อาจอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง กล่าวคือ พลังงานที่ไม่ดี ของคนที่เล่นไสย์ดำ มักไหลเข้ามาในตัวผม แล้วก็ถูกชำระล้างด้วยวิธีแบบนี้บ่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายเขาค่อยๆ หมดฤทธิ์ แต่พวกผีที่อยู่กับเขา จะรู้ตัว และดลจิตดลใจให้เจ้าตัวไม่ชอบผม และหาทางเล่นงานผมเสียก่อน ภายหลัง ผมจึงสึกออกจากวัดไป เพราะถ้าจะรอให้เจ้าอาวาสที่เล่นไสย์ดำสึกหรือไปเอง ก็คงยาก เอาเป็นว่าผมเป็นฝ่ายไปเองก็ได้ ผมไม่มีปัญหาอะไร


ภายหลังจิตวิญญาณพระศิวะก็หลุดพ้นไปจากสังขารของผม เรื่องราวยุ่งๆ ที่ผมถูกดึงเข้าไปเกี่ยวกับพวกที่ชอบเล่นไสย์ดำเหมือนจะลดลงด้วย ผมคิดว่าดีเหมือนกัน เพราะไม่ได้อยากเข้าใกล้หรือถูกแวดล้อมด้วยคนที่ชอบเล่นไสย์ดำแบบนั้น และพวกเขาเองก่อนฝึกเวทย์มนต์คาถาก็คงไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นของดำไปได้ เพราะเริ่มแรกมันอาจจะไม่ใช่ของดำ แต่พอผิดพลาดเล็กน้อยโดยที่เราไม่รู้ตัว มันก็จะเปิดช่องให้พลังด้านไม่ดี, พลังงานดำ เข้ามาแทรกได้ แล้วฤทธิ์เดชต่างๆ มันก็จะมาจากพลังสายดำนี้เอง ไม่ได้มาจาก "อภิญญา" ที่ฝึกอย่างถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย โดยเฉพาะคาถาต่างๆ เชื่อมโยงกับผู้รจนาเวทย์มนต์คาถานั้นๆ ถ้าจิตวิญญาณเหล่านั้นที่โยงใยกับคาถาอยู่ ยังไม่หลุดพ้น เขาก็จะเข้ามาเชื่อมโยงกับผู้ใช้รุ่นต่อๆ ไปได้ (เหมือนทายาทอสูร นั่นแหละ) แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ใช้เวทย์มนต์คาถา เ่ช่น ผู้ที่ใช้พลังจิต, พลังปราณ ก็ยังถูกแทรกด้วยพลังที่ไม่ดี, พลังดำได้ ดังนั้น ครูบาอาจารย์สมัยโบราณจึงไม่ให้วิชาใครง่ายๆ และเคร่งครัดในเรื่องข้อห้ามต่างๆ มากมาย เพราะเป็นวิธีป้องกันพลังดำเหล่านั้นครับ



 

ผีพรายแม่น้ำโขง

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมบวชเป็นพระแล้วไปจรจาริกเพื่อแสวงหาธรรม ผมได้ไปยังวัดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นวัดที่สร้างใหม่ มีเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ถ่ายทอดธรรมที่แตกต่างจากที่อื่น ผมได้ไปพักกับพระรูปหนึ่ง ซึ่งมีกุฏิใกล้ๆ กับพระอีกรูปหนึ่ง วันหนึ่ง พวกพระและฆราวาสก็ไปเที่ยวแถวๆ ริมแม่น้ำโขงกัน (วัดนั้นอยู่ในจังหวัดที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่าน) ส่วนผมก็อยู่ที่วัด ไม่ได้ไปด้วย ได้ยินชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าแม่น้ำโขงโดยเฉพาะช่วงที่พวกเขาไปเที่ยวกันนั้น มีคนตกน้ำตายบ่อย แทบทุกปี เขาเล่าว่ามันมีผีพรายน้ำอยู่ จะเอาคนไปเป็นบริวารมันทุกปี แล้วเขาก็เล่าอะไรอีกมากมายที่ทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริง ซึ่งผมก็ไม่อาจที่จะพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่เพียงใด แต่คนเล่านั้นก็ไม่ใช่คนที่หลงงมงายนักหรือเชื่ออะไรง่ายเกินไป ทว่า เขาเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็เล่าและมองแบบชาวบ้านธรรมดา เท่านั้นเอง หลังจาก คณะของพระและฆราวาสที่ไปเที่ยวริมแม่น้ำโขงกลับมาแล้ว พระรูปหนึ่งที่อยู่กุฏิติดๆ กับที่พักของผม ก็รีบทำ "สระน้ำเล็กๆ" ทันที และทำเสร็จภายในวันเดียวนั้นเลย ยิ่งกว่านั้น บรรยากาศเริ่มแปลกไป เพราะมีพระมากมายเข้ามารวมตัวที่กุฏิของพระรูปนี้ จากที่ไม่เคยมีมากอย่างนี้มาก่อน ประกอบกับผมรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกับว่าผีพรายที่แม่น้ำโขงนั้น อาจมาอยู่กับพระรูปดังกล่าว นอกจากนี้ พระรูปนั้นยังมีวิธีผูกมัดใจคนหรือพยายามดึงเอาผมไปใช้ เหมือนเป็นบริวารอย่างนั้นอีกด้วย ผมเลยรู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว หลังได้ศึกษาปฏิบัติธรรมพอควรก็เลยรีบกลับออกมาจากที่นั่น (พระรูปนั้น ท่านเคยให้สีกาไปนวดด้วยนะครับ แต่สีกาบอกว่าไม่ได้ิยึดอะไร)


หลังๆ มา สักสองสามปีเห็นจะได้ ผมก็ได้ยินข่าวว่าแม่น้ำโขงเริ่มเหือดแห้งเพราะมีการทำเขื่อนที่ประเทศลาว ผมมองว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น อาจมีผลกระทบทั้งในมิติของสสารและมิติของพลังงานแต่อาเกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติของพลังงานก่อน จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในมิติของสสารตามมา คือ อาจมีการอพยพของจิตวิญญาณเก่าๆ ที่เคยเฝ้าประจำแม่น้ำโขงอยู่ แม่น้ำที่เคยน่ากลัวและคงความศักดิสิทธิ์  มนุษย์ไม่กล้าบุกรุกทำลาย จึงถูกเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์และสภาพดั้งเดิมตามธรรมชาติได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เคยเชื่อและหวาดกลัวก็กลายเป็นเพียงแม่น้ำที่แห้งขอด เดินข้ามไปมาได้ ไม่น่ากลัวดังเดิมอีกต่อไป ก็อาจเป็นไปได้ว่าจิตวิญญาณศักดิสิทธิ์ที่เคยอยู่แถวลำน้ำโขงอาจอพยพไปอยู่กับผู้ปฏิบัติธรรม ก็เป็นได้



 

ตัวตนที่หายไป

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมอายุประมาณ ๑๒ ถึง ๑๘ ปี ช่วงนั้น หลังจากที่ผมเกิดความรู้สึกผิดเพราะทำสิ่งที่ผิดต่อเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง แ้ล้วทำให้จิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมเหมือนเป็นคนใหม่ ที่มีแต่ความใสซื่อ เหมือนเด็กไร้เดียงสา หัวเราะร่าเริงตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่มีเื่รื่องอะไรน่าขำ คือ อยู่ๆ มันก็นึกขำขึ้นมาเอง เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ก็สงสัยว่าทำไมคนอื่นเขาไม่ขำเหมือนเรา เขาเฉยๆ แต่เราขำง่ายมาก ก็จะยิ้มตลอดเวลา แทบจะหัวเราะตลอดเวลา จนเพื่อนๆ มองว่า "ติงต๊อง" แต่ไม่ได้บ้า เพราะมีสติดี และยังเรียนได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย เพราะสมองปลอดโปร่งมาก โล่งสบาย จำอะไรก็ำได้หมด เยอะแยะ แถมยังคิดอะไรได้เร็วมากๆ คิดเลขได้รวดเร็วและแม่นยำมากๆ อีกด้วย การเรียนของผมจึงก้าวหน้ามาก เป็นเวลาประมาณ ๕ ถึง ๖ ปี เห็นจะได้ คือ ช่วงมัธยมศึกษานั่นเอง ซึ่งผมนับว่าเป็น "วัยรุ่นตอนต้น" จากนั้น ผมก็สอบติดมหาวิทยาลัยได้ ขณะยังเรียนอยู่ ม.๕ เพราะใช้การสอบเทียบเอา เป็นคณะและมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง แต่ใจผมยังไม่อยากไปเรียนเร็วเกินไปยังอยากอยู่อีกปีหนึ่งให้ครบ ๖ ปีตามปกติ ทว่า ในที่สุด ก็ตัดสินใจไปเรียน ซึ่งในช่วงนั้นต้องเจอกับอะไรเยอะมาก แล้วปรับตัวไม่ทัน สุดท้ายก็เกิดผลกระทบต่อจิตใจจนได้ ในปีที่สองหลังจากไปเรียน มีเรื่องความรักเข้ามากระทบจิตใจ ทำให้เกิดความรู้สึกเหม่อลอย คิดถึงแต่คนที่เรารัก และในที่สุดเขาต้องแยกตัวจากผมไป เพื่อให้สามารถเรียนได้ตามปกติ ไม่อยากให้เรื่องความรักกระทบต่อการเรียน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนสูญเสียตัวตนที่มีความสุขผ่องใสนั้นไป ผมกลายเป็นคนอีกคน ที่มืดมนและมีแต่ความทุกข์ กลับกันเป็นคนละด้านไปเลย แล้วต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุง เหมือนคนที่ตกทุกข์ มีปัญหาในชีวิต เหมือนวัยรุ่นในกรุงเทพฯ ที่มีปัญหาและมีชีวิตที่มืดมนอย่างนั้น แต่โชคดีที่ผมไม่ได้มีเงินมากพอที่จะไปซื้อยาเสพติดมาเสพ ผมจึงมีพฤติกรรมเหมือนเด็กเกเรและมืดมนในเมืองกรุงฯ เป็นกันแค่นั้น คือ เที่ยวเตร่ในเวลากลางคืน สำมะเลเทเมา อะไรแบบนั้น เป็นเวลาเกือบ ๘ ปีที่เป็นค่อนข้างหนัก เมื่อเรียนจบแล้ว จึงเริ่มทำงานทำการ ทำให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น


จากจุดเริ่มต้นในวันที่ผมเริ่มมืดมน กลายเป็นเด็กเกเรในเมืองกรุง มาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาร่วม ๑๕-๑๖ ปี ได้ ปัจจุบัน ผมเริ่มดีขึ้น หลังจากเข้าสู่ทางธรรม, ปฏิบัติธรรม และได้บวชพักผ่อนจิตใจเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี (ผ้าขาว ๑ ปี เณร ๑ ปี พระ ๓ ปี) ผมจึงเห็นทุกข์และความมืดมนชัดเจนมากๆ เพราะผมต้องทนอยู่กับมันเป็นเวลานานร่วม ๑๕ ปี ก่อนจะเข้าสู่ทางธรรม เรื่องฤทธิ์เดชอะไรในทางพุทธศาสนาที่คนเขานิยมก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาผม เพราะผมตกต่ำถึงขีดสุดและทนทุกข์ถึงที่สุด ณ จุดนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้หลุดพ้นจากวังวนแห่งทุกข์และความมืดมิดนั้น เรื่องอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชอะไร จะมีหรือไม่ มันก็แค่ผ่านๆ ไป ถ้ามีเอามาเล่าให้ฟังแล้วจบๆ กันไป เท่านั้นเอง หาเป็นสาระที่พึ่งอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้ว เมื่อเราทุกข์ อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช มันก็ช่วยให้เราพ้นทุกข์ไม่ได้ ผมเคลียร์ตัวตนที่มืดมนนั้นจนหมดแล้ว จึงได้สัมผัสถึง "ตัวตนที่หายไป" คือ ตัวตนที่มีแต่ความสุข, ร่าเริง, หัวเราะตลอดเวลานั้น ผมเริ่มสัมผัสตัวตนนั้นได้อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ (ปี ๒,๕๕๖) แต่ไม่เต็มตัว ประมาณ ๑๐-๒๐% แต่ก็พอดีสำหรับผมแล้ว



 

รุกขเทวดาสองแบบ

เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานนี้เองหลังจากผมสึกเป็นฆราวาสแล้ว เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ กล่าวคือ ข้างบ้านผมมีลุงสองคน อยู่คนละบ้านกัน ลุงทั้งสองชอบปลูกต้นไม้และทำสวนรอบบ้านด้วย แต่ทั้งคู่ก็ตายไปแล้ว แต่ลุงสองคนนี้มีวิธีทำสวนที่แตกต่่างกัน ทั้งยังมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันอีกด้วย กล่าวคือ ลุงคนที่หนึ่งเป็นคนดุ, เจ้าเล่ห์ และเห็นแก่ตัว แกจะทำสวนเพื่อการยึดครองที่ดิน สมัยก่อนที่ดินยังไม่ได้ถูกจัดให้เป็นโฉนดเรียบร้อยเหมือนทุกวันนี้ ยังเแป็นป่ารกชัฏอยู่มาก ขณะที่คนอื่นๆ หักร้างถางพง ปลูกข้าวแล้วได้ที่ดินไป แกฉลาดกว่า เพราะปลูกต้นไม้ใหญ่ทำสวน แต่ไม่ได้หวังเอาผลไว้กินหรือขายอะไร แกปลูกก็เพื่อจะจับจองที่ดิน ทำให้แกได้ที่ดินเยอะทีเดียว จากแปลงว่างๆ ที่ไม่มีเจ้าของก็กลายเป็นของแกไป แกมีลูกชายสองคน ทั้งสองมีครอบครัวแล้วและเป็นคนเห็นแก่ตัว, ใจแคบ, ดุร้าย และเจ้าเล่ห์เหมือนพ่อทั้งคู่  อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายคนโตก็มีอาการเหมือนผีเข้า ร้องห่มร้องไห้ ไม่มีสติ ต่อมา เขาต้องทำบุญไปให้พ่อตัวเอง (ก็คือลุงคนนี้) ส่วนลุงอีกคนจะมีลูกสาวสองคน ลูกสาวสองคนเป็นคนดี, เชื่อฟังพ่อแม่, ไม่ดื้อรั้น,  กตัญญู ฯลฯ เมื่อก่อนลุงคนนี้ก็เป็นคนใจดี, ใจเย็น, รักสงบ และเชื่องช้า แกทำสวนเอาไว้อย่างเหมาะสม ในสมัยนั้น พรรณไม้ดีๆ หายากไม่เหมือนสมัยนี้ที่ซื้อได้ด้วยเงิน แต่ไม่ทราบว่าแกไปหา เอามาจากไหนได้ เป็นพรรณไม้ที่ดังๆ ของยุคนี้เลย ทั้งๆ ที่แกปลูกเอาไว้เป็นเวลานานกว่า ๒๐ ปีแล้วเห็นจะได้ แสดงถึงความมีสายตาที่ยาวไกลว่าต้นไม้พรรณไหนดีและจะได้รับความนิยมในอนาึคต สวนของแกไม่ได้ทำเพื่อการยึดครองที่ดิน แต่ทำเพื่อรวบรวมพรรณไม้ดีๆ ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ทั้งไม้ยืนต้น, ไม้ผล, ไม้ดอก, ไม้ประดับ, ว่านและไม้นำโชคต่างๆ ทว่า่ แกปลูกได้โตเร็วก็จริง แต่บางต้นไม่่ค่อยได้ผลมากเท่าไรนัก


จนเมื่อทั้งคู่ตายไปแล้ว ลุงคนที่สองเหมือนยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาเอง ป้าซึ่งเป็นแฟนลุงก็ยังคงปลูกต้นไม้่ต่อไป และสังเกตุว่าต้นไม้รอบบริเวณบ้านของแก จะโตเร็วมาก ผิดปกติกว่าที่อื่นในเวลาเท่ากัน ราวกับว่ามีพลังพิเศษของรุกขเทวดาคอยช่วยอำนวยผล นอกจากนี้ ยังเป็นต้นไม้ดีๆ มีประโยชน์ที่ขึ้นเองได้ถูกที่ถูกทาง ไม่รก ไม่ขวางทางเดินอีกด้วย แต่ภายหลังป้าและลูกสาวตัดโค่นลงไปมาก เป็นอันว่าป้าและลูกสาวไม่ได้สืบทอดความสามารถในการทำสวนของลุงคนนี้ ส่วนลุงอีกคนท่าจะตายแล้วไม่ได้ไปดี แต่ภายหลังก็อาจจะได้อาศัยบุญบารมีอะไรบางอย่างช่วยฉุดให้พ้นจากภพต่ำๆ ก็ได้ (เป็นความเชื่อส่วนตัวของผมครับ) เพราะสังเกตุเห็นว่าสวนที่ลุงทำไว้ บางส่วนก็รักษาไว้ไม่ได้ มีคนมาขอใช้เป็นพื้นที่เพื่อสาธารณประโยชน์อื่นๆ ลูกหลานก็ต้องให้เขาไป ลูกชายสองคนก็ไม่สามารถสืบทอดวิธีปลูกต้นไม้เพื่อขยายพื้นที่, อาณาเขตของตนได้เหมือนลุง ผมจึงมองว่าถ้าลุงทั้งสองตายแล้วกลายเป็นรุกขเทวดา ก็คงจะเป็นรุกขเทวดาที่ต่างกัน สองแบบ คือ แบบที่เก่งการปกครองเลือกสรรอะไรดีๆ ไว้ได้ตั้งแต่ครั้งนานแล้ว และแบบที่เก่งการขยายอิทธิพล สามารถปลูกต้นไม้เืพื่อจับจองที่ดิน ขยายอาณาเขตได้ ผมจึงฝึกฝนการปลูกต้นไม้ตามแนวคิดของลุงทั้งสองคนต่อไป แม้ยามมีชีวิตอยู่จะไม่ได้รับการสอน ก็ตาม