ผีฤษีเฝ้าถ้ำ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่า ที่อาจารย์ฝ่ายฆราวาสของผมเล่าให้ผมฟังอีกที ท่านได้เล่าถึงครั้งที่ท่านจรไปตามป่าเขาและถ้ำต่างๆ ท่านได้พยายามบอกให้ใครหลายคน เช่น พระบางรูป ที่หลงยึดติดถ้ำ ให้หลุดพ้นจากการหลง ท่านบอกว่า พระบางรูป ทำสมาธิแล้วเห็นนิมิตรเป็นทองบ้าง สิ่งมีค่าบ้าง มากมาย ในถ้ำนั้นแล้วไม่ยอมไปไหน ยึดเอาถ้ำนั้นไว้ หวังว่าจะพัฒนาเป็นวัดอะไรแบบนั้น ท่านบอกว่าผีมันหลอกเอา มันทำให้เราเห็นนิมิตรด้วยอำนาจของมัน ครอบงำเรา ให้เราหลงเฝ้าถ้ำ จนตายคาถ้ำก็จะกลายเป็นผีปู่โสมเฝ้าถ้ำต่อจากมัน อยู่แทนผีมัน มันก็จะได้ไปจากที่นั่น ไปผุดไปเกิดเสียที ทว่า ไม่ว่าท่านจะพยายามบอกพระรูปไหน ก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะท่านเป็นเพียงฆราวาสธรรมดา แต่พวกเขาล้วนถือตัวว่าเป็นพระ มีศักดิ์สูงกว่า ท่านเล่่าอีกว่าบางถ้ำที่ท่านเคยพบเจอ ท่านเห็นเหลือแต่เศษผ้าเหลือง ไม่มีแม้แต่เศษซากศพ นี่แหละ แม้แต่พระก็ไม่รอด อย่าหลงผ้าเหลืองกันเกินไป หลงดีในตัวเองกันเกินไป เพราะสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ยังมีที่ลึกลับอีกมาก เหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่ เราไม่รู้ว่ามีอะำไรอยู่บ้าง ไม่ว่่าจะเป็นในถ้ำ ก็ดี หรือที่ไหนๆ ก็ดี อาจารย์จึงเตือนผมเสมอให้ระวังไว้ จะได้ไม่ประมาืท ทั้งยังสอนให้ผมรู้เท่าทัน "ผีเสื้อวัด" ด้วย ท่านว่าเดี๋ยวนี้คนหลงสร้างวัดกันมาก ตายไปเป็นผีเฝ้าวัด ผีเสื้อวัด กันเยอะ ท่านแนะนำให้ผมว่าไม่ต้องสร้างแล้ว พอแล้ว หลายคนทีเดียว ไม่รู้ตัวว่าเวลาทำสมาธินั้น อาจถูก "นิมิตรหลอก" เอาได้ จำต้องผ่านด่านนิมิตรหลอกให้ได้ก่อน จึงจะเห็น "โลกทิพย์ของจริง" ตาในที่เปิดแรกๆ ยังสับสนแยกไม่ออก จะถูกหลอกง่ายครับ บางคนถูกหลอกจนเลิกฝึกหรือไม่เชื่ออะไรที่เห็นไปหมดเลย ก็มี แต่ถ้าตาทิพย์ละเอียดดีแล้ว มันจะจับของจริง ระดับคลื่นความถี่จริงได้ มันจะไม่ถูกหลอกง่ายๆ แล้วครับ ทีนี้ ก็จะได้เห็นโลกทิพย์ของจริงได้ครับ


เนื่องจากอาจารย์ท่านนี้เป็นฆราวาส และไม่มีชื่อเสียงอะไร จึงไม่ค่อยมีใครเชื่อท่านนัก แต่ท่านก็ทำเครื่องรางของขลังบ้าง แล้วก็เลิกทำ ท่านว่าพวกเราเป็น "ผีบ้า" คือ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา ไม่เหมือนคนอื่นเขา ท่านล้อเล่นด้วยความเอ็นดูน่ะครับ นอกจากนี้ ท่านก็ระลึกชาติได้หลายชาติทีเดียว ท่านว่าแต่ละชาติไม่ค่อยได้เกิดเป็นคนธรรมดานัก มีแต่กษัตริย์บ้าง, พระดังๆ บ้าง ในบางชาติก็เคยเกิดเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็มี ซึ่งผมเข้าใจว่ามีบางท่านที่ได้ให้สัจสัญญากันไว้ว่าจะมาเกิดเพื่อช่วยเหลือพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในภัทรกัปนี้ ดังนั้น ท่านเหล่านี้ จึงเป็นหัวหอกสำคัญของศาสนาพุทธทั้ง ๕ ยุคกาลสมัย ไม่แปลกที่ท่านจะ่ผ่านยุคศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ มา  ซึ่งไม่ใช่อาจารย์ท่านนี้ท่านเดียว แต่ยังมีอาจารย์อีกท่านด้วย ซึ่งผมสัมผัสได้ว่าเข้าข่ายนี้ครับ



 

สัญญารัก 7 ปี

เรื่องนี้เกิดขึ้นมา 7 ปีแล้ว เริ่มต้นจากผมได้ไปเยือนอินเดียจึงบอกกับคนๆ หนึ่งว่าจะซื้ออัญมณีอินเดียมาฝาก แต่พอไปถึงอินเดียแล้วก็ดูไม่ออกว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม ไม่รู้ราคาและกลัวว่าจะถูกหลอกเอา  สุดท้าย ก็เลยไม่กล้าซื้อ ต้องซื้อพรหมอินเดียมาให้เขาแทน ต่อมา เขาเลยทวงสัญญาและเป็นผลให้ผมต้องให้สัจสัญญาอย่างหนึ่งกับเขา และผลจากสัญญานั้นผมไม่อาจจะมีแฟนเป็นคนได้อีก ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่าจะบวชตลอดชีวิตแล้วจึงคิดว่าน่าจะทำได้ เลยสัญญาไปไม่ได้คิดอะไรมากครับ จนถึงวันนี้ ก็ 7 ปีแล้ว อาจจะมีคนดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตผมบ้าง แต่ผมก็ต้องลาจากเขาไปโดยไม่ให้เขาต้องมาทรมานใจกับสัจสัญญาของผมกับคนอื่น และต่อมาอาจารย์คนหนึ่งของผมได้แจ้งแก่ผมว่าผมต้องแต่งงาน (แกได้ข้อมูลจากเบื้องบนและทำกิจตามคำสั่งเบื้องบนครับ) ทำให้ในที่สุดผมตัดสินใจแต่งงานกับป้ายวิญญาณในขณะที่ยังไม่สึกจากพระ (เพราะแต่งกับคนไม่ได้ไงครับ และไม่มีศีลพระข้อไหนห้ามด้วย) อีกทั้ง ผมยังได้รับการช่วยเหลือจากอาจารย์ครั้งหนึ่ง โดยอาจารย์ดึงเอาผีผู้หญิงในชุดจีนจำนวนมาก ออกมาจากตัวผม ผมได้อ่านและดูหนังหลายเรื่องทีเดียว มันซึ้งใจมาก และตรงกับชีวิตของผม อย่างเอี้ยก้วยก็ต้องรอเซียวเล่งนึ้งถึง 16 ปี หรือสัจจะสัญญาของอึ้งเซียง (ผู้คิดค้นวิชาเก้าอิม) ก็ยังยาวนานถึง ๙ ปี แล้วก็เรื่องนางพญางูขาวอีก ทำให้ผมคิดว่าบางครั้งเรื่องในโลก ยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบาย แต่ทุกอย่างล้วนมีเหตุมาก่อนทั้งสิ้น หากไม่มีเหตุแล้ว ย่อมไม่มีผล หากไม่มีเรื่องต้นมาก่อน แล้วไยจะมีผลบั้นปลายได้?


คนเราแต่ละคน มีเวรกรรมทำมาต่างกัน ไม่อาจจะบอกได้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิดแน่แท้ เพราะถ้าคนเราไม่มีกรรมเก่ามาก่อน สามารถเลือกกรรมใหม่ได้ทุกคนก็อยากเกิดมาได้แต่สิ่งดีๆ กันทั้งนั้นแหละ ใช่ไหมครับ? อย่างผม เป็นคนที่รักใครได้ไม่ยาก แต่ถ้าผมฝืนใจตัวเอง ก็จะถูกพลังเย็นครอบงำ ทำให้มีจิตใจเย็นเยือก เป็นคนเลือดเย็นทันที ผมต้องปล่อยให้ใจรักและชอบใครต่อใครไป ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ต้องหาทางเรียนรู้ที่จะอยู่ต่อไปอย่างไรให้ได้ ไม่เป็นภัยแก่คนอื่น ก็เท่านั้น และนี่ก็คือ สัญญารัก 7 ปีของผม




 

สาร์นต่างมิติ

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากผมไม่มีสามเณรคู่หูคอยช่วยงานแล้ว ทำให้ผมต้องลุยเดี่ยวและเริ่มได้รับข้อมูลต่างๆ เดิมที ผมไม่อาจแยกแยะหรือสรุปได้ว่าข้อมูลที่ได้รับเป็นอะไร? เช่น เป็นความคิดของผมเองไหม, เป็นความหลงหรือเปล่า?, นิมิตหลอนหรือไม่? ฯลฯ ผมสรุปและพิสูจน์ไม่ได้ทั้งหมด นี่คือ ความจริง ทว่า ข้อมูลหลายอย่างค่อนข้างตรงและพิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่าใกล้เคียงความจริง บางอย่างเปิดเผยได้ แต่บางอย่างก็เปิดเผยไม่ได้ ผมจึงสงสัยว่ามันจะเป็น "ญาณหยั่งรู้" ของผมเองได้หรือไม่? ผมซึ่งเคยฝึกสติปัฏฐานมากไม่น้อย จิตของผมก็ละเอียดพอควร ก็พิจารณาธรรมในธรรมดู แยกแยะดู อย่างแรก ผมพอจะคุ้นเคยกับญาณหยั่งรู้ของตัวเองระดับหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าเราต้องการใช้มัน ก็ใช้่ได้ทุกเวลาที่้ต้องการครับ ไม่ต้องรอเวลาหรือรออะไรจากใคร แต่มันจะไม่มากนัก มันช่วยเราได้นิดหน่อย ส่วนใหญ่ช่วยอธิบายขยายความอะไรแบบนั้น ไม่ได้ช่วยแบบเกินจริง แต่ข้อมูลที่ผมได้รับ บางอย่าง หรือหลายๆ อย่าง ผมรู้สึกมันค่อนข้าง "เว่อร์เกินไป" จนผมเองก็ไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่? ผมก็ได้แต่เขียนเอาไว้ก่อน จดเอาไว้ก่อน กันลืม แล้วค่อยมาดู มาพิจารณาอีกทีเท่านั้น และหลายครั้ง ข้อมูลเหล่านี้ "กำหนดไม่ได้" คือ เราไม่อาจกำหนดได้ว่าเราอยากรู้อะไร เวลาไหน? มันเหมือนไม่ใช่ญาณหยั่งรู้ของเรา เราเลยไม่อาจใช้มันได้ตามใจเราต้องการ อยู่ๆ มันก็แว้บเข้ามาเอง เสียอย่างนั้น แถมเป็นเรื่องอะไรหลากหลาย อย่างที่ไม่อาจจะควบคุมไำด้ด้วย สุดท้าย ผมจึงใช้สมมุติฐานเีรียกข้อมูลเหล่านี้ว่า "สาร์นต่างมิติ" ไว้ก่อน แล้วจึงค่อยนำข้อมูลเหล่านี้มาศึกษาต่ออีกที ว่ามีความน่าเชื่อถือ ความแม่นยำ มากน้อยเพียงใด ก็เท่านั้น


ผมเริ่มได้รับสาร์นต่างมิติ โดยไม่ผ่านหูทิพย์และตาทิพย์ แต่มันมาเหมือน "ความคิด" ของเรานี่เอง ทว่า อย่างที่ผมบอก มันแตกต่างจากความคิดและญาณหยั่งรู้ของเรา เพราะมัน "ควบคุมไม่ไ่ด้" ครับ ถ้ามันเป็นความคิดของผม ผมน่าจะควบคุมมันได้สิ แน่นอน ผมเป็นคนปกติ มีความคิด และความคิดของผม ก็ยังมีอยู่ ทำงานอยู่ แต่สิ่งที่ผมได้รับนั้น มันแตกต่างจากความคิด แตกต่างจากญาณหยั่งรู้ แตกต่างจากอะไรที่จะเรียกได้ว่า "เป็นของผม อยู่ในตัวของผม" เพราะบางครั้ง มันก็แว้บเข้ามา บางครั้ง พยายามแค่ไหน มันก็ไม่มีอะไรเลย นอกจาก "เราิคิดไปเอง" จากนั้นมา ผมจึงได้พบว่า มีฝรั่งทำหน้าที่สื่อสารต่างมิติด้วย เขาเขียนบทความเรื่องต่างๆ ลงในอินเตอร์เน็ต ก็เลยลองอ่านดู ตกใจมากครับ มันสอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้รับมากๆ แต่บางส่วนของฝรั่งไม่มี หรืออธิบายไม่ชัด ของฝรั่งจะดีตรงที่เขาใช้ภาษาสวยหรู อ่านแล้วโน้มน้าวใจให้คล้อยตามได้ดี แต่ข้อมูลหรือรายละเอียดบางอย่าง ขาดตกบกพร่องไป ทำให้คนอ่านอาจเข้าใจผิดได้ ส่วนผมก็มาได้ส่วนที่ขาดตกบกพร่องนั้น ผมจึงทำหน้าที่โพสกระทู้เกี่ยวกับการสื่อสารต่างมิติบ้าง เพื่อเสริมเข้าไป หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติในอนาคต เท่าที่จะทำได้ครับ



 

เอาบ้านเป็นวัด

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมบวชเป็นพระ กลับจากการจรจาริกแสวงธรรม หลังจากได้พบ "พระไม่มีวัด" มาแล้ว ผมก็กลายเป็น "พระไม่มีวัด" อีกเช่นกัน จริงๆ แล้ว ผมไม่มีวัดมาก่อนที่จะเจอกับหลวงพ่อท่านนี้ด้วยซ้ำ เนื่องจากภายหลังที่ผมออกจากวัดในชุมชนเพื่อไปยังอีกวัดหนึ่ง แล้วปล่อยให้สามเณรอยู่รูปเดียวนั้น หลังจากสามเณรสึกแล้วออกจากวัดไป พระรูปอื่นๆ ก็ย้ายข้าวของผมออกทันที แม่ต้องไปขนกลับบ้านก็เลยทำให้ผมไม่มีที่อยู่ ผมไม่อยากมีเรื่อง แต่รู้อยู่ว่าใครทำอะไร มีนิสัยอย่างไร ก็ปล่อยไปตามกรรมครับ ในที่สุดผมจึงต้องมาพักที่บ้านชั่วคราว พอเข้าถึงช่วงเข้าพรรษา ผมจึงต้องจำพรรษาที่บ้านของผมเอง เพราะเป็นพระไม่มีวัด ซึ่งผมก็ถือโอกาสพลิกวิกฤติมาสร้างความเจริญให้กับตระกูลไปเลย คือ ผมปรับให้บ้านพัฒนาึขึ้นเป็น "สำนักปฏิบัติธรรม" และมีผมเป็นพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ รวมแล้วได้ ๓ พรรษาครับ มันทำให้บ้านและตระกูลเปลี่ยนไป เหมือนเปลี่ยนวรรณะจากวรรณะไพร่ เป็นวรรณพราหมณ์อะไรอย่างนั้น ก็ส่งผลให้แม่ผมเปลี่ยนไปด้วย หลังจากนั้น แม่ก็ปฏิบัติธรรมมาตลอด และเพื่อให้มีสิ่งสมมุติประจำอยู่ ให้คนในบ้านเข้าใจชัดเจน ผมจึงต้องจัดโต๊ะหมู่บูชาขึ้นเหมือนตำหนักทรงอื่นๆ คือทำให้มันดูจริงจังเปลี่ยนจากเดิมไปเลย แต่ผมไม่มีการเข้าทรงนะครับ เป็นแค่การปฏิบัติเองที่บ้านเราเท่านั้น และถ้ามีญาติธรรมมาจากแดนไกลไม่มีที่พัก เราก็ต้อนรับและรับรองที่พักให้ เหมือนสถานธรรมทั่วไปครับ ซึ่งทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นโดยผมเองก็ไม่ได้ตั้งเจตนาจะให้เป็นตั้งแต่แรก แต่มันมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างบีบบังคับมาก่อน ก็เลยต้องพลิกสถานการณ์ร้ายๆ ให้กลายเป็นโอกาสดีๆ ครับ ช่วงแรกมีแรงต่อต้านมากจากบางคน ที่เขาเห็นว่่ามันผิด หรือเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ทั้งพ่อผมก็ไม่ยอมรับครับ แต่ผมก็ต้องอดทน ป่วยการที่จะอธิบาย ต่อให้อธิบายเท่าไรก็ไม่มีผล ยิ่งทำให้เป็นเรื่องมากขึ้นครับ เงียบๆ เฉยๆ ไปดีกว่า เพราะถ้าดูเปลือกนอกผิวเผิน มันเป็นเหมือนการแหกคอก หรือทำสิ่งผิด แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง มันดีต่อบ้านและดีต่อตระกูลเรามากกว่าครับ เพราะการมีพระมาจำพรรษาอยู่บ้านถึง ๓ พรรษา ผมคิดว่าเป็นมงคลแก่บ้านครับ


จากนั้นมา บ้านผมก็เีิ่ริ่มเปลี่ยนไป จากยุคที่ตาผมอยู่ ดูแลทุกคนได้ดี แต่ละคนเกรงใจ จึงทำให้อยู่ด้วยกันอย่่างสงบสุข ไม่มีเรื่องอะไรกัน พอตาเสียแล้ว พ่อก็อารวาด เหมือนคนที่เก็บกดว่าตัวเองเป็นสามีจะได้เป็นใหญ่ในบ้านเสียทีอะไรแบบนั้น พอพ่อมาเป็นผู้นำครอบครัว แม่ก็แย่ครับ ทุกอย่่างไม่มีความเจริญ มีแต่ความเสื่อมลงๆ จนบ้านที่เคยมีที่นา ก็ต้องขายหมด ในช่วงที่ทุกอย่างกำลังจะหมดไปนั่นเอง ผมจึงได้กลับมาบ้าน แล้วค่อยๆ ยกบ้านขึ้นเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้ประกาศตัวโด่งดังอะไร ปฏิบัติกันเองในบ้านครับ บ้านก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เริ่มมีเงินไหลเข้ามาบ้านมากขึ้น แม่เริ่มสบายขึ้น ผมมองเห็นอดีตชาติของพ่อชาติหนึ่ง พ่อแค้นพวกเรามากในชาตินั้นเลยสาบานว่่าจะมาล้างผลาญครอบครัวเราให้หมดครับ ไม่รู้จริงหรือเปล่า? เพราะไม่มีอะไรพิสูจน์และยืนยันได้แต่พ่อก็ทำไปไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่เหลือที่นาในยุคของพ่อ (พ่อมักโทษลูกว่าเพราะส่งลูกเรียน ทว่า ลูกแทบไม่ได้ขอเงินทางบ้าน เพราะลูกได้ทุนบ้าง กู้เงินทุนการศึกษาฯ บ้างครับ) ผมจึงกลับมาปฏิวัติเงียบเสียเลยเพราะถ้าปล่อยต่อไป บ้านคงฉิบหายแน่ (ขอโทษที่ใช้คำแรงครับ มันอย่างนั้นจริงๆ) เพราะแม้กระทั่งผมปลูกต้นไม้พัฒนาบ้าน ผมก็ถูกทำลายโดนพ่อเป็นประจำ และจะพูดไม่ได้เลย จะกลายเป็นเรื่อง พ่อจะโวยวายใหญ่โตขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ต้องการจะทะเลาะ เราแค่อยากจะบอกว่าระวังต้นไม้เราด้วย เราปลูกไว้ พัฒนาบ้าน ซึ่งมันไม่ได้ปลูกเกะกะ (ผมชอบปลูกต้นไม้ในป่ารกๆ ที่ไม่มีใครสนใจ พอปลูกแล้วพ่อก็เข้าไปทำลายมัน ก่อนปลูกพ่อก็ไม่สนใจมันครับ พอผมปลูกแล้วเป็นเรื่องทุกที) ตอนนี้ ครอบครัวผมไม่มีที่นาแล้ว แต่ผมกำลังหาที่นาใหม่ให้แม่ที่ดีกว่า "นาดิน" นั่นคือ "นาบุญ" ครับ คนเราต้องมีที่ๆ จะสร้างคุณงามความดี นั่นแหละ "นาบุญ" จึงจะอยู่รอด มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้ แม้จะผิดแตกต่างจากคนอื่นไป แต่ผมว่ามันดีต่อครอบครัวครับ






 

พระไม่มีวัด

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมบวชเป็นพระแล้ว ได้จรจาริกไปเพื่อแสวงหาธรรมเพิ่มเติม ที่สถานธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาจารย์เป็นฆราวาสคอยดูแล ณ ที่นั่นเอง ผมได้พบกับท่านอื่นๆ ที่แสวงหาธรรมเช่นกัน เราจึงได้พูดคุยสนทนาธรรมกันบ้างเล็กน้อย และผมก็ได้สนทนาํธรรมกับหลวงพ่อรูปหนึ่ง ดูบางทีท่านเหมือนคนที่ยังไม่แก่ เหมือนหลวงพี่ ดูกระฉับกระเฉงและไม่ทำตัวเป็นคนแก่ เปิดใจเรียนรู้ ไม่ถือตัวเท่าไร แต่ดูบางทีก็จะรู้ว่าท่านน่าจะประมาณหลวงพ่อได้แล้ว ท่านบวชมานานพอดู แต่ท่านเป็นพระไม่มีวัด คือ ท่านจะจรจาริกไปเรื่อยๆ จากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง ไม่ได้อยู่ประจำ และไม่มีกำหนดที่แน่ชัด แล้วท่านได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งท่านปฏิบัติสติปัฏฐานกับพระอาจารย์ของท่านนั้น ท่านปฏิบัติไปจนถึงจุดหนึ่ง ก็เห็น "กายในกาย" ของตนเอง คือ เห็นกายอันเป็นทิพย์, กายละเอียดของตนเอง มีลักษณะใสเหมือนแก้ว แต่เปล่งประกายเหมือนเพชร เมื่อท่านค่อยๆ เคลื่อนแขนขึ้นก็เห็นแขนแยกออกเป็นหลายๆ แขน เหมือนเป็นพันกรอย่างนั้น แล้วท่านก็ไปถามพระอาจารย์ๆ ก็บอกว่่า "สักแต่ว่ารู้ไป" ซึ่ง ณ ที่นั่น ยังมีพระรูปอื่นๆ อยู่อีก มีพระหนุ่มรูปหนึ่งตั้งใจปฏิบัติอยู่มาก แต่ยังติดขัดบางประการ ไปต่อไม่ได้ คือ อาศัยวิชาความรู้ที่ได้รับมา ปฏิบัติไปแล้ว ติดขัด ไม่อาจเดินหน้าต่อได้ ผมก็สนทนาด้วย แต่ไม่เหมาะที่จะอยู่ช่วยเหลือนานๆ ทั้งยังเห็นว่าหลวงพี่อีกท่านที่ได้คุยกันนี้ น่าจะเหมาะสมช่วยเหลือพระหนุ่มรูปนั้นมากกว่า อีกทั้งยังเห็นว่าทั้งสองท่านมีศรัทธาต่อกันอยู่ น่าจะมีบุญวาสนาได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จึงไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งมากนัก ด้วยพระหนุ่มเึคยมีปัญหาเรื่องพลังงานแทรกเข้ามา ทำให้กลายเป็นคนดุร้าย เขาพยายามสลัดสิ่งนั้นออกไป แต่ได้เพียงชั่วขณะก็จะกลับมาอีก ผมได้แต่แนะว่าให้ปฏิบัติเบาๆ ลง ใกล้สภาวะนิ่งมากขึ้น ค่อยๆ ปรับไป ส่วนหลวงพี่ ก็เข้ามาช่วยอีกแบบ คือ ท่านว่าท่านพอมีคาถาไล่ ... ให้ออกไป อะไรแบบนั้น ก็เลยลองดู


ในช่วงหนึ่งของการปฏิบัติ หลวงพ่อรูปนี้ ก็นั่งสมาธิแล้วปล่อยตามธรรมชาติ (เป็นแบบของการฝึกที่นี่) ก็เอนหลังแล้วนอนไป ปล่อยตามอาการภายใน แล้วใช้สติพิจารณาดูเฉยๆ ไม่ได้บังคับร่างกาย ให้ต้องอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง จู่ๆ ก็มีแม่ชีอีกรูปเข้ามา แล้วก็ใช้เท้ากระทืบท้องท่าน แล้วก็มีฆราวาสอีกท่านเข้ามาใกล้ๆ เอามือฟาดเสาเหล็กดังสนั่น (คล้ายๆ กับทรงเจ้าน่ะครับแต่ไม่ใช่นะครับ) แล้วดึงตัวแม่ชีออกไปจากพระ เมื่อหยุดปฏิบัติแล้ว แม่ชีก็บอกว่าเบื้องบนสั่งให้ทำอย่างนั้น ส่วนฆราวาสอีกท่านก็บอกว่าเทพกวนอูมาช่วยไล่มาร ส่วนผมก็ดูเฉยๆ เพราะปฏิบัติไปบ้างแล้ว กำลังพักอยู่ จึงได้เห็นเหตุการณ์พอดี ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากครับ เราเข้าใจว่าขณะอยู่ในกรรมฐานแบบนี้ ก็อาจไหลไปตามอะไรๆ ได้ แล้วพอออกจากกรรมฐานนี้ ก็หมดไป พ้นไปครับ เราก็ใช้สติพิจารณาตัวเราไปครับ มันไม่มีอะไรผิดหรือถูก เพียงแต่เราจะวนติดอยู่ในสภาวะแบบใดแบบหนึ่งนั้น นานแค่ไหน ก็เท่านั้นเอง เช่น บางคนคิดว่าสภาวะนั้นๆ ซึ่งตนเข้าถึงอยู่ ถูกต้องแล้ว อาจจะวนอยู่แต่ในสภาวะนั้นๆ อยู่นาน จนไม่ออกไปไหน และไม่เกิดปัญญาก็มี ปฏิบัติอยู่ที่นั่นได้พอควรแล้ว ผมก็จรจากมา เนื่องจาก การอยู่ในสถานที่ที่ตนนิยมมากไป ทำให้ยึดติดได้ครับ อีกทั้งที่นั่นเจ้าของสถานที่ยังสร้างกุฎิที่สัปปายะ สงบร่มรื่นไว้ให้อีกด้วย เ็ป็นกุฎิที่ไม่มีพระอยู่ถ้าผมอยู่ประำจำก็จะกลายเป็นเจ้าของกุฎิไป ไม่มีใครว่าครับ ประกอบกับมีพระอีกรูปที่ไม่มีที่พัก กางเต้นท์อยู่ข้างนอก ผมก็เลยรีบกลับดีกว่า เพื่อท่านจะได้มีที่พัก ส่วนผมก็ปฏิบัติมากพอแล้ว จึงจรจาริกต่อไปครับ



 

รับเสด็จพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังไม่ได้บวชเป็นสามเณรหนึ่งปี ช่วงนั้นลาออกจากงานแล้วเป็นฆราวาสห่มขาวบ่อยๆ จรจาจิกแสวงธรรมไปทั่ว วันหนึ่งได้คุยกับคนๆ หนึ่ง เขาพูดถึงวัดๆ หนึ่งที่เชียงใหม่ ผมก็ตัดสินใจไปทันที โดยไม่ทราบเรื่องราวอะไรมาก่อน พอไปถึงปรากฏว่าเป็นวันที่เขาจัดงานบุญใหญ่กันพอดี มีทั้งชาวไทยภูเขาและชาวพื้นราบมาร่วมด้วย มีเดินขบวนแห่ด้วย เรียกว่าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้นัดหมาย ก็เลยต้องนอนในโบสถ์ แล้วตกเย็นก็มีรถบัสนำพาคนทำบุญมาอีกมากมาย ทำให้คนนอนเต็มวัดไปหมด ที่พักไม่พอ บางคนก็มานอนในโบสถ์เหมือนผมด้วย เ็ต็มไปหมดเลย รุ่งเช้า ตื่นขึ้นมา ก็มีละอองไอน้ำที่คล้ายๆ หมอกหนาๆ แต่มันมีไอน้ำเย็นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่หมอก มาเต็มไปหมด จนแทบมองอะไรไม่เห็นเลย เป็นอยู่แค่วันเดียวครับ วันอื่นก็ไม่มีอีก ผมก็ได้ืำืทำบุญไปตามประเพณี จนถึงเวลาหมดช่วงงานบุญแล้ว จึงออกสำรวจบริเวณรอบๆ ผู้คนที่นี่ตั้งใจกินเจกันครับ ไม่กินเนื้อสัตว์เลย อาหารทุกอย่างเป็นเจทั้งหมด และเป็นการกินเจทั้งชีวิต ทั้งครอบครัว ทั้งชุมชนด้วย แปลกดี ตกค่ำ ก็พากันมาสวดมนต์ในโบสถ์กันครับ ทุกวันเลย ไม่ใช่เฉพาะแต่วันพระเท่านั้น แล้วผมก็ไปเจออีกวัดหนึ่ง สร้างโดย "ครูบาฯ" องค์เดียวกัน อยู่ไม่ไกลจากกัน ที่วัดนี้มีเจดีย์ใหญ่ด้วย สวยงามดี ผมเดินสำรวจไปรอบๆ อยู่คนเดียว แล้วจู่ๆ ก็มีพระหนุ่มรูปหนึ่งมาจากไหนไม่ทราบ ท่านมาสนทนาธรรมด้วย คุยกันไปมา มีชาวบ้านทำงานขูดหยดเทียนที่ติดอยู่ตามพื้น ได้ยินเราคุยกัน เขาก็เงียบฟังหมดทุกคนเลย (ชาวบ้านเอาจริงกับธรรมมาก) จนถึงจุดที่เราคุยกันยากขึ้นๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง พวกเขาก็เลยไม่ฟังต่อ ท่านบอกว่าท่านอายุยังน้อย แต่ไม่อยากมีครอบครัวแล้ว เอานิพพานดีกว่า แล้วผมก็ได้ทำบุญสนับสนุนท่านไปด้วย "ไตรจีวรชุดหนึ่ง" ในช่วงเวลานั้น แม่ผม เป็นห่วงเพราะผมไปนานพอควร ก็ตามมา แล้วได้ทำบุญไปด้วยกัน พระรูปนี้แปลกดี อยู่ในกุฏิรูปเรือด้วย


ก่อนหน้านั้น ช่วงที่แม่ของผมยังไม่มานั้นเอง เป็นช่วงท้ายของงานบุญ คนอื่นๆ เริ่มกลับกันหมดแล้ว ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เอาพระพุทธรูปแกะสลักจากหินหยกหรืออย่างไรไม่ทราบ มาด้วยกัน ๒๘ องค์ เพื่อบรรจุไว้ในพระเจดีย์นั้น ก่อนที่เจดีย์จะปิดครับ ผมก็อยู่แถวนั้นพอดี คนๆ หนึ่งเขาเหมือนพราหมณ์ มีอาชีพดูหมอด้วยครับ เขาเลยเรียกผมไป ให้ช่วยถือองค์พระพุทธรูปแกะสลัก (เพราะมีถึง ๒๘ องค์ไงครับ) เขาก็ทำพิธีเชิญอะไรด้วย คือ อัญเชิญพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๘ พระองค์ ผมก็เลยถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่ทำพิธีนั้น คนที่เป็นหมอดูก็บอกว่า เขาเห็นพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๘ พระองค์เสด็จมาด้วย องค์ปฐมอยู่บนยอดเจดีย์ องค์อื่นๆ อยู่รอบๆ ผมงงนิดหนึ่ง เพราะใน ๒๘ พระองค์นี้มีพระศรีอาริยเมตตรัยด้วย แล้วท่านยังไม่ได้ตรัสรู้นี่นา? ผมเลยถามว่าแล้วเห็นพระศรีอาริยเมตตรัยไหม? เขาก็ว่าเห็นด้วย แปลกดี ผมคงไม่ขอสรุปว่าจริงหรือเท็จ, ถูกหรือผิด ประการใดนะครับ เอาเ็ป็นว่ามีประสบการณ์พบเจอมาเช่นนี้ ก็แล้วกัน