เจ้าแม่กวนอิมบนโลกมนุษย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนผมจะบวชเณรปีหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังปฏิบัติในผ้าขาวตามสำนักปฏิบัติต่างๆ ซึ่งตอนนั้นผมยังอยู่ต่างจังหวัด คือ ที่ชลบุรี ยังไม่ได้กลับบ้าน ผมได้ไปปฏิบัติสมาธิตามแนวทางของท่านหนึ่งซึ่งเป็นฆราวาสหญิง จากเดิมที่เป็นคนนั่งสมาธิไม่เป็นเลย และนั่งได้ไม่นาน ผมก็นั่งได้นานขึ้นและเริ่มเพลิน ติดใจการนั่งสมาธิ ซึ่งในการปฏิบัตินี้ค่อนข้างเคร่งครัด เช่น ห้ามไม่ให้พูดกันเลย เพราะอาจจะรบกวนท่านอื่นๆ เนื้อหาในการปฏิบัติก็เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติปกติ คือ นั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกลม ยังไม่มีการวิปัสสนา เมื่อนั่งสมาธิแล้วมีอาการอย่างไรบ้าง ก็จะมีการ "สอบอารมณ์" ก็จะมีผู้ที่มาช่วยคุยกับเราให้ว่าเราเ้ข้าทางบ้างหรือยัง? อะไรทำนองนั้น ผมก็ปฏิบัติไป เหนื่อยล้าไปบ้าง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ทำไป ไม่ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างตามที่เขาให้ฝึกหรอกนะครับ เหมือนคนทั่วไปครับ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย หรือทำได้ทุกอย่าง ก็หาไม่ สถานที่ปฏิบัติก็คือ "วัดเขาพุทธโคดม" บนยอดเขามองลงมาก็เห็นทะเลด้วย บรรยากาศดี สงบดีทีเดียว และเขาปฏิบัติกันมายาวนานหลายต่อหลายรุ่นแล้ว เมื่อถึงวันสอบอารมณ์ ผมก็ถูกแบ่งกลุ่มไปฟังหลวงพ่อรูปหนึ่ง แต่ผมเฉยๆ ไม่รู้สึกพิเศษอะไรกับท่านนี้ ที่รู้สึกพิเศษคือ "อาจารย์หญิงท่านหนึ่ง" ซึ่งเป็นฆราวาสมาช่วยสอบอารมณ์ให้อีกกลุ่มหนึ่งครับ อาจารย์ไม่ได้คุยในอาคารเหมือนกลุ่มผม แต่ชวนกลุ่มนักปฏิบัติไปคุยที่เชิงเขา นั่งกันอยู่นานกว่ากลุ่มของผม


เมื่อผมเสร็จธุระในกลุ่มของผมแล้ว จึงเลียบๆ เคียงๆ ไปดูกลุ่มอื่นบ้าง ก็เห็นกลุ่มของอาจารย์หญิงท่านนี้ แต่ที่แปลกและตกใจอย่างแรกคือผมรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างคล้ายประกายเพชรส่องออกมาจากดวงตาของอาจารย์หญิงท่านนี้ (โดยไม่ได้หลับตาเพ่งดูนะครับ) ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้มีอะไร แต่ผมเหมือนเห็นจริงๆ ก็งงสิครับ? เอ ผมเห็นอะไรน่ะ? ผมเห็นจริงหรือเปล่า? ก็เลยเผลอมองตาอาจารย์ คือ มองว่ามันใช่อย่างที่ผมเห็นจริงๆ หรือเปล่า มองอยู่นั่นแหละครับ แล้วอาจารย์หญิงท่านก็มีลักษณะดี ไม่ถึงกับนางงามอะไร ขนาดนั้นแต่ก็มีลักษณะที่ดี (หน้าตาดีครับ) เหมือนคนมีบุญบารมี นั่นแหละครับ นอกจากนี้ ผมยังรู้สึกได้ถึง "ความร่มรื่นชุ่มเย็น" รอบกายของอาจาีรย์ท่านนี้ ในหัวผมก็มีข้อมูลผุดขึ้นมาว่า "รัศมีสองเมตร" ซะงั้น คือ รอบๆ กายของอาจารย์ท่านนี้ จะมีพลังสงบเย็น ทำให้คนที่อยู่รอบๆ รัศมีสองเมตรสัมผัสได้และมีความอยากคุยอยากอยู่ใกล้ชิด แต่ผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยนะครับ เพียงแต่สงสัยในสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้เท่านั้นว่าผมเห็นจริงหรือเปล่า? หรือว่าแค่ตาฝาดไป ในที่สุด ผมก็เลยเดินเข้าไปฟังเลยครับ ง่ายดี ไม่ต้องคิดมาก ในกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องประสบการณ์ในการปฏิบัติอยู่แต่ผมไม่ได้ทราบประวัติอาจารย์ท่านนี้ จู่ๆ ผมก็ดันถามไปว่า "ตอนที่อาจารย์ไปธุดงค์ เป็นอย่างไรบ้าง?" ท่านก็ตอบมาว่าเป็นอย่างไร พร้อมทั้งเล่าประสบการณ์ให้ฟังคือ อาจารย์เคยบวชและไปธุดงค์เดี่ยวด้วย ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง และก็อาจารย์ปฏิบัติจนถึงขั้นเห็นกายของตัวเองกลายเป็นดินแล้วสลายไป (เหมือนหลวงพ่อพุธ) ขณะที่กำลังทำสมาธินั้นแต่คุณเอะใจอะไรบ้างไหมว่า "แล้วผมรู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์ท่่านนี้เคยธุดงค์ถึงได้ถามว่าในตอนที่อาจารย์ธุดงค์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?" เพราะก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้เข้ามาฟังและไม่เคยทราบประวัติของอาจารย์เลย แล้วผมไปเอาข้อมูลเรื่องอาจารย์ท่านนี้ธุดงค์มาจากไหน เออ ตอนนั้นผมก็งงตัวเองแต่ก็ไม่มีใครสังเกตและไม่มีใครสักคนเอะใจว่า "อ้าว แล้วไอ้หมอนี่มันรู้ได้ไงละว่าอาจารย์เคยธุดงค์?" นั่นหละ ผมเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้บ่อยๆ ผมรู้อยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ได้มารู้กับผมด้วยหรอก เราก็คุยกันไม่ต่างจากคนทั่วๆ ไป เท่านั้นเอง ผมเลยรู้สึกว่าอาจารย์หญิงท่่านนี้ มีลักษณะคล้ายเจ้าแม่กวนอิม ก็แค่นั้น




 

พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลืออยู่ หลังจากที่หลวงปู่เทพโลกอุดรมาโปรดและจากไปแล้ว เราก็ยังบำเพ็ญธรรมต่อไป แน่วแน่ ไม่ได้คิดที่จะรีบนิพพาน ทั้งนี้ ผมเคยได้อ่านเรื่องราวของหลวงปู่มั่น ที่ได้รับการโปรดจากพระพุทธเจ้าโดนเสด็จทางให้เห็นทางมิติทิพย์ และอาจารย์ท่านหนึ่งของผม ก็เคยได้รับการโปรดจากพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ท่านไม่ได้เห็นด้วยตาทิพย์ ท่านท้าทายพระพุทธเจ้าเลยว่า "ถ้าท่านมีจริง ให้มาโปรด เพราะวันนั้น ท่านพร้อมแล้ว" แล้วท่านก็เข้าสมาธิ ในวันนั้นเองท่านก็ได้สิ่งที่ท่านสงสัยและสำเร็จธรรมในที่สุด เหมือนกับพระพุทธเจ้ายังทรงทำกิจอยู่และโปรดสัตว์ได้ ไม่เกี่ยวว่าท่านจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว? และไม่ใช่ว่าท่านดับขันธปรินิพพานแล้วจะหายสูญไปหรือไม่สามารถทำกิจได้ ก็หาไม่ เรื่องราวการโปรดสัตว์ของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีเล่ากันต่อมาหลังจากท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้วอีกมากมาย ในขณะที่ใครหลายคนมักคิดว่า "นิพพานนั้น หมายถึง หายสูญ, ดับสิ้นไป, ไม่มีอะไรอีก, ว่างหมด" ก็เลยทึกทักเอาว่าพระพุทธเจ้าที่ดับขันธปรินิพพานแล้วนั้น จะต้องดับสูญไป, สิ้นไป, ว่างไป ฯลฯ ไม่มีอีก และไม่สามารถมาโปรดสัตว์ได้อีก อะไรแบบนั้น ซึ่งผมมองว่าเป็นความเข้าใจผิด ตั้งแต่ต้นในเรื่องนิพพาน จนทำให้เข้าใจผิดในสภาวะของผู้ที่นิพพาน


และแล้วผมและสามเณรคู่หู ก็ได้พบกับปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าด้วยตัวเราเอง โดยตาเปล่า ไม่ต้องมีตาทิพย์ก็เห็นได้ โดยวันนั้น ผมกำลังจะออกบิณฑบาตรในช่วงเวลาเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นนั้น ผมก็ออกมารอคณะฯ ก่อนที่จะแยกแยะไปตามแต่ละเส้นทางบิณฑบาตรนั้นเองพระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นทางเดิม ในขณะที่ฟากฟ้าฝั่งตะวันตกก็มี "พระอาทิตย์สีขาวบริสุทธิ์" ขึ้นเช่นกัน เป็นสิ่งที่คล้ายพระจันทร์แต่ไม่ใช่ เพราะไม่มีรูปลวดลายกระต่าย อีกทั้งยังดวงโตมากๆ และลอยลงลับไปเร็วกว่าดวงจันทร์ที่ผมเคยเห็นนั้น มาก ดูแล้วไม่น่าจะใช่ดวงจันทร์จริงๆ แต่มีลักษณะคล้ายดวงจันทร์เพราะสีออกขาวบริสุทธิ์นวลตา เวลานั้นผมจึงบอกให้สามเณรมาดู และมีชายอีกคนหนึ่งที่ผ่านมาพอดี เขาก็เข้ามาดูด้วย (เป็นพยานในการรู้เห็น) ภายหลังเขาก็ไปเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าเห็นสิ่งนี้ใหญ่เท่าๆ กระด้ง แต่ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครเชื่อ เพราะไม่มีเรื่องตัวเลขหวยอะไรประมาณนั้นมังครับ ผมก็เลยขอให้สามเณรสื่อสารทางทิพย์ ถามดูว่านี่คืออะไร? ก็ทราบว่าเป็นปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นเป็น "ปริศนาธรรม" ผมก็ยังตีไม่ออก ก็เลยให้สามเณรช่วยลองไปถาม "พระกษิติครรภ์" ที่อยู่เบื้องล่าง ท่านก็กลับบอกว่า "อย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ" (อ้าว ยังไง? งง) คือ ผมกำลังสงสัยว่าปริศนาธรรมนี้ หมายถึง สิ่งสองสิ่ง ๑. พระอาทิตย์ ก็อุปมาเหมือนผู้นำทางโลก ๒. พระจันทร์ ก็อุปมาเหมือนผู้นำทางธรรม อะไรประมาณนั้น ขึ้นในทางตรงกันข้าม ก็เหมือนทางเดินสองทางที่อยู่ตรงข้ามกัน ให้เลือกเอาว่าจะเดินทางไหน อะไรแบบนั้น ทว่า ผมก็ไม่รู้ว่าอย่างที่ผมคิดหรือสงสัยนี้ มันถูกหรือเปล่า ก็เลยยังไม่ได้สรุปอะไร ก็เลยจบลงเท่านี้่ครับ จบ!



 

หลวงปู่เทพโลกอุดรมาโปรด

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูอยู่ด้วย ช่วงนั้น เราบำเพ็ญธรรมยิ่งยวด จนมีครูบาอาจารย์หลายท่านในทาง "มิติทิพย์" ที่เข้ามา่ช่วยเรามากมาย หนึ่งในนั้นที่มาโปรดเราก็คือ หลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งท่านมาด้วยกายทิพย์ไม่ใช่กายเนื้อ ในคราวนั้นผมและสามเณรคู่หูกำลังบำเพ็ญอิทธิฤทธิ์ คือ การฝึก "พันกร" อยู่ ซึ่งการฝึกนี้ก็เป็นไปตามแบบที่ผมได้รับมาจากอาจารย์ที่มีสังขารอยู่บนโลกแต่ว่าท่านไม่ได้บอกโดยตรง ท่านปล่อยให้เรียนรู้และค้นหาเอง แล้วผมก็ได้ในแบบของตัวเอง คือ หลังจากที่มีพลังปราณมากพอระดับหนึ่ง เราจะฝึกมือให้เหมือนมีหลายๆ มือ เช่น ผมชวนให้สามเณรล้างถ้วยชามที่พระทั้งหลายฉันแล้ว ไม่มีใครล้าง ให้มาช่วยกันล้าง และทำให้คล่องแคล่วรวดเร็ว แรกๆ สามเณรรู้สึกไม่ยุติธรรม เหมือนโดนหลอก โดนแกล้ง หรือต้องทำล้างถ้วยชามเองอยู่ตลอด อะไรแบบนั้น ผมก็บอกเขาว่ามันคือเคล็ดลับของการบำเพ็ญ "พันกร" แล้วเดี๋ยวเข้ากุฏิจะบอกให้มากกว่านี้ ว่าแล้ว เราก็เข้ากุฏิ ผมก็แนะนำการฝึกพันกรโดยการรำพันมือ เหมือนหนังจีนกำัลังภายในหน่อยๆ แต่มันไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้นนะ มันเป็นการเพิ่มพูนอิทธิืฤทธิ์ให้ได้ถึงพันกร ก็เท่านั้นเอง และแล้ว ระหว่างที่ฝึกกันนั้น ผมก็ให้เขาทำสมาธิเปิดตาทิพย์ดูไปด้วยว่า "กรเพิ่มขึ้นเท่าไร?" เขาก็บอกเป็นระยะๆ เริ่มจากค่อยๆ เพิ่มจากสิบ, เป็นร้อย ฯลฯ


และแล้ว "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ก็มาเยี่ยมเรา ท่านโยนหินถามทางก่อนว่า "สามเณรรำไม่เหมาะนะ เพราะถ้ามีคนมาเห็นเขา อาจจะกลายเป็นเรื่องได้" โอเค ผมก็เลยบอกให้สามเณรคู่หูปิดประตูกุฏิก่อน (ตอนนั้น ลืมปิดประตูกุฏิ) แล้วเราก็ฝึกกันต่อ ผมก็นึกในใจว่า "ดูท่า ท่านจะหยั่งเชิงดูก่อนว่าเราจะเอาทางไหน ถ้าเราจะบำเพ็ญบารมีต่อไป เราก็จะเอาพันกรแน่ แต่ถ้าเราจะเอานิพพานเลยตรงนี้ ก็คงไม่เอาพันกร" แล้วก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะผมเลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญบารมี แน่วแน่แล้ว ท่านหยั่งเชิงเท่านั้น ท่านก็จากไป (ใช่แล้วเป็นวิสัยปกติของพระอรหันตสาวกจริงๆ ที่จะไม่ยุ่งเรื่องของพระโพธิสัตว์) ภายหลังท่านได้สื่อให้เราทราบด้วยถึงการดำรงอยู่ของสายธรรมของท่าน ซึ่งท่านได้กล่าวว่าสิ้นสุดลงแล้ว (ทางสังขาร) และท่านได้กล่าวถึงอายุขัยของท่านด้วย (อายุขัยเยอะมากๆ ผมจดไว้แล้วดันสมุดเล่มที่จด หายไปเฉยเลย?) ผมคิดว่าท่านคงเป็นสายธรรมแท้ที่ไม่อยู่ในลัทธิ, นิกาย, ศาสนา, องค์กร ฯลฯ อะไร คือ อิสระจริงๆ เป็นดังเช่นดั้งเดิมแท้จริงๆ และคงโปรดสัตว์อยู่แถบสุวรรณภูมินี้ (ไทย, ลาว, พม่า, กัมพูชา เป็นต้น) แต่ก็ไม่ทราบว่า "สายอื่นๆ" ที่สืบๆ กันมา ยังพอมีอยู่หรือไม่? เพราะมีบางท่านกล่าวถึง "พระมหากัสสปะ" ที่ยังไม่ละสังขาร ยังคงชีพอยู่ แต่ไม่ได้ออกจากฌาน ไม่ได้ทำกิจด้วยสังขารใดๆ อีกประการ พระมหากัสสปะก็ได้ทำ "นิกายเซน" ขึ้นมา ทำสิ่งที่ไม่มีในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมขึ้นมา เช่น การสังคายนาพระไตรปิฎก ผมก็เลยไม่รู้จะสรุปเรื่องสายธรรมอย่างไร? เอาเป็นว่าพระอรหันต์ที่ยังคงชีพอยู่ คงมี แต่ถ้าจะหาท่านที่ไม่แตกแยก แตกกอ แตกหนอ แตกสาย ออกไปเป็นนิกายเซนอะไร ท่าทางคงหมดสิ้นแล้วกระมังครับ!



 

ผจญนักพลังจิตสังหารชาวต่างชาติ

เรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรอยู่ และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยด้วย ในช่วงหลังจากที่เราได้จัดการอสูรมหิงสาไปแล้ว จากนั้น มังกรดำเกิดอาการควบคุมตัวเองไม่ไ่ด้ เลยอารวาดแล้วกลายเป็นถูกลงลงทัณฑ์ไป เราพักได้ไม่นาน ก็ได้มีกระแสพลังจิตที่น่าจะเข้าข่าย "จิตสังหาร" มาไกลจากต่างประเทศ แต่ขอไม่บอกชื่อประเทศนะครับ เป็นประเทศที่สนใจเรื่องพลังจิตอย่่างจริงจังเสียด้วยสิ เราไม่ได้รู้จักเขาในมิติของสังขาร และเขาเองก็คงเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เรารู้จักกันใน "มิติทิพย์" ครับ อย่างที่ผมเคยเล่าแล้วว่าสังขารอาจไม่รู้เรื่องอะไร เพราะขีดจำกัดของสังขารรู้ได้เท่านั้น ตราบเท่าที่เราไม่ได้สื่อสารในระดับสังขารให้เขารู้ สังขารนั้นก็จะไม่มีทางรู้จักเรา ทว่า จิตวิญญาณหาเป็นเช่นนั้นไม่! ในมิติทิพย์ ตัวตนในมิตินี้ก็ึืคือ "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นตัวตนที่รู้ได้มากกว่าสังขาร มีญาณหยั่งรู้เองตามระดับชั้นของเขาเอง และตอนนั้น พวกเขาก็เริ่มรับรู้ถึงวีรกรรมของพวกเขาแล้ว (อสูรมหิงสา อยู่ในตัวผู้นำประเทศๆ หนึ่งและมันส่งผลทำให้เขามีอำนาจลดลง เมื่อเราปราบมันลงได้) พวกเขาก็เริ่มเล่นงานเราเป็นการตอบโต้ ซึ่งนี่ไม่ใช่ประเทศเดียวกับร่างสังขารที่มีอสูรมหิงสาอยู่นะครับ คนละประเทศกัน แต่เขาคงอยากลองงัดข้อกับเราดู เขาก็มาสู้กับเราทางมิติทิพย์ โดยจิตวิญญาณที่มาเล่นงานเรานี้ มาจากผู้นำของประเทศนั้น ในเวลานั้นๆ และการปะลองครั้งแรก เขาสู้เราไม่ได้ (ตัวต่อตัว) เขาก็กลับไป เขาบอกขอหยุดก่อน เพราะถ้าเล่นงานกันไปมามากกว่านั้น จะส่งผลให้จิตวิญญาณนั้นจุติได้ (ตายเฉพาะส่วนจิตวิญญาณ แต่สังขารยังอยู่ จะส่งผลให้สังขารนั้นอ่อนฤทธิ์ หรือสิ้่นอำนาจทางโลกได้) เราก็หยุด เมตตาให้เขา ปล่อยเขาไป แ่ต่แล้วเขาก็กลับมาปะลองกับเราอีก ครั้งนี้ เขามี "ทีมงาน" อีกหลายคนทีเดียว โดยทีมงานพวกนี้ จะคอยส่งพลังจิตให้กับเขา รวมพลังไว้ที่เขาคนเดียว เสริมพลังแบบนั้นแล้ว เขาก็สู้กับเรา (ขออุบไว้ ไม่บอกนะครับว่าเราใช้วิธีไหนสู้กัน เอาเป็นว่าวิชาทางจิตก็แล้วกัน) แล้วพลังของฝ่ายเขาก็อ่อนลงเรื่อยๆ ทุกคน ทั้งทีม จนถึงจุดหนึ่ง เขาเริ่มไม่ไหวแล้ว เขาก็ขอหยุดอีก เพราะเขากำลังจะแพ้แล้ว เขาก็ยอมให้ ไม่คิดจะฆ่าใครนี่ครับ เราอยู่เฉยๆ เขาก็มาเอง เราก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น นับเป็นครั้งที่สอง แล้วเขาก็ลองอีก คราวนี้เป็นครั้งที่สาม ตอนนั้น สามเณรคู่หูบำเพ็ญบารมีได้อาวุธทิพย์ชนิดหนึ่ง เหมือนหอกแต่ปลายหอกไม่เหมือนหอกทั่วไป จะว่าสามงามก็ไม่ใช่ มีปลายแหลมอันเดียวแต่ไม่เรียบเหมือนหอก มีรอยหยักด้วย


ในครั้งที่สาม ก็เลยใช้อาวุธทิพย์นั้นลดทอนอิทธิฤทธิ์เขาลง (ถ้าจำไม่ได้นะครับ ถ้าผมจำผิดต้องขออภัย เรื่องนานมากแล้ว รายละเอียดก็เยอะด้วยครับ) อ้อ ลืมบอกไปครับว่า ในการปะลองครั้งแรกนั้น เขาเอาอาวุธทิพย์มาเยอะมากๆๆ เลย เป็นพันชนิดได้มั้ง (สมกับที่ชีวิตจริง ที่ประเทศนี้ สะสมอาวุธหลากหลายชนิดมาก) ตอนนั้น เขาเสียอาวุธทิพย์ให้เราทั้งหมด (เพราะวิชาลับของเราบางอย่าง) จากนั้น ผมก็ให้สามเณรอธิษฐานรวมอาวุธทิพย์ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาก็ทำสำเร็จ เลยได้เป็น "หอกทิพย์" ที่ไม่เหมือนหอกทั่วไป อันนี้ครับ ใช้ลดทอนพลังบุญ, พลังฤทธิ์ ศัตรูได้เลยทีเดียว แล้วเราก็เลยใช้่หอกนั้นคืนสนองเจ้าของครับ ทีนี้ ครั้งที่สาม เขาก็เลิกเลย ยอมแพ้ ไม่เอาแล้ว เรื่องก็เลยจบลงได้ครับ จบ! ...



 

ขึ้นขันธ์

เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว เมื่อครั้งผมลาออกจากงานใหม่ๆ ช่วงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิตและผมอยู่ต่างจังหวัด จึงยังไม่ได้เล่าอะไรให้แม่ฟัง แต่อาจจะด้วยลางสังหรณ์ของแม่พอจะมีบ้าง ก็คงรับรู้อะไรได้บ้าง แม่ก็ทำเหมือนชาวบ้านทั่วไปคือ ไปหาหมอดู, คนทรง ฯลฯ มาทำนายทายทักชีวิตผม ซึ่งผมไม่ชอบเอามากๆ เพราะอะไร? ๑. ผมเป็นคนยุคใหม่ ยุคไวไฟ (WiFi) ครับ ๒. ผมเรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์แต่มาจบทางบริหารเท่านั้น ๓. ผมไม่ชอบพวกคนทรง ๔. ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตหรือมาบงการชีวิต สรุปตุ๊บตั๊บ แล้วก็คือ ผมไม่ชอบให้คนทรงมายุ่งหรือทำนายอะไรในชีวิตของผม คือ ถ้าเขาทำนายแล้วเราไม่ทำตามก็เป็นเรื่องอีก (อะไรวะ?) ชีวิตข้า อยู่ๆ ให้เอ็งมาชี้นิ้วสั่งให้ไปทำนั่นนี่อะไร ได้ไง? อะไรประมาณนั้น นอกจากนั้น ผมยังชอบไปว่าพวกเขาลับหลังด้วย คือ ไม่อยากมีเรื่องก็ว่าลับหลังว่างมงายอะไรประมาณนั้น และแล้ว สวรรค์ก็ลงทัณฑ์ประมาณว่า "ไอ้ห่้า มึงด่าเขามาก มึงดูถูกเขามาก แต่มึงไม่รู้จริง มึงก็ไปเป็นซะ" คือ แม่ผมไปหาคนทรงซึ่งเป็นอาจารย์เก่าของผมเองสมัยผมเรียนมัธยมและผมก็ชอบอาจารย์ท่านนี้ (ท่านเป็นคนดีเชื่อใจได้ครับ เมื่อก่อนไม่ใช่คนทรง แต่มาเป็นเองภายหลังแบบไม่ได้เจตนา) แล้วคนทรงซึ่งเขาเป็นครูเก่าผม เขาก็บอกแม่ว่าให้ผมไปขึ้นขันธ์เสีย ไม่ได้บอกอะำไรมาก บอกว่าให้ทำเอง เรียนรู้เอง แล้วจะเข้าใจเองแหละ ซึ่งตอนนั้น ผมไม่ได้อยู่แถวบ้าน ก็ไม่สามารถไปหาตำหนักทรงอะไรได้ (คนละจังหวัด ความเชื่อ ความชอบต่างกัน) ผมรู้จักก็แต่ศาลเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมั้ง เขาว่าอย่างนั้น กำลังก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์นักแต่ก็มีพื้นที่เปิดโล่ง ด้านบน เรียกว่าทำพิธีบูชาฟ้าดินได้สบายๆ ผมก็เลยไปทำพิธีเสียให้มันจบๆ ไป จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับผมอีก ทำให้แม่สบายใจ เพราะคุยกับแม่แล้วรับปากแม่ไป ก็ต้องทำครับ จะปฏิเสธ แม่ก็จะเสียใจอีก


แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมแบบคนทรงทั่วไป ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยเข้าทรงอะไรทั้งนั้น แต่พอสังเกตุได้ว่าบางทีถ้าเราจิตอ่อน สติอ่อนกำลัง มันมีอาการคล้ายๆ คนทรงได้เช่นกัน คือ เหมือนจะอาเจียนทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรออกมา หรือหาว, เรอ ฯลฯ หรือบางครั้งเหมือนจะวูบแล้วเป๋ ทรงตัวไม่ไหว แต่พอรู้ตัว มีสติก็กลับมาปกติได้ตลอด เรียกว่า ถ้าผมกำลังถูกคุม ก็คงไม่ใช่ของง่ายนะครับ อีกประการผมไม่ไ่ด้ไปรับขันธ์จากตำหนักไหนของใครเขามา ผมแค่เอาเครื่องบูชาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม (พิธีขึ้นขันธ์ตามแบบผมเอง) ก็เท่านั้น ทำให้มันจบไปเพราะรับปากแม่มาแล้ว ส่วนเรื่องจะทำอย่างไรเป็นเรื่องของเรา ผมเลยไม่ไปหาตำหนักทรง, คนทรงคนไหนทั้งนั้น ทำๆ ให้จบไป ก็เป็นแบบนี้ จะว่าไปแล้วผมอาจคล้ายๆ "พวกม้าทรง" มากกว่า คือ ไม่ได้เข้าทรงแบบนั้น แต่ต้องทำกิจเหมือนกัน เป็นกิจที่ไม่ใช่การทำมาหาอาชีพทั่วไป ตามแต่สวรรค์จะว่ากันไป อีกประการบางครั้ง ผมก็เหมือนถูกลงโทษ เช่น ตื่นเช้ามามีรอยกรีดที่ขาสองข้าง เหมือนโดนมีดกรีดเป็นทางยาวๆ แต่ไม่เข้าลึก มีสะเก็ดเลือดออกบางๆ ทั้งๆ ที่เสื้อผ้าผมก็ปกติ ถ้าจะมีอะไรมากรีดถึงผิวหนังผมก็น่าจะมีรอยที่กางเกงบ้าง แต่นี่ก็ไม่มี? เอาเข้าไปสิ? หรืออะไรอีกมากมาย ที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เอาเป็นว่าผมไม่สรุปว่ามันมีจริงไหม, ดีหรือไม่ดี ทั้งนั้น มันเป็นแค่อะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ใครมีบุญมีกรรมแบบนั้นก็ต้องไปเสวยแบบนั้น ก็เท่านั้นเอง ถ้าคุณยังไม่มีกรรมก็ไม่ต้องไปยุ่ง ไม่ต้องไปว่าอะไรเขา (ด่าเขามากระวังจะเข้าตัวเอง เหมือนผมละกัน) ในที่สุด เมื่อผมมีอาการแปลกๆ อยู่ไม่น้อย ผมก็เลยต้องศึกษาเพื่อเอาตัวรอด ผมก็เข้าไปดูบางตำหนักทรงบ้าง เฉพาะที่พอไว้ใจกัน เพราะบางตำหนักไม่ควรเข้าอย่างยิ่ง เข้าไปปั้บ ถ้าไม่ก้มหัวกราบมัน มันจะทำนายให้ร้ายเราทันที นึกออกนะครับ แล้วเรื่องอะไรเราจะแส่ไปเป็นขี้ข้าให้เขาชี้่หน้าทำนายให้ร้ายๆ ใส่ตัวเราละครับ ผมก็ไปบ้างเฉพาะที่พอไว้ใจกันหน่อยเท่านั้นเอง คุยกันในเรื่องบางเรื่องที่คุยกับคนอื่นไม่ได้ เพื่อหาทางออกให้ชีวิตของตน ก็เท่านั้นครับ ไม่ใช่เรื่องนิพพาน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิด หรือเรื่องถูกต้องอะไร "แล้วแต่กรรมใคร มันจะปรุงแต่งให้ต้องไปเสวยอย่างไร ก็เท่านั้นเอง" โอ้ย กรรมของคนบางคน แปลกกว่านี้ ก็มีอีกถมไปครับ จบ!



 

นิมิตหลอน

เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะบวชเณรเสียอีก นับย้อนไปประมาณ ๗ ปีกว่าเห็นจะได้ ตอนนั้นผมยังทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งแล้วผมได้รับความกดดันและความเครียดสูงมาก ผมจึงปฏิบัติธรรมไปด้วยระหว่างที่ยังทำงานอยู่นั่นเอง ผมปฏิบัติ "สติปัฏฐานสี่" โดยยังไม่ได้เข้าฝึกที่ไหน ไม่มีครูสอน แต่เพราะอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ "หลวงพ่อ....." แล้วเกิดความศรัทธามาก ด้วยผมไม่เคยอ่านหนังสือแนวกรรมฐานที่ไหน ที่อธิบายได้ง่ายและเข้าใจได้ง่ายขนาดนี้มาก่อน ผมจึงปฏิบัติอย่างยิ่งยวด คือ ใช้ "สติ" ตามจับความโกรธ เพราะตอนนั้น ผมมีความโกรธมาก และมันมักทำให้งานผมเสีย และผมเห็นแล้วว่าเพราะความโกรธของผมนี่เองที่ทำลายสิ่งดีๆ หลายอย่างที่ผมทำขึ้นมา เวลาสติจับความโกรธได้ทัน ผมก็จะบริกรรมอะไรบางอย่างเพื่อทำให้ความโกรธนั้น ค่อยๆ เบาบางจางหายไป จากที่ใช้เวลานานมากๆ ผมฝึกจนใช้เวลาสั้นลงๆ ทุกวันๆ จนผมเริ่มมั่นใจว่าสติของผมก้าวทันความโกรธได้ไม่น้อยแล้ว ผ่านมาถึงวันนี้ก็ ๗ ปีกว่าแล้ว ผมผ่านอะไรมามาก แต่ใครบางคนมักคิดว่าผมไม่ได้รู้จริง หรือไม่เคยผ่านประสบการณ์จริง แล้วพยายามยกตัวเองเป็นครูสอนผม (ผมมีครูแล้ว และเลือกครูด้วย ไม่ใช่เป็นศิษย์ไม่มีครู หรือเอาใครก็ได้มาเป็นครูครับ) คนพวกนั้นก็จะทำตัวเหมือนเก่งมากแล้วพยายามมาสอนผม อย่างหนึ่งก็ึคือ ชอบมาสอนผมเรื่อง "ติดนิมิต" บ้าง, "เรื่องเข้าทรง" บ้าง ผมขอบอกเลยว่าผมคือคนยุคใหม่ ไม่ชอบการเข้าทรง และไม่ได้หลงอะไรแบบนั้น แต่สวรรค์จัดสรรให้ไปเรียนรู้ ก็เท่านั้นเอง ผมเคยรับขันธ์ แต่ทั้งชีวิตนี้ ผมไม่เคยเข้าทรงอะไรเลยครับ ไม่ได้นิยม และไม่ได้ต่อต้าน เรื่องของเขา กรรมของเขา ความเชื่อของเขาครับ


ผมขออนุญาติเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ "นิมิตหลอน" ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเป็นวิทยาทาน เพื่อให้ทราบว่าผมเคยมีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว กล่าวคือ ในครั้งที่ฝึกอย่างหนักในที่ทำงาน นั่นแหละ เรื่องมันก็เกิดในที่ทำงานนั้นเลย (ผมฝึกสติปัฏฐานตามจับอารมณ์โกรธตลอดเวลา ดังนั้น ขณะทำงานผมก็ทำสติปัฏฐานไปด้วยครับ) กล่าวคือ วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังประชุมและมีท่านอื่นๆ นั่งร่วมอยู่ในวงประชุมนั้นเอง ก็เกิดความรู้สึกเหมือน "ง่วงมากๆ" แทบจะหลับฟุปลงไปเลย ผมพยายามฝืนไม่ให้หลับในที่ประชุมต่อหน้าคนอื่น แล้วผมก็รู้ึสึุกวูบภายในเหมือน "หลับใน" ทว่า่ คุณคิดว่าหลับจริงไหม? ในเมื่อผมยังมีสติรู้และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ กล่าวคือ ผมเห็นภาพเบื้องหน้าผม (พื้นห้อง เพราะผมก้มหน้าลง) มันเหมือนเฟลมแต่ละเฟลมในฟิล์มฉายหนัง มันเหมือนค่อยๆ แสดงให้เราเห็นทีละเฟลม แต่ขอบอกว่ามันละเอียดยิบๆๆๆ ยิ่งกว่าเฟลมในฟิล์มฉายหนังมาก ผมเห็นตั้งแต่ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ก่อตัว แล้วมันก็คล้ายๆ หน้าจอทีวีที่สัญญาณไม่ชัด มันมีจุดดำๆ ด่างๆ รบกวนภาพอยู่ ในใจผมก็คิดว่าเป็น "มด" หรือเปล่า ทันใดนั้น "มันก็กลายเป็นมดฝูงหนึ่ง" ทันทีครับ (ทันทีที่คิดเลย) ต่อมา จุดดำๆ ด่างๆ มันก็ขยายใหญ่ขึ้นอีก (เฟลมต่อๆ มา) ผมก็เลยสงสัยว่ามันเป็น "หนอนหรือเปล่า?" เกิดอะไรขึ้นทราบไหมครับ? มันกลายเป็น "หนอนทันที" อีกเช่นกัน คราวนี้ ผมเหมือนถูกผีมดผีหนอน หลอกเอากลางวันแสกๆ ทั้งๆ ที่ตายังไม่หลับนี่ละ (ไม่ไ่ด้นั่งสมาธิหลับตาแล้วเห็นภาพนิมิตนะครับ และไม่ได้นึดคิดเป็นมโนภาพอะไรทั้งนั้น มันเห็นจะๆ กะตาที่เปิดอยู่นี่แหละ) ผมก็ได้สติ สะดุ้งตื่น เหมือนคนถูกผีหลอกน่ะครับ แล้วภาพมดและหนอนทั้งหมดก็หายไป กลายเป็นพื้นห้องธรรมดา แต่ผมเก็บอาการภายนอกได้ดี ไม่มีใครในที่ประชุมสังเกตุเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมได้ และอีกอย่างหนึ่ง ช่วงที่ผมวูบไปนั้น ผมรู้สึกเหมือนผ่านเวลาเนิ่นนานเป็นพันปีเลยทีเดียว ทว่า ในความเป็นจริง เรายังคุยกันในที่ประชุม "เรื่องเดิมยังไม่จบเลยครับ" !!! นี่แหละ ผมเคยโดนมาแล้ว "นิมิตหลอน นิมิตหลอก" ไม่ใช่ไม่เคย โดน ทั้งๆ ที่ตาเปิดอยู่นี่ละ ไม่ได้หลับตานึกเอา จบ!


    
 

พรจากท้าวมหาพรหมฯ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผมบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยงานในโลกทิพย์ เป็นช่วงเวลาที่ผมยังโปรดเทพกุมารอยู่ แล้วได้มีเทพกุมารตนหนึ่งเป็นกายทิพย์ ๑ ในสังขารของผมด้วย เทพกุมารตนนี้แปลก เพราะสอนยาก ไม่ใช่เพราะดื้อหรือเป็นเด็กไม่ดี แต่มีกรรม ทำให้ฝึกอะไรก็ไม่ก้าวหน้า (เจอกรณีนี้เข้าไป ทำให้เราต้องหาวิธีสอนเด็กที่มีกรรมให้ได้น่ะสิ?) ไม่ว่าจะเป็นสายปัญญาหรือสายอภิญญา ดูท่าจะไม่ขึ้น ไปทางไหนก็ไม่ก้าวหน้าเอาเสียเลย กลายเป็นโจทย์ปัญหาให้ผมกลับมาหาวิธีสอนเทพกุมารตนนี้ และแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า "เหล่าพรหมฤษีทั้งหลาย" ล้วนให้พรแก่เราได้ ถ้าไปเอาอกเอาใจท่านเหล่านั้นก็อาจได้รับพรมาบ้าง ก็ได้ ว่าแล้วเราก็เริ่มจากไปหาดอกไม้ทิพย์เครื่องบูชามาก่อน จึงค่อยหาดูว่าพรหมองค์ไหนที่มีบุญสัมพันธ์กับเราบ้าง (จะได้ไปบูชาด้วยดอกไม้ทิพย์ เผื่อจะได้รับพรกลับมา) และแล้วเราก็พบ "อรูปพรหม" องค์หนึ่ง ท่านเข้าฌานอยู่ยังไม่ออกจากฌาน คาดว่าอีก ๓ ปี เห็นจะได้ ท่านจึงจะออกจากฌาน ดังนั้น เราจึงได้เพียงแค่เอาดอกไม้ทิพย์ไปไว้เฉยๆ เท่านั้นแล้วกลับมา แต่ก็ยังไม่หมดความพยายาม เราก็ลงมาหาที่ภาคพื้นโลกบ้าง ก็มีฤษี (จิตวิญญาณ) ที่หลงเหลืออยู่เหมือนกัน ทว่า ก็เหมือนๆ กับท่านข้างบน คือ พรหมฤษี ภาคขาว ยังไม่ออกจากฌาน ที่ออกจากฌานแล้วมีแต่พรหมฤษี ภาคดำ ที่ดูแล้วเราไม่แน่ใจว่าจะได้พรแบบไหนกัน ก็เลยไม่ดีกว่า (ช่วงนั้นได้มีเรื่องราวกับท่านเล็กน้อยด้วย แต่ขอไว้เล่าในบทความอื่นแล้วกันครับ) พยายามไปมา ในที่สุด ก็ได้พบท้าวมหาพรหมผู้มีบุญสัมพันธ์กับเรา


นั่นคือ "ท่านท้าวมหาพรหมชินปัญจระ" นั่นเอง ท่านเป็นท้าวมหาพรหมผู้ปกครองพรหมโลก "ส่วนรูปพรหม" และท่านเองก็เป็นรูปพรหมด้วย ท่านออกมาแว้บเดียว แล้วท่านก็ให้พรแก่เทพกุมาร ซึ่งเป็นกายทิพย์กายหนึ่งในสังขารของผม ในขณะที่เทพกุมารเหาะไปเยี่ยมเยี่ยนท่านที่พรหมโลก ทันใด เทพกุมารก็กลายเป็นเทพ คือ โตเลยทันที (แต่ผมไม่ทราบว่าท่านให้พรว่าอะไร? สามเณรคู่หูไม่ได้บอก ผมก็ไม่ได้ถาม) ทว่า ต่อมาไม่นาน เทพกุมารที่โตแล้ว ก็พัฒนาไปสู่กายทิพย์อื่นๆ ตามระดับของบารมีต่อไป ผมจึุงไม่ทราบว่า "พรจากท่านท้าวมหาพรหมชินปัญจระ" นั้น จะยังคงมีผลต่อสังขารของผมด้วยหรือไม่? จบ!



 

ถูกเชิญให้บำเพ็ญนารายณ์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลือ ในช่วงนั้น หลังจบทัพอสูรทารุณไปแล้ว ผมได้พัก แต่การบำเพ็ญนั้น ไม่ได้ครบเหมือนตำราสักเท่าไร คือ บำเพ็ญในกายทิพย์ใดกายทิพย์หนึ่ง ยังไม่ถึงที่สุดของการกระทำ (ถ้าดูตามตำราหรือตำนาน) เราก็หลุดพ้นเสียก่อน คือ กายทิพย์นั้นๆ ได้เลื่อนระดับสูงขึ้นไปก่อนที่จะกระทำการณ์ครบทุกอย่างได้สำเร็จ อย่างเช่น การบำเพ็ญในกายทิพย์ "นารายณ์" ที่ผ่านมาก็ตาม ผมเพียงแค่ลดทอนมนต์ดำทางภาคใต้ไปบางส่วนเท่านั้น แต่ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นตอนั้นได้สำเร็จเลย กายทิพย์นารายณ์ก็มีบารมีมากพอที่จะรวมกับอีกสามกายเป็นตรีมูรติแล้วไม่นานก็เข้าสู่ธรรมไป หรือแม้แต่เรื่องการโปรดมังกรดำให้เป็นมังกรทอง ผมก็ยังไม่ได้ทำ แ่ต่ก็ผ่านมาไำด้ถึงขั้นนี้ ครั้งหนึ่ง กายทิพย์ของผมจรท่องไปแถวๆ ประเทศจีน ในบริเวณแม่น้ำสายหนึ่ง ในมิติทิพย์ สามเณรคู่หูก็เห็น "วังน้ำวน" กลางแม่น้ำ แล้วกลางวังน้ำวนนั้นก็มี "พระนารายณ์องค์หนึ่ง" ปรากฏขึ้นมา (เพิ่งเข้าใจคำว่า "พระนารายณ์อยู่ใต้สะดือทะเล ก็คงเป็นแบบนี้นี่เอง) ท่านก็มาเชิญให้ผมบำเพ็ญ "นารายณ์" แต่ตอนนั้น ผมเคยรู้มาว่า "มีคนไทยที่บำเพ็ญเป็นนารายณ์แล้ว" และเ่ก่งมาก เขียนหนังสือให้คนอ่านอีกด้วย ผมก็เลยแจ้งกับพระนารายณ์องค์นั้นไปว่ามีคนบำเพ็ญแล้ว ไม่อยากบำเพ็ญซ้ำ หรือแข่งกับเขาอีก พระนารายณ์องค์นั้น ก็กลับไปสู่ใต้แม่น้ำดังเดิม (ทำให้ผมคิดว่า แท้แล้วคำว่าพระนารายณ์จำศีลใต้สะดือทะเลนั้น น่าจะหมายถึง แหล่งน้ำอื่นๆ ได้ด้วยกระมัง เช่น แม่น้ำ ที่เราได้พบท่านนี้)


ผมไม่ทราบว่ามันจำเป็นแค่ไหนที่จะมีคนบำเพ็ญเป็นนารายณ์ในช่วงยุคนี้ เคยเห็นแต่เรื่องคำพยากรณ์ที่มีคนพูดถึงปางต่อไปของพระนารายณ์ว่านาม "กัลกี" อะไรแบบนั้น แล้วก็เห็นใครอีกมากมายหลายคน ที่อยากเป็นตัวตนตัวนี้ หรือพยายามเป็นอยู่ ส่วนผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น มีเส้นทางเดินที่เลือกเองได้ครับ ที่พระนารายณ์องค์นั้นมาเชิญให้บำเพ็ญ ก็เชื่อท่านนะว่าถ้าไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นจริงๆ ท่านก็คงไม่มาบอกเราโดยตรงหรอก ทว่า ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ ตอนที่องค์กษิติครรภ์มาขอให้โปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง ผมยังไม่เอา แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เห็นคนมากมายอยากเป็นกัลกี ก็ให้เขาไปแล้วกัน จบ!



 

เทพเฝ้าเขาพระวิหาร

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้ง ผมยังเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลืออยู่ ช่วงนั้น เราได้ทำกิจในโลกทิพย์ไปแล้วบางส่วน ก็เลยมีกำลังใจอยากทำมากขึ้น เพราะทำแล้วมันก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ หรือคิดแต่จะสร้างวัด, สร้างถาวรวัตถุ ทั้งๆ ที่มันก็มีอยู่แล้ว พอดี พอใช้แล้ว ก็เลยคิดว่าเราไม่มีปัจจัยอะไรจะไปทำไ้ด้มากกว่านี้ ก็พอใจในสิ่งที่เราทำได้ ก็แล้วกัน อีกอย่างเราจะทำเสียให้สมบูรณ์ ๑๐๐% ไปเลย ก็เห็นจะไม่เหมาะ เพราะนอกจากเป็นการฝืนกฏแห่งกรรมแล้ว ยังทำให้คนที่ทำงาน คนที่ต้องบำเพ็ญบารมี ในเรื่องนั้น กลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็น เหมือนโชคเข้าข้าง ทำงานไป อยู่ๆ ก็ฟรุ๊ค อะไรต่อมิอะไรดีึขึ้นเอง ทั้งที่ตนเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย แบบนั้นเห็นท่าจะไม่ดี (สมัยเรียน มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยบอกกับผมว่า ที่ทีมงานผมทำอะไรไม่เป็นเลย ก็เพราะผมทำแทนให้ทุกอย่าง เขาเลยทำไม่เป็น) ก็เลยคิดว่า ทำแค่บางส่วนที่เหลือก็ต้องปล่อยไปตามกรรม และกลายเป็นโจทย์ให้คนที่เขา้ต้องทำ ถูกจัดสรรให้ไปทำ ได้ทำต่อไป จะได้ไม่ไปแย่งบุญบารมีพวกเขาครับ แต่แค่ผมทำแค่นั้น ผมก็ได้ส่วนบารมีพอแล้ว เพราะเราทำโดยไม่มีตำแหน่งและเงินเดือนอะไรเลย ทำเท่าไรก็เป็นบารมีทั้งหมดไงครับ ทีนี้ หลังจากเราเคลียร์เรื่องทางภาคใต้ไปเล็กน้อยจนพอควรแล้ว เราวางมือจากที่นั่น เราก็มาดูที่ภาึคอีสานต่อ คือ "เขาพระวิหาร" ว่าทำไมมันจึงมีเรื่องราวกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ ในช่วงนั้น (หลายปีมาแล้วน่ะครับ) ก็เลยให้สามเณรคู่หูลองใช้ตาทิพย์เพ่งดูว่าที่นั่นมันมีอะไรในมิติทิพย์อยู่ ที่เป็นปัญหาหรือไม่? สามเณรเห็นเป็นยักษ์ ๔ ตน กับครุฑอีก ๓ ตนมั้ง (ถ้าจำจำนวนผิดต้องขออภัยเพราะเรื่องเกิดนานแล้ว) เลยได้ข้อมูลมาว่าเทพที่เฝ้าเขาพระวิหารอยู่ ไม่สมดุลกัน คือ ฝ่ายยักษ์มากกว่าฝ่ายครุฑ (สงสัยว่าฝ่ายยักษ์จะมาจากทางกัมพูชา, ฝ่ายครุฑจะมาทางไทย) เขาได้รับข้อมูลแจ้งมาว่าครุฑที่หายไปนั้น ถูกประเทศ ... เอาไปแล้ว ทำให้ขาดสมดุล และเกิดเรื่องขึ้น (ฝ่ายยักษ์ที่มีกำลังมากกว่า คงจะอยากยึดครองความเป็นใหญ่เหนือฝ่ายครุฑกระมังครับ?)


ตอนนั้น สามเณรคู่หูบำเพ็ญบารมีได้ "ครุฑ" พอดี เราก็เลยบอกให้เขาช่วยไปดูแลหน่อยได้ไหม? เขาก็ว่าถ้าเขาไปที่นั่น เขาจะได้เป็นใหญ่เลยนะ (เหมือนว่ามันมีเรื่องกันอยู่พอคนใหม่เข้าไป ก็ต้องมีตำแหน่ง จึงจะเคลียร์เรื่องจบได้) ผมก็เลยว่า "เอ้า ก็ได้" (เหมือนว่าครุฑเขาต้องขออนุญาติเรื่องตำแหน่งเราก่อน เขาจึงจะได้รับตำแหน่งนั้น) เขาก็ดีใจแล้วไปเลย ทำหน้าที่เต็มที่ ช่วงนั้น ผมก็ติดตามสถานการณ์อยู่ จากที่มีความรุนแรงก็ค่อยๆ เบาลงเหมือนกัน แล้วก็พ้นขีดอันตรายไปช่วงหนึ่ง แต่แล้ว อยู่มาไม่นาน หลังจากที่สามเณรให้ครุฑไปดูแลเขาพระวิหารแล้ว เขาได้ "มาร" มาอยู่กับเขาแทน แล้ววันหนึ่ง เราก็ถอดกายทิพย์ไปเยี่ยมครุฑที่เขาพระวิหารนั้น ทว่า ยังไม่ทันอะไรเลยครับ มารกับครุฑก็ซัดกันเลย เรายังไม่ทันห้ามแต่เขาก็ลงมือกันแล้ว เร็วมาก จบเห่เลย เสียครุฑไปอีก ๑ (มารเขามีฤทธิ์มากกว่าครับ) เราบอกว่าอ้าวทำไมทำอะไรกันแบบนั้น มารเขาก็ว่า ครุฑมันมาเล่นงานเขาก่อน เขาก็ต้องป้องกันตัว ภายหลัง ผมจึงเข้าใจว่าในโลกทิพย์นั้น อะไรที่เข้ากันไม่ได้ ถ้าเจอกัน เขาจะซัดกันทันที ไม่มัวมาคิดว่าจะโดนตำรวจจับเข้าคุกไหม ไม่เหมือนมนุษย์โลกเลยครับ ต่อมา พอครุฑเสียไปแล้ว ก็เลยขาดสมดุลอีกครั้ง ต่อมา เกิดเรื่องระหว่างไทย-กัมพูชาที่เขาพระวิหารอีก ผมก็เลยต้องปล่อยให้คนที่มีหน้าที่เขาดูแลกันเอง พอเปลี่ยนผู้นำประเทศ เป็น "สายยักษ์" เรื่องราวก็สงบมากขึ้น (อ้อ เชื้อสายทางจิตวิญญาณเดียวกัน เลยเข้ากันได้?) จบ



 

ดาบเพชรที่สามชายแดนใต้

เรื่องนี้เกิดในช่วงผมบวชเป็นสามเณร และยังมีสามเณรคู่หูคอยช่วยอยู่ เรื่องเกิดตอนที่ผมใช้กายทิพย์ "นารายณ์" ไปกวาดล้างมนต์ดำแถวทางใต้ แต่แล้วก็ทำไปได้แค่บางส่วน ก็เจอตอ จนเรื่องลุกลามไปถึงขั้น "อสูรทารุณ" ตั้งกองทัพผีมาเล่นงานเราเลย ในช่วงนั้นเอง ที่เรากำลังจะกวาดล้างมนต์ดำ แล้วยังทำได้ไม่หมด เราก็เจอ "ตอเบ่อเร่อ" เลย มันคือ "ดาบเพชร" ครับ ผมเคยเอ่ยถึง ดาบเพชรมาบ่อยๆ แต่จะอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น อย่างนี้ครับ ดาบเพชรเป็นดาบทิพย์ ที่มีความแข็งแกร่งมากเทียบได้เหมือนเพชร ของโลกมนุษย์ ซึ่งดาบหรืออาวุธทิพย์อื่นๆ ที่ต่ำกว่าชั้นเพชร ไม่อาจต่อกรได้ เช่น ดาบทอง, ดาบเงิบ, ดาบเหล็กไหล ฯลฯ ไม่แข็งแกร่งเท่า ไม่อาจเทียบเทียมได้ครับ ถามว่า มันจะอยู่กับใคร มันก็จรย้ายไปได้เรื่อยๆ ครับ แต่มันถูกดูแลโดยภาคมืด คือ "ซาตานมัจจุราชมาร" ตนหนึ่ง ซาตานจะให้ดาบเพชรแก่คนที่เขาเลือก เพื่อที่จะหลอกใช้, บงการ, ควบคุม ให้คนที่ได้ดาบเพชรนั้นตกอยู่ใต้อำนาจของเขา และกลายเป็นเครื่องมือของเขาอีกที โดยซาตานมััจจุราชมาร มีวัตถุประสงค์หลักคือ "การทำลายล้างระบอบของซาตานลูซิเฟอร์" ครับ (ซาตานเหมือนกัน แต่ไม่ถูกกันนะครับ) ดังนั้น คนที่ถูกซาตานตนนี้ครอบงำ จึงมีความคิดฝังหัวว่า "จะต้องทำลายล้างระบบ, ระบอบ" ก็ดี, จะต้อง "ตัดแบ่งดินแดน" ออกไป ก็ดีครับ ซึ่งถ้าเราจะบำเพ็ญบารมีจนได้ดาบเพชรนี้ได้ เราจะต้องมี "พลังอำนาจจิตในการตัดและฟัน" ที่เหนือชั้นกว่าคนก่อนด้วยครับ และเมื่อใดที่เจ้าของเก่าเสียของไปแล้ว เขาก็จะถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ ครับ (มักถูกฆ่าจากการถูกฟัน เรียกว่า ของเข้าตัวครับ) ถามว่า ทำอย่างไรจึงมีอำนาจจิตในการตัดและฟันขนาดนั้นได้ ก็อย่างเช่น ตัดขาดจากสังคม, คนทุกคน, ตัดญาติขาดมิตร, อยู่คนเดียวได้ ไม่เอาใครเลย, ตัดใจจากทุกอย่าง, มีกามกับผู้หญิงแล้วตัดใจทิ้งไปเลย (ต้องมีมากๆ มีเรื่อยๆ กำลังจิตก็จะดำมืดมากขึ้นครับ) ฯลฯ นั่นแหละ แล้วก็จะหายไปจากผู้คน, สังคม ไปเลย เรียกว่า เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับใคร ก็ตัดทิ้งไปได้ทั้งหมดนะครับ


และเพราะว่าผมไม่ได้บำเพ็ญถึงขั้นนั้น ผมจึงไม่อาจเอาดาบเพชรที่อยู่ที่สามชายแดนใต้มาได้ พลังแห่งการแบ่งแยกดินแดนก็ยังคงอยู่ที่นั่นครับ แต่ในช่วงย้อนหลังไปเมื่อประมาณ ๕ ปีที่แล้วที่ผมเคลียร์พลังมนต์ดำไปบางส่วน มันก็ลดทอนอำนาจของฝ่ายนั้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่อาจตัดรากถอนโคน ด้วยเรายังจัดการดาบเพชรนั้นไม่ได้ นั่นเอง ครั้งหนึ่ง ผมถึงขนาดลองไปขอยืม "ดาบน้ำแข็ง" ของท่านท้าวมหาราชแห่งสวรรค์ชั้นที่สามมา ลองงััดข้อกับดาบเพชรเล่มนั้นดูแล้ว แ่ต่ก็ไม่อาจทำอะไรมันได้ครับ สุดท้าย จึงต้องยอมปล่อยวางไป แต่เรื่องไม่จบง่ายๆ อสูรทารุณตามมาเล่นงานผมอีก เรื่องก็เลยเกิดในแบบที่ผมเคยเล่าให้ฟังมาแล้ว (เกือบเอาตัวไม่รอด เลยไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเรื่องของใครแล้วครับ) จบ!



 

อดีตชาติที่เป็นฤษี

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมบวชเป็นเณรและสามเณรคู่หูได้ตาทิพย์, หูทิพย์แล้ว ต่อมาก็เริ่มเพ่งดูภายในให้ผมได้ เขาจึงทดสอบเพ่งเข้ามาดูในกายของผู้อื่น โดยเพ่งดูผมเป็นคนแรก เมื่อเขาเห็นกายทิพย์หนึ่งของผมเป็นฤษี จึงได้เพ่งสู่กลางกายก็เห็น "ดวงแก้วประจำักายทิพย์นั้นๆ" เมื่อเพ่งเข้าไปในดวงแก้ว ก็เห็นเรื่องราวบันทึกอดีตชาตินั้น สามเณรได้เล่าให้ฟังโดยตลอดว่าขณะเพ่งนั้น ได้เห็นอะไรบ้าง ดังนี้


ในอดีตชาตินั้นผมเป็นคนที่สูญเสียทุกอย่าง (เรื่องราวก่อนหน้านี้ ไม่มี มองไม่เห็นครับ) จนมีสภาพคล้ายขอทาน ส่วน "อาจารย์คนปัจจุบัน" ของผม เป็นฤษีที่เก่งมากแต่ไม่ยอมรับใครง่ายๆ และไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้ใครง่ายๆ ในช่วงที่ผมยากลำบากนั้นเอง ฤษีผู้เป็นอาจารย์ ก็ได้ให้การช่วยเหลือ ผมจึงได้อยู่อาศัยกับท่าน ไม่คิดที่จะเอาวิชาความรู้อะไร เพียงได้อยู่กินไปวันๆ เท่านั้น จึงได้ปรนนิบัติรับใช้ฤษีนั้นแทนคุณ      ต่อมา ฤษีไม่มีผู้สืบทอดวิชา, ไม่มีลูก วันหนึ่งก็ให้ผมบวชเป็นฤษี (ในชาติปัจจุบันผมซึ่งกำลังลำบากแล้วเกือบเป็นขอทาน ก็มีอาจารย์ท่านนี้มาบอกให้บวชพระครับ) ซึ่งนับว่าเป็นการผิดจารีต เพราะผมไม่ใช่คนที่เกิดมาในตระกูลพราหมณ์ นั่นเอง แต่ก็ทำตามอาจารย์บอก เพราะไม่ได้คิดอะไร และไม่ได้รู้อะไรมาก ต่อมา เมื่อเล่าเรียนวิชาสำเร็จ ไม่นานฤษีก็ตายลงผมจึงได้นำศพท่านไปฝัง ต่อมา ก็มีคนมาขอเรียนวิชากับผมๆ ก็คิดว่าให้เขาไป ไม่ได้หวง เพราะตอนได้มาอาจารย์ก็ให้มาฟรีๆ ทว่า ผลไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ที่มาเรียนด้วยกลับคิดร้าย แล้วเผากุฏิฤษีนั้นเพื่อขู่เอาวิชาบางอย่าง ผมก็หนีไปทั้งโดนธนูเสียบทะลุรักแร้จากขวาไปซ้าย ใกล้ตายแต่ฝืนใจทนไว้อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อ "สามเณร" รูปนี้ ในอดีตชาติ ได้เข้ามาพบก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้ ทั้งบอกให้ปราบศิษย์คนนั้นด้วย ทว่า ไม่ทันที่สามเณรจะได้ปราบศิษย์ผู้นั้น ก็ถูกเสือกัดตายไปเสียก่อน  ผลบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญร่วมกันนั้นคงทำให้ผมและสามเณร ได้ไปเกิดเป็นพ่อลูกกันในสวรรค์พรหมโลก (ซึ่งเป็นอดีตชาติไหนไม่ทราบนานมาแล้วครับ) ผมก็ได้แ่ต่คิดแต่ไม่ไ่ด้บอกกับสามเณรรูปนั้น เอาเป็นว่านี่คือ สิ่งที่ผมได้มาจากการที่สามเณรใช้การเพ่งดูดวงแก้วประจำกายแล้วก็เห็นอดีตชาติบางชาติ มาเ่ล่าให้ัฟังครับ ซึ่งผมก็เทียบกับชาติปัจจุบันด้วยว่ามีส่วนสอดคล้องกันหรือไม่ ผลก็ออกมาว่าสอดคล้องกันหลายประการทีเดียว (แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องปัจจุบันให้สามเณรทราบนะครับ) จบ!



 

สามเณรเคยเป็นบุตรบนสวรรค์ในบางอดีตชาติ?

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมบวชเณรนั่นแหละ สามเณรคู่หูกำลังฝึกทั้งธรรมกาย (ตามแนวทางของผม ที่อาศัยแนวทางของหลวงพ่อสดเป็นพื้นฐาน) และมโนมยิทธิ (ตามแนวทางของผม ที่อาศัยหลวงพ่อฤษีลิงดำเป็นพื้นฐาน) ในช่วงที่ตาทิพย์ของสามเณรเริ่มเปิด (คนอายุประมาณ ๗ - ๒๐ ปี เหมาะสมจะฝึกตาทิพย์ คนที่อายุมากๆ เสียพรหมจรรย์แล้ว หรือมีกรรมตัดรอนมาก มักมีปัญหาเวลาฝึกตาทิพย์) เราก็เริ่มฝึกฤทธิ์ทางใจกันมาก ซึ่งฤทธิ์ทางใจของเรา ไม่ได้หมายความเพียงแต่การถอดกายทิพย์ คำว่า ฤทธิ์ทางใจของเราคือ "ใจมีฤทธิ์สั่งอะไรได้" เช่น สั่งจิตวิญญาณในกายให้ไปทำอะไรในโลกทิพย์ (ที่คนมักเข้าใจว่าคือการถอดกายทิพย์ ซึ่งพระพุทธองค์เคยตรัสห้ามพระสาวกรูปหนึ่งที่อธิบายวิญญาณว่าเหมือนกับเสื้อผ้าที่ถอดออกได้) นอกจากนี้ เรายังใช้ฤทธิ์ทางใจสั่งอย่างอื่นได้ด้วย เช่น สั่งให้ของทิพย์ของเราดึงเอาพลังเข้ามา หรือแบ่งออกเป็นสองอัน เป็นต้น นอกจากนี้ ฤทธิ์ทางใจตามแนวหลวงพ่อฤษีลิงดำ จะเชื่อมโยงกับพระอินทร์ โดยไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาก็ไปแค่นั้น เพราะถ้าไปในที่ๆ เราไม่รู้ เราอาจพลาดและเกิดปัญหาได้ (ซึ่งผมและคู่หูเคยโดนมาแล้วทั้งคู่) แม้แต่ธรรมกายของเรา ก็มีบางส่วนที่ต่างจากของวัดธรรมกาย เช่น ของวัดธรรมกายให้เพ่งดวงแก้วเอาเป็นนิมิตร ของเราจะเข้าสมาธิปกติให้จิตสงบก่อน เมื่อนิมิตรเกิดขึ้นมาเองเป็นรูปอะไรก็แล้วแต่ ให้เข้าใจว่านี่คือ "นิมิตรยังไม่ใช่ของจริง" ก็จะเพ่งต่อไปจนทะลุทะลวงนิมิตรนั้น "ภาพทิพย์จริง" ก็จะปรากฏเป็นลำดับชั้นไป นอกจากนี้ลำดับชั้นของกายทิพย์ตามแบบฉบับของวัดธรรมกายจะไล่ไปเหมือนตามลำดับสวรรค์ แ่ต่ของเรามันไม่อาจยึดได้เลย  คือ แล้วแต่บุญกรรมทำมา ใครสร้า้งบุญบารมีมาได้กายทิพย์แบบไหนบ้าง มันก็จะเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ใช่เป็นไปตามตำราไล่เรียงไปตามลำดับตามสวรรค์แต่ละชั้น จากกายเทวดาชั้นหนึ่งไปจนกายพรหมอะไรแบบนั้น เราไม่ได้ค้นพบแบบนั้น เราค้นพบคือ ไม่อาจยึดแล้วแต่บุญบารมีสร้างมา เท่านั้นเอง แต่เราก็ดูออก เวลาใครหลง หรือเห็นนิมิตรไม่ได้เห็นของทิพย์จริง มันมีวิธีสังเกตุนิดหนึ่ง ที่เหลือก็ใช้ญาณครับ


แล้ววันหนึ่ง สามเณรเข้าสมาธิก็เห็นภาพนิมิตร (ที่ไม่ได้คิดหรือสร้างขึ้นมันผุดออกมาเองตามธรรมชาติ)  เป็นรูปหัวช้าง เมื่อเพ่งทะลวงผ่านนิมิตรหัวช้างนั้นไป ก็เห็นรูปเหมือน "พระพิฆเนศ" เมื่อเพ่งต่อไปกลางกายพิฆเนศพบดวงแก้ว เพ่งในดวงแก้วก็เห็นอดีตชาติของสามเณรเอง จากนั้น ผมจึงแนะวิธีเพ่งดูคนอื่น ให้เขาเพ่งดูกายทิพย์ผมบ้าง แล้วเขาก็เห็น "ฤษี" ตนหนึ่ง (ฤษีตนนี้ก็คือ ตนเดียวกับตอนที่สามเณรเพ่งในกายตัวเองแล้วเห็นดอกบัว พร้อมกับมีฤษีตนหนึ่งอยู่ข้างๆ) จากนั้นเพ่งทะลวงลึกเข้าไปก็เห็นอดีตชาติของฤษีตนนั้น สุดท้าย เมื่อฤษีตนนั้นตายลงไปเกิดเป็น "พระศิวะ" และมีบุตรบนสวรรค์คือพระพิฆเนศ (ซึ่งก็คือ สามเณรนั้นเอง) ผมไม่รู้ว่าสามเณรจะเชื่อมโยงอะไรได้แค่ไหน เพราะเขาได้แ่ต่เห็นเป็นช่วงๆ แต่ไม่อาจเชื่อมโยงหรืออธิบายในสิ่งที่ตัวเองเห็นได้ (ผมจึงต้องเป็นผู้อธิบายให้เขาเข้าใจโดยตลอด ทั้งๆ ที่ตาทิพย์ผมบอดนี่แหละ เออ แปลกดี?) ผมไม่ได้บอกเรื่องอดีตชาติ ชาติหนึ่งในภพสวรรค์ว่าเป็นพ่อลูกกัน เพราะไม่เหมาะและไม่จำเป็น รู้แล้วก็เฉยๆ ทำหน้าที่ของตนเองต่อไป ก็เท่านั้นเองครับ จบ! ...



 

เทพมาถวาย "พัดทิพย์, เชือกทิพย์"

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมบวชเป็นสามเณรและยังมีสามเณรคู่หูคอยช่วยอยู่ ตอนนั้น ก่อนที่อสูรทารุณจะยกทัพผีมาเล่นงานเรา เราก็ได้บำเพ็ญบารมีกันยิ่งยวดใน ๗ วันนั้น แล้วยังทำ "อาวุธทิพย์" เองอีกด้วย คือ เทียนทิพย์, กระดิ่งทิพย์ เป็นต้น (วิธีการทำ ขอไม่อธิบายนะครับ ไม่เหมาะสมครับ แต่ไม่เหมือนการทำของแบบทั่วๆ ไป ที่มีการปลุกเสก, หามวลสาร, ใช้คาถา ฯลฯ เป็นวิธีแบบเฉพาะของผมเองครับ) ซึ่ง อาวุธทิพย์ที่ผมทำนี้ อานุภาพไม่รุนแรงนัก ไม่เหมือน "ห่วงทั้งสี่ของนาจา" ในครั้งที่ผมได้นำพาเขาไปดึงพลังเข้ามาเสริมกำลังห่วงทิพย์นั้น คิดว่าดีแล้ว เพราะไม่อยากใช้ของที่มีอานุภาพรุนแรง เพราะถ้ามีเหตุผิดพลาดขึ้นมา กระทบกับสวรรค์ข้างบนขึ้นมา ผมจะซวยอีก ก็เลยทำอาวุธทิพย์ที่มีพลังเพียงแต่ไม่รุนแรงเกินไปนัก คิดว่า แค่ไล่ๆ เขาไปให้พ้นก็พอแล้วไม่ได้ีคิดจะเข่นฆ่าอะไรครับ (แต่เหล่าชาวโลกทิพย์ไม่ได้คิดอย่างเรานะครับ ถ้าเขาเจออะไรที่ตรงข้ามกัน เขาเล่นงานกันทันทีแบบไม่ต้องคิดเลย ยิ่งกว่าเราที่ยังมีกฏหมาย กลัวว่าจะโดนฟ้องอะไรกัน พวกเขานี่ ไม่สนใจเลย เจอกันไม่ได้ ซัดกันทันที เหมือนเด็กนักเรียนที่มองตากันแล้ว มันเกิดความรู้สึกหมั่นใส้กันขึ้นมา ก็ซัดกันเลย แบบนั้น นั่นแหละครับ)


เมื่อผมกำลังจะทำ "เชือกทิพย์" และ "พัดทิพย์" อยู่นั้นเอง ก็มีเทพสององค์มาด้วยกัน องค์หนึ่งเรียกว่า "องค์หญิงพัดเหล็ก" ง่ายดี เข้าใจง่าย เพราะเคยเห็นในเรื่องไซอิ๋วมาแล้ว ก็เลยเรียกตามแบบอย่างนั้น อีกองค์คือ พระยายม ครับ มากันสององค์เป็นคู่ องค์หญิงพัดเหล็กนั้นมีพัดทิพย์ เป็นอาวุธคู่กายอยู่แล้ว แต่พระยายมมี "เชือกทิพย์" ครับ ซึ่งพัดเหล็กนี้ ใช้พัดไล่ศัตรูที่มากันมากๆ ไปนั่นเอง ส่วนเชือกทิพย์นั้น พระยายมท่านบอกว่า "ถ้าจับผีตัวไหนแล้ว ต้องลงนรกหมดเลยครับ" ก็เลยไม่คิดอยากจะใช้ คือ ไม่ได้อยากให้ใครตกนรกนี่ครับ ตอนถึงเวลาที่ทัพของอสูํรทารุณมา เราก็เกือบจะได้ใช้พัดเหล็กนั้นเหมือนกัน ทว่า โดนปีศาจหนู เอาฝุ่นอะไรไม่รู้ เทลงที่พัดก่อน จนพัดสิ้นฤทธิ์ ภายหลัง องค์หญิงพัดเหล็กก็กลับมา (หลังจากจบศึกคราวนั้นแล้ว) เพื่อเอาพัดเหล็กไปบำเพ็ญให้เราใหม่ แล้วเมื่อมีฤทธิ์ฟื้นคืนมาแล้ว ท่านก็ว่าจะเอามาให้เราใหม่ครับ (แปลกดี อาวุธทิพย์ของใคร คนๆ นั้นก็รู้และเข้าใจวิธีฟื้นคืนอิทธิฤทธิ์) จบ!



 

เห็นจิต เห็นวิญญาณ?

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมยังบวชเป็นเณร และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลือ ช่วงนั้น สามเณรได้ตาทิพย์ใหม่ๆ เลยให้เขาดูสิ่งที่ควรดู เป็นธรรมะก่อน นั่นคือเพ่งดูภายในกายของตัวเองเรียกว่า "ธรรมกาย" ในแบบของผมก็แล้วกัน เพราะต่างจากของวัดพระธรรมกายไปบ้างเล็กน้่อย อย่างแรก ก็ให้สามเณรเข้าสู่สมาธิ รอให้จิตนิ่งดีแล้ว ก็ค่อยๆ นึกน้อมดูภายในกายของตน สามเณรเห็น "คนๆ หนึ่งเหมือนฤษี" อยู่ข้างๆ กายทิพย์ตัวเอง ผมเลยบอกว่าอันนี้ เป็นกายทิพย์ผมเอง กำลังนำทางสามเณรอยู่ สามเณรเห็นนิมิตดอกบัวดอกหนึ่งขึ้นมาก่อน อ่ะ... ไม่เป็นไร ก็ค่อยๆ ทะลวงผ่านนิมิตรนั้นไป ก็เพ่งดูดอกบัวนั้น ผมบอกว่า "ดอกบัวยังไม่ใช่ของทิพย์จริง" เป็นเพียงนิมิตรนะ อะไรที่เป็นนิมิตรจำต้องตีความ เพราะเป็นเพียงภาพปริศนาธรรมเท่านั้น ผมจึงบอกว่าสิ่งนี้ หมายถึง "โพธิจิต" แต่เราจะดูให้ลึกต่อไป ก็พบดวงแก้วดวงหนึ่ง อ่ะ แสดงว่ามาตรงทางแล้ว (อาศัยธรรมของหลวงพ่อสดที่ท่านค้นพบเป็นพื้นฐานนะครับ ไม่ไ่ด้รู้เอง) ใช้ได้ ก็เพ่งดูให้ลึกขึ้นต่อไป จากนั้น สามเณรก็เห็นเป็นเหมือนหนัง เป็นเรื่องราวขึ้นมาเลย ผมจึงบอกว่า "นี่เป็นอดีตชาติของสามเณรนะ" ที่สามเณรสร้างบารมีมาจนได้บรรลุโพธิจิต (จำเรื่องราวที่สามเณรบอกอดีดชาติของเขาไม่ได้แล้วครับ ต้องขออภัย) จากนั้นไม่นาน ภาพก็ดับหายไป แสดงว่า "ขณะนี้ญาณหยั่งรู้อดีตของสามเณรสิ้นสุดได้เท่านี้นะ" ก็เพ่งต่อไป สามเณรก็เห็น "กายทิพย์" เหมือนคนดูงดงาม ดูดี คนหนึ่ง ผมจึงบอกว่านี่แหละ "กายทิพย์" ของสามเณร หรือวิญญาณขันธ์ นั่นแหละ สามเณรก็ฝึกไปเรื่อยๆ เพ่งลึกไปเื่รื่อยๆ จากดวงแก้วทะลุเจอกายทิพย์ เพ่งดูในกายทิพย์เจออีกหนึ่งดวงแก้ว (เออ จริงดังคำสอนของหลวงพ่อสดนะเนี่ย ถ้าไม่ได้ท่านบอกนำทางไว้ คงไม่ได้มาถึงขั้นนี้ได้) จนหมดแล้ว ทีนี้ อธิษฐานดูกายทิพย์ทั้งหมด ก็ปรากฏทั้งหมด เรียงกันมาพร้อมกันเลย (พอจิตมันรู้ทางแล้ว ต่อมา ก็ไม่ยากเลย) ก็เห็นว่าคนเรามีกายซ้อนกาย หลายกาย อยู่ภายในจริงๆ ดังคำสอนของหลวงพ่อสด และตามไตรปิฎกที่ว่า "กายในกาย" เวลาปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ เขาให้เพ่งดู "กายในกาย" อ้อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง (ถ้าไม่ทำ ก็ไม่ีรู้)


ว่าแล้ว เราก็อยากเห็นสิ่งที่เรียกว่า "จิต" ดูว่า มันต่างจาก "วิญญาณ" อย่างไีร เพราะเราเคยอ่านมาพบว่า "มโนธาตุ" ก็ตัวหนึ่ง "วิญญาณธาตุ" ก็ตัวหนึ่ง คนละตัวกัน จิตก็อย่างหนึ่ง นิพพานก็อย่างหนึ่ง คนละอย่างกัน (ในปรมัตถธรรม แบ่งธรรมทั้งหลายออกเป็นสี่หมวด คือ จิต, เจตสิก, รูป และนิพพาน) แล้วเขาก็เพ่งดู เห็น "จิต" นั้น ไร้รูปร่างที่แน่นอนชัดเจน เหมือนแสงสว่างโพลงออกมา เหมือนดาวประกายแสงจ้าอย่างนั้น เราก็เข้าใจแล้วว่า "นี่คือ ดวงจิต" ที่เรียกว่าดวงจิต ยังไม่ใช่จิตแท้ๆ แต่เป็น "ผลจากจิต + รูป" ถ้าจิตไม่ผสมโรงไปกับรูปขันธ์ ก็ไม่เป็นเช่นนี้ ไม่เห็นเช่นนี้ เหมือนที่ท่านตั๊กม้อเคยบอกลูกศิษย์คนหนึ่งว่า "ถ้าเธอเห็นจิต มันจะเป็นจิตได้อย่างไร?" เพราะจิตนั้นเป็น "นาม" มิใช่ "รูป" (เมื่อพิจารณาธรรมโดยแยกเป็น รูปและนาม นั่นเอง) เหมือนฝรั่งถ้ามาศึกษาเรื่องจิต ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด ก็จะมองผ่านมุมใดมุมหนึ่ง เช่น มุมของพลังงาน ก็จะมองว่าจิตคือพลังงานรูปหนึ่ง ก็ว่ากันไป แต่ที่เข้าใจว่าจิตเป็นพลังงานนี้ ก็ยังเป็นความเข้าใจในระดับเปลือก ยังไม่ถึงแก่นแท้เสียทีเดียว แต่จะรีบสรุปว่าใช่หรือไม่ใช่ นั้น คงไม่ได้ เอาเป็นว่าใครสัมผัสพบเจอแบบไหน ก็อย่าเพิ่งหลงเชื่อทันทีในแบบที่เห็น เพราะ "รูป" มันพรางตาเราได้ แต่ก็ใช่ว่าจะผิดไปเสียทีเดียว ไม่เช่นนั้นจะไปคุยกับใครเขารู้เรื่องแม้แต่บรรพบุรุษของเราที่เขาได้พบเจอมาบ้างเหมือนกันแล้วจึงให้คำเรียกว่า "ดวงจิต" มาให้เราใช้เรียกกัน (โปรดอย่าดูถูกบรรพบุรุษ) จบ!



 

อาบน้ำทิพย์ เขาไกลาส

เรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อครั้งผมยังบวชเป็นเณร และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลือทางโลกทิพย์ เป็นช่วงแรกๆ หลังจากที่เขาเริ่มได้ตาทิพย์และมโนมยิทธิแล้ว เราก็ออกท่องมิติทิพย์กัน บางครั้ง ก็มีครูบาอาจารย์ทางโลกทิพย์พาไป แต่บางครั้ง เราสองคนก็ไปกันเอง เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และเห็นทุกอย่าง จนหมดความลังเลสงสัย เขาจึงท่องสวรรค์ไล่ชั้นไป จากชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่หก แต่พอควร ไม่ได้ไปทุกที่ของสวรรค์ ไปเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น มีครั้งหนึ่ง เขาแวะไปที่สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วไปดูสองอย่าง คือ ๑. ดอกบัว ของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ เบื้องบนบอกว่าเมื่อใดที่พระโพธิสัตว์มีปณิธานในการโปรดสัตว์ สำเร็จโพธิจิตก็จะเกิดดอกบัวหนึ่งดอกในสระทิพย์นั้น (พระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเป็นคนบนโลกนะครับ) แล้วเมื่อเข้าไปเพ่งดูดอกบัวนั้น ก็จะเห็น "ปณิธาน" ที่ท่านผู้นั้นมีด้วย บางดอกก็ใหญ่มาก บางดอกก็เล็กต่างกันไป เกิดจากผลบุญบารมีทั้งสิ้น และถ้าดอกบัวดอกไหน "บาน" ก็หมายความว่าพระโพธิสัตว์องค์นั้น "บรรลุธรรม" ซึ่งก็มีทั้งตูมและบานคละเคล้ากันครับ ว่าแล้วเขาก็ไปดู "สวนท้อ" ต่อ เบื้องบนบอกว่าสวนท้อ คือ "ผล" (คนเราทำความดี, สร้างบารมี ย่อมมีทั้งดอกและผล นั่นเอง) ท่านว่าถ้าสร้างบุญบารมีเกิดผลแล้ว ก็จะบังเกิดผลเป็น "ผลท้อสวรรค์" อะไรประมาณนั้น แต่สามเณรจะดูมากเกินไปก็ไม่ควร เพราะบางอย่างเป็นความลับสวรรค์ ว่าแล้ว เมื่อท่องสวรรค์ครบหกชั้นแล้ว จึงกลับมา (ไม่มีเรื่อง ปลอดภัยกลับมาได้ ก็ดีแล้วครับ)


วันหนึ่ง เราก็ได้ไปเที่ยวที่ๆ หนึ่ง คือ "ยอดเขาไกลาส" ครับ ที่นั่นมี "พระศิวะ" มาประจำดูแลโลกอยู่ ตอนขึ้นสวรรค์ชั้น ๒ (ดาวดึงส์) ก็เจอพระพิฆเนศ ทำเอางง ตกลงยังไงกันแน่? เพื่อให้เ้ข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ครับ  "เทพทุกองค์" จะมีที่นั่งทำงานประจำที่สวรรค์ชั้นดุสิตทั้งหมดไม่ว่าแท้แล้วท่านจะเป็นเทวดาที่มาจากชั้นใดก็ตาม เช่น พระสยามเทวาธิราชอาจเป็นพระโพธิสัตว์บนสวรรค์ชั้นดุสิตก็ได้แต่เมื่อมาทำงานที่ชั้นสอง  ท่านก็จะใช้ "นิรมาณกาย" เป็นพระสยามเทวาธิราช แล้วมาทำงานที่สวรรค์ชั้นสองได้ครับ อย่าง พระศิวะ ท่านก็สามารถไปทำงานที่สวรรค์ชั้นที่สองก็ได้ แต่ปกติ ท่านจะอยู่ประจำที่ยอดเขาไกลาสครับ เราได้ไปพบท่านแล้วจึงขอลงไปใน "สระน้ำทิพย์" ซึ่งเคยได้ยินว่าเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำของโลกอะไรประมาณนั้น ก็เลย ไหนๆ ก็มาแล้ว เราก็เลยขอลงไปอาบน้ำในสระน้ำทิพย์เสียเลย ทั้งสองคนก็อาบทางกายทิพย์ที่ใช้ไปนั้น (ตอนนั้น ยังไม่รู้เรื่องการชำระล้างจิตวิญญาณอะไรเลย ทำไปตามความรู้สึกภายใน ก็เท่านั้นเอง) แล้วเราก็ได้ "ปลูกดอกไม้ทิพย์" ซึ่งเรานำมาจากสวรรค์ "สุขาวดีโลกธาตุ" จากวิมานของเราเอง ปลูกไว้บริเวณนั้น เพื่อเป็นสิ่งใช้ระลึกถึงมิตรภาพที่เรามีต่อกัน (ต่อพระศิวะ) ครับ คิดเองอย่างนั้น ก็ทำไป ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร (ก่อนเราจะมาก็ได้แวะวิมานเก่าของผมที่สุขาวดีด้วยครับ) เรื่องราวการท่องมิติทิพย์วันนี้ เล่าให้ฟังสนุกๆ เล่นๆ อย่าคิดอะไรมากครับ ไม่มีสาระอะไร ผ่านมา ผ่านไป หมดไป จบไป เท่านั้นเอง!



 

แหล่งพลังทิพย์ ที่ประเทศญี่ปุ่น

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งที่ผมยังบวชเณร และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยอยู่ ช่วงนั้น ที่ยังมี "พญานาคหนุ่ม" อยู่ที่ท่าน้ำหน้าวัด (ใต้พื้นดินลงไปในชั้นบาดาล) ช่วงนั้น เราได้หลวงพ่อโต ท่านมาโปรดและแนะนำอะไรให้เรามากมาย อย่างหนึ่งคือ เราชอบอะไรที่มันเร็ว, ลัด, สั้น, ง่าย เพราะเราเสียเวลามากับการบำเพ็ญบารมี ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ดังนั้น เราจึงไม่ได้ฝึกกรรมฐาน ๔๐ แบบเดิมๆ ซ้ำๆ แ่ต่เราจะฝึกแ่ค่พอผ่าน ให้เข้าใจ รู้เป็นพื้นฐานก็พอ เช่น ถ้าสามเณรยังอ่อนเรื่องสติ ก็ให้เขาฝึกจงกลม ดูว่าพอเขาผ่านได้แล้ว ก็ไม่้ต้องไปวนซ้ำๆ ทำแ้ล้วทำอีกอยู่นั่น จะเอาวสีหรืออะไร แ่ข่งกับพราหมณ์ฤษีหรือไร? ไม่ละ เราได้พื้นฐานแล้ว เราก็เลยฝึกอภิญญาเลย แล้วอาศัยการทำกิจ, บำเพ็ญบารมีนั่นแหละ เป็นตัวทำให้เกิิิดพละทั้งห้า ขึ้นมาเอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ได้เสียเวลาไปกับการฝึกกรรมฐานนานๆ แต่เราจะทำกิจของเรานานมากกว่า และในครั้งหนึ่ง ที่เรากำลังหาวิธีโปรดสัตว์อยู่นั้น เราก็คิดได้ว่า สัตว์ทิพย์เช่น พญานาคนั้น เขาโตช้า เขาต้องโตจนมีหลายๆ เศียรแล้ว เขาจึงพร้อมเข้าสู่ธรรม ถ้าเราจะย่นระยะเวลาให้เขา ก็ต้องคิดค้นหาวิธี ก็ต้องทดลองดู อย่่างหนึ่ง ในการทดลองของเรา ที่ได้ผลคือ การให้สัตว์ทิพย์ประสานร่างมนุษย์ แล้วบำเพ็ญธรรม อันนี้ เร็วมา่ก ใช้สูตรแปลงค่าเวลาอย่างเช่น ๑ ปีทิพย์ของเขา มันเป็นพันๆ ปีมนุษย์ ใช่ไหม? และในหนึ่งช่วงชีวิตคน สมมุติว่ามีอายุ ๑๐๐ ปี แต่พญานาคอาจมีอายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าเขามาบำเพ็ญในร่างมนุษย์ ๑ ปีละ ก็ไม่เท่ากับว่าเป็น ๑๐ ปีทิพย์พญานาคหรอกหรือ? ก็สงสัยแล้วทดลองดู ไม่ึถึง ๑ ปีหรอกครับ แค่ไม่กี่วันเอง แต่เราใช้สูตรลัด เร็ว, ลัด, สั้น, ง่าย ตลอด ซึ่งก็ได้ผลครับ แต่เสี่ยงพอดู เพราะมันมีพลาดได้เหมือนกันไอ้แบบนี้ิ (ซึ่งผมก็เคยพลาดมาแล้วครับ แต่ก็ฮึดสู้ เริ่มต้นใหม่ต่อไปได้ครับ)


มาถึงเรื่อง "สูตรลัดสั้นสำหรับพญานาคหนุ่ม" กันบ้าง ในโอกาสนั้นเอง หลวงพ่อโตได้ช่วยเรา โดยการแนะนำถึงแหล่งพลังงานอย่างหนึ่ง อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นครับ พวกเราก็เลยไปลองดูกัน โดยถอดกายทิพย์ไป พอไปถึงแหล่งพลังงานนั้น ก็ใช้กายทิพย์นั้น รับพลังงาน ซึ่งท่านว่านี่เป็นพลังธรรมชา่ติที่ค่อนข้างบริสุทธิ์มากครับ เราก็ฝึกบำเพ็ญ ไม่นานกายทิพย์ที่เราใช้ไป คือ กายพญานาคนั้น ก็สำเร็จจากหนึ่งเศียรเป็นเก้าเศียรได้อย่างรวดเร็ว จนได้มาอวดพญานาคหนุ่มแล้วชวนเขาไปฝึกแบบเราด้วย (ซึ่งได้เคยเล่าแล้ว) นอกจากนี้ ยังมีแหล่งพลังงานในโลกอีกมากมายครับ เช่น ช่วงที่โดนอสูรทารุณเล่นงาน เราก็ได้เทพนาจาไปกับเรา จำไม่ได้ว่าที่นั่นชื่อว่าอะไร เหมือนว่าอยู่ประมาณประเทศอินเดียหรือเนปาลอะไร ก็ไม่ทราบครับ (ลืมไปแล้ว) พอเราได้พลังตรงนั้นมา ก็เห็น "ลูกไฟ" มาตกลงมาจากฟ้าเยอะแยะเลย ก็เลยรีบออกมาเลยครับ เราก็ไม่รู้นะครับว่าการที่เราไปฝึกพลังตามแหล่งพลังแบบนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อที่นั่นด้วยสิครับ? แต่นี่มันก็เรื่องตั้งนานมากว่า ๕ ปีแล้วนะครับ (ซึนามิญี่ปุ่นเกิดขึ้นเมื่อ ๑-๒ ปีมานี้เอง) จบ!



 

พลัง "รุ้งสายตาข่ายฟ้า"

เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะบวชเป็นเณร ตอนนั้นผมเริ่มฝึกฤทธิ์ได้มากพอควรแล้วในเพศฆราวาสก่อนหน้านี้ก็ห่มขาวปฏิบัติพื้นฐานสมาธิ แต่หลังจากนั้น ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาฝึกอภิญญา แต่เป็นสายมหายานนะครับ เมื่อผมได้อาจารย์ผู้เป็นฆราวาสมีสำนักตั้งอยู่บนดอย (ที่ผมเรียกว่าดอยสราญรมย์ เพราะอาจารย์ตั้งชื่อสำนักประมาณว่าสุขวิปัสโก อะไรแบบนั้น) ในช่วงที่สำนักยังไม่ล่มนั้น ผมได้ไปฝึกกับอาจารย์หลายท่าน อาจารย์ที่่ดูแลผมเป็นหลัก ได้แนะนำท่านผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ที่ท่านพิจารณาเห็นแล้วว่า "ผ่าน" มาให้ผมได้พบเจอและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนนั้น มีหลายท่านอยู่ แต่ละท่านก็ฝึกฤทธิ์คนละแบบ เช่น บางท่านก็หนักมาทางธาตุดิน, บางท่านหนักมาทางธาตุน้ำ, บางท่านหนักมาทางธาตุลม, บางท่านหนักมาทางธาตุไฟ เราก็จะใช้วิีธีประสานฝ่ามือกันเพื่อปรับสมดุลให้กันและกัน บางอย่างที่เรามีมากเกินไป ก็จะถ่ายเทไปสู่คนที่มีน้อย บางอย่างที่เรามีน้อยก็จะได้รับมาเพื่อเรียนรู้ต่อไป ช่วงนั้น ก็ได้พบอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมักเรียกพวกเราว่า (รวมทั้งตัวท่านเองด้วย) พวก "ผีบ้า" คือ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา แล้วก็ดูไม่่ค่อยสร้างภาพสักเท่าไร เลยเหมือนผีบ้าไปเสียอย่างนั้น แต่ผมคิดว่านั่นคือ คำชม ของอาจารย์มากกว่า เพราะสำหรับผมแล้ว "ผีบ้า" หมายถึง คนที่กล้าหาญที่จะเอาตัวเองออกมาจากปลักอาจมของเหล่่าสังคมฟอนเฟะ เพื่อค้นหา, ทดลอง, ปฏิบัติ สิ่งใหม่ๆ อันจะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ มันก็เลยเหมือนว่าเราบ้า หรือเหมือนผี ไม่ค่อยเหมือนผู้คนในบางครั้งก็เท่านั้นเอง อาจารย์ท่านนี้ก็ไม่ธรรมดา  ไม่ใช่ว่าผมจะหลงหรือยกยออาจารย์ัตัวเองนะครับ เพราะผมไม่ได้บอกชื่อให้ใครทราบเลยนี่ครับ ไม่เคยเอาชื่อเสียงของอาจารย์มาอวดอ้างหากินว่าฉันเป็นศิษย์หลวงปู่คนดัง หลวงพ่อคนดี คนนั้นคนนี้นะ จะได้รับการยอมรับ และลาภสักการะมากมาย อย่างนั้น ผมไม่เคยทำครับ ทำให้พวกชอบใส่ร้าย มาใส่ร้ายหาว่าผมเป็นศิษย์ไม่มีครูบ้าง พวกบ้าอยากได้ลูกศิษย์ เหมือนราชครูจิวหม่อจื้อ ในเรื่องแปดเทพอสูรฯ ก็มาหลอกผมให้ไปเคารพบ้าง ถ้าผมไม่เคารพเขาๆ ก็จะหาว่าผมดื้อด้าน สอนไม่ได้ หลงตัวเอง มีทิฐิมาก แต่มันไม่จริงหรอกครับ เพราะผมไม่เคยทำแบบนั้นกับครูบาอาจารย์ของผม และผมเป็นคนรู้ัจักเลือกครับ ถ้าไม่ดีจริง ถ้าไม่ทำตัวน่านับถือในสายตาผมจริงๆ มีหรือว่าผมจะรับเขาเป็นอาจารย์ได้ (หลวงปู่ หลวงพ่อดังๆ ทั้งหลายที่ท่านหลงไหลคลั่งไคล้กันจนต่อมน้ำตาจะแตกพลั๊กๆ นั้น ผมไม่เคยไปเป็นศิษย์ใคร องค์ไหนเลยนะครับ จะมีก็แต่หลวงปู่ หลวงพ่อที่มรณภาพไปแล้ว เป็นครูอาจารย์ผมทางโลกทิพย์ครับ)


แล้วเราทั้งหมดก็ได้เข้ามาล้อมวง "ปรับพลังภายใน" กันครับ ก็ง่ายๆ เพราะเราต่างคนก็ต่างปฏิบัติมาไม่น้อยแล้วนี่ครับ มาถึงตรงนี้ ไม่ใช่เวลาต้องมาฝึกอะไรกันมากอีกแล้ว เราก็แลกเปลี่ยนพลัง ปรับสมดุลพลังให้กันและกันเลย อาจารย์ทุกท่านในที่นี้ ไม่มีใคร "บ้าอยากใหญ่" ไม่มีใครทำตัวเหมือนองค์ลงแล้ว มาจับหัวคนอื่นกดลง (ผมเห็นเยอะครับ หลายที่เวลาองค์ลง ก็จะมาทำตัวเหนือคนอื่น กดคนอื่นลง ไม่ใช่มารยาทที่ดีของเทพชั้นสูงเลยครับ) เราต่างถือว่า "ธรรมเสมอภาคด้วยธรรม" แม้ผมอายุน้อย และไปทีหลัง ท่านอื่นๆ ก็นั่งคุยกับผมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และแลกเปลี่ยนกันเหมือนคนธรรมดาคุยกัน ไม่มียศศักดิ์ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือใครต่ำกว่าใครครับ เราก็แลกเปลี่ยนพลังด้วยการประสานฝ่ามือ ล้อมเป็นวงกลม (มี ๔ หรือ ๕ คน เห็นจะได้ครับ) สักพักหนึ่ง อาจารย์เจ้าสำนัก ซึ่งพอจะเห็นมิติทิพย์ได้บ้าง (แต่บางครั้งก็ไม่ได้ครับ) ซึ่งนั่งหลับตาเพ่งดูไปด้วย ก็บอกว่า "เห็นเป็นสายรุ้ง ประสานกันไปมาบนฟ้าเต็มไปหมด" ประมาณนั้น ผมเคยอ่านเรื่องของพุทธวัชรยาน เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ "พลังสายรุ้ง" และซกเชนไว้ เหมือนกับว่าเราจะต้องบำเพ็ญบารมีจนได้ "ฉัพพรรณรังสีเหมือนสีของสายรุ้ง" และถ้าได้แล้วก็นับว่าได้ซกเชนอะไรแบบนั้น (ไม่ขอสรุปว่าจริงเท็จประการใด ท่านไปศึกษาเอาเอง คิดเอง ลองเอง ให้เห็นผลจริงก่อน ก็แล้วกันนะครับ) อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็มีฉัพพรรณรังสี ๖ สี เป็นต้น ซึ่งพุทธะแต่ละพระองค์จะมีกันทั้งนั้น ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เช่น บางองค์อาจมี ๗ สี บางองค์อาจสว่างไปครึ่งจักรวาล แต่บางองค์ก็สว่างไปแบบไม่มีประมาณ นั่นเป็นเรื่องของฉัพพรรณรังสีก็เท่านั้นเองครับ จบ!



 

โปรดมังกรดำ ตอน จิตสัมผัสมังกรมาร

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งที่ผมยังเป็นสามเณร ผมแยกจากสามเณรคู่หูไปชั่วคราว เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วผมก็ได้ไปสถานที่ๆ หนึ่ง เป็นสถานธรรมที่มีคนเยอะมาก เจ้าสำนักที่นั่น ผมสัมผัสได้ว่าเป็นคนทีบารมีเก่ามาเหมือนกัน และเชื่อมโยงกับมิติเบื้องบนได้ ทว่า ออกจะมีเล่ห์เหลี่ยมสักหนึ่ง เรื่องราวในนี้ค่อนข้างมีหลายอย่าง แต่ผมจะคัดเอามาเล่าก่อนเฉพาะในเรื่องของมังกรดำที่ผมสัมผัสได้ ก็แล้วกัน กล่าวคือ ที่นี่จะไม่เน้นให้รีบนิพพาน และไม่ได้สอนธรรมะตามแบบพระพุทธเจ้าซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะเจ้าสำนักไม่ใช่พระนี่ครับ เขาก็มีธรรมในแนวของเขา และทำหน้าที่เป็นครู เป็นเหมือนพ่อผู้ให้กำเนิดคนอื่นๆ ซึ่งก็ทำได้ดีครับ แต่ค่อนข้างแปลกเท่านั้นเอง เพราะมีการพูดถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวแบบตรงๆ เลย และมีการเชิญมนุษย์ต่างดาวเข้ามาแทนองค์ประจำของคนด้วย เช่น บางคนไปรับขันธ์มา เขาก็มาขอให้ช่วยล้างให้ ล้างเสร็จแล้วก็รับ "มนุษย์ต่างดาว" กลับไป ดูเปลือกนอกแล้วเหมือนว่าเฟ้อฝันหรือหลอกลวง แต่ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ของอะไรเราไม่ควรไปดูถูกเขาโดยที่เราไม่รู้จริง แต่แปลกครับ ที่นี่ มีเรื่องของการชำระล้าง และการเกิดใหม่ด้วย แต่ไม่ไ่ด้พูดตรงๆ เหมือนเรื่องมนุษย์ต่างดาว เท่านั้นเอง เท่าที่ผมพอสัมผัสได้ (เพราะไม่มีสามเณรคู่หูไปด้วย จึงต้องใช้จิตสัมผัสของตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไรนัก) ก็มีการกำเนิดใหม่จริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกประเดี๋ยวประด๋าวนะครับเพราะมันคือความจริงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของผมบางคน ซึ่งไปที่นั่นมาแล้วเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนเลย อันนี้ "คอนเฟิร์มได้ครับ" เรียกว่ามันมีผลจริง ไม่ใช่เล่นๆ ไม่ได้มั่วๆ และไม่ใช่หลอกลวงแต่ไม่ึถึงขั้นจะเอานิพพานกันนะครับเหมือนปูฐานปูพื้นไปสู่อะไรสักอย่างแค่นั้นเอง ในขณะที่ผมเป็นสามเณรนั้นเอง ผมก็ต้องได้ครูเป็นฆราวาสแล้วครับ (เจ้าสำนักเป็นฆราวาสนี่ครับ) ก็โอเค ปล่อยไปตามบุญกรรม ใครจะไปห้ามได้ละ แต่ว่าเจ้าสำนักก็ไม่ธรรมดาครับ เพราะมีนายทุนใหญ่ เศรษฐีเยอะแยะ สนับสนุนเงินให้ทำหน้าที่ ตอนนี้เลยขยายที่ดินออกไปกว้าง มากๆ เป็นอาณาจักรเลย ทั้งยังก่อสร้างตึกเพิ่มไว้รองรับผู้ปฏิบัติธรรมอีกด้วย เรียกว่าทุ่มกันเต็มที่เลย


แล้วผมก็ได้อาศัยผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาเข้ามาปฏิบัติธรรมในนั้นเอง เป็นหูเป็นตาให้ แต่ผมไม่ได้รู้จักเขามาก เพราะเพิ่งมาเจอกัน ไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะพูดจริงเท็จมากแค่ไหน แต่เขาบอกว่าในช่วงก่อนจะมีการเิชิญมนุษย์ต่างดาวเข้ามานั้น ซึ่งเป็นช่วงของการปลดปล่อย เขาเห็น "จิตวิญญาณดำๆ" จำนวนมากเข้าไปรุมที่ตัวเจ้าสำนัก ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายกับตอนที่ "มังกรดำกินมาร" เข้าไป แต่คราวนี้ มันเยอะมาก ก็เท่านั้นเอง เพราะคนที่ไปที่นั่นมีเป็นพันถึงสองพันคนเลยในครั้งนั้น (ทุกๆ ครั้งก็ประมาณนี้) ผมจึงต้องใช้จิตสัมผัสเอา ก็รู้สึุกเหมือนอาจจะเป็นมังกรดำก็ได้ (มังกรดำไม่ใ่ช่ปอบนะครับ เพราะมันไม่ได้กินคนหรือกินไก่ แต่มันกินผีด้วยกันเพื่อเพิ่มฤทธิ์และการเจริญเติบโต) ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่ามังกรดำตนนี้ มันกินผีมืดเข้าไป เป็นอาหารไม่ต่างจากตัวที่อยู่กับสามเณร กินไปเพื่ออะไร? เพื่อเคลียร์และล้างพวกผีมืดที่อยู่กับคน แฝงร่างมาก แทรกอยู่ในกายบ้างไงครับ เมื่อเขาปลดปล่อยออกมาแล้ว มันก็กินหมดไปหมดเลย เรียบร้อย จากนั้น คนเหล่านั้นก็ได้ "มนุษย์ต่างดาว" กลับไปแทนผีกลุ่มเดิม เป็นวิธีการชำระล้างแ้ล้วสร้างใหม่อีกแบบหนึ่ง ซึ่งทำได้ผลเร็วและจำนวนมาก ทว่า อย่างที่ผมกล่าว มังกรดำเมื่อมันกินพลังดำเข้าไปมากเกินไป มันจะอารวาดครับ (ใครที่ไม่เคยเจอ จะไม่ทราบ) แล้วผมยังพอทราบอีกว่าพวกอสูรหรือปีศาจร้ายๆ มันจะมีวิธีเพิ่มฤทธิ์แปลกๆ ในแบบของมันเอง ที่ไม่เหมือนกัน ถ้ามันทำสำเร็จมันก็จะกลายเป็นปีศาจร้ายที่มีฤทธิ์มาก ปราบแทบไม่ไหวเลยครับ อย่างหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาคือ พวกมังกรดำ จะฝึกฤทธิ์เพื่อให้ถึงขั้น "มังกรมาร" มันจะกลายเป็นกึ่งมาร กึ่งมังกร เรียกว่าทั้งร้ายกาจและมีเล่ห์เหลี่ยมมากเลย สำหรับมังกรดำที่ทำงานในสถานธรรมแห่งนี้ ผมสัมผัสด้วยจิตดูแล้ว ท่าทางมันจะมีอนาคตไกล ไปในทางนั้นอยู่ และไม่ทราบว่าจุดจบของมันจะเหมือนกับมังกรดำตัวที่อยู่กับสามเณรคู่หูหรือไม่สิ?



 

โปรดมังกรดำ ตอน โปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง

ในช่วงของการบำเพ็ญบารมีโปรดมังกรดำนั้น มังกรดำได้ช่วยกิจเราหลายอย่างมาก แ่ต่เพราะความที่เขาควบคุมพลังดำในตัวเองไม่ได้ ทำให้เขาทำผิดพลาดยิ่งใหญ่ คือ ทะยานขึ้นฟ้าแล้วไปอารวาดบนสวรรค์ ทำเอาวิมานเทวดาพังกันไปหลายชั้นเลย สุดท้าย เมื่อพระยูไลปราบแล้ว เขาก็ต้องถูกกักตนอยู่ในภูเขาแห่งหนึ่ง (คล้ายซุนหงอคงมาก) คิดดูก็น่าสงสาร เพราะเขาไม่ได้ร้ายกาจโดยจิตใจแท้จริง แต่เป็นเพราะการทำกิจที่ต้องกินพลังดำเข้าไปมากนั่นเอง เมื่อหมดมังกรดำตัวที่หนึ่งไปแล้ว ต่อมา สามเณรคู่หูจึงได้บำเพ็ญบารมี จนได้มังกรดำตัวใหม่มาอีก คราวนี้ ตัวมันเล็กมากๆ และไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเลย ทว่า มันเป็นมังกรดำที่ค่อนข้างขี้ขลาดสักหน่อย อาจเพราะมันรู้อะไรมาก่อนหน้านี้ก็ได้กระมัง ดังนั้น เบื้องบนจึงมีคำสั่งบอกผมมาว่า "ให้โปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง" ผมก็คิดในใจว่าการโปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง จะต้องใช้เวลาไม่น้อยเลย ประกอบกับมังกรดำอยู่ในตัวของสามเณรคู่หู ซึ่งหลังๆ มานี้ เขาเริ่มคุมมันไม่ได้ และทำให้ผมเริ่มหนักใจ พยายามหาวิธีปลดภาระนี้ออกไป หากจะโปรดมังกรดำเป็นมังกรทอง คงไม่อาจที่จะใช้เวลาสั้นๆ ได้ นั่นหมายความว่าจะต้องทนอยู่กับสามเณรคู่หูซึ่งถูกมังกรดำครอบงำไปอีกนาน ประกอบกับมีความเห็นส่วนตัวว่าถ้าเขาอยู่กับเรานานเกินไป ก็จะติดเรา และไม่อาจมีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อาจมีอิสระได้ เราไม่ได้ต้องการให้เขาเป็นผู้ติดตามเราตลอดไป เราเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เขาก็จะต้องเติบโตและยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง อีกทั้ง การอยู่แบบนี้ ทำให้ประมาทหลงบุญเพราะสบายเกินไป สามเณรยังอายุน้อยคือเพิ่งอายุย่างเข้า ๑๕ ปีเท่่านั้น สมควรได้เปิดหู เปิดตา ดูโลกด้วยตัวเอง คิดเอง เรียนรู้เอง น่าจะเหมาะสมกว่าการที่ถูกผมควบคุมอยู่ตลอด เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว จึงปฏิเสธไป


พอผมปฏิเสธแล้ว "พระกษิติครรภ์" ที่อยู่เบื้องบนก็มาทำการโปรดเอง ท่านใช้เชือกทิพย์มัดเจ้ามังกรดำตัวน้อยไว้แน่น แล้วก็อัดพลังธรรมของท่านใส่เข้าไปเลย มังกรดำหนีไม่ได้ มันถูกซักฟอกกลายเป็นมังกรทองในเวลาไม่นาน (ว้าว เก่งจังอ่ะ?) เรียกว่า ท่านมาสอนผมให้เห็นว่าผมไม่อยากทำเพราะคิดว่ามันนานใช่ไหม ท่านก็เลยทำให้ดูเสียเลยว่านี่ไง แป้บเดียวเองเสร็จแล้ว แล้วท่านก็ไปเลย (ผมรู้สึกเหมือนโดนด่าว่าเป็นคนเกียจคร้านเลยครับ) ทำให้มังกรทองตัวนั้น มีอาการหวาดกลัวค่อนข้างมาก เพราะคงตกใจที่ถูกซักฟอก ถูกอัดพลังอย่างแรงและรวดเร็ว ต่อมา ผมมีธุระจำเป็นต้องเดินทางไปพิษณุโลก ทำให้ผมต้องปล่อยให้สามเณรอยู่ในกุฎิรูปเดียว ผลคือ สามเณรก็ถูกพระทั้งหลาย รุมเล่นงานและกดดัน จนเขาไม่อาจที่จะอยู่ได้อีกต่อไป ไม่นานเท่าไร แม่ของเขาก็ต้องมารับและสึกจากสามเณรไป (ก่อนหน้านี้ เขาก็ได้ทำการอธิษฐานถวายบุญผ้าเหลืองและบุญอื่นๆ ให้ผู้อื่นด้วยครับ) เป็นอันว่าเขาหมดบุญผ้าเหลือง แต่ก็จะได้ไปบำเพ็ญบารมีด้วยตนเองต่อไป เรื่องราวการโปรดสามเณรรูปนี้ จึงใช้เวลาร่วม ๑ ปีเชียวครับ...



 

โปรดมังกรดำ ตอน ผจญอสูรมหิงสา

เรื่องราวการโปรดมังกรดำยังไม่สิ้นสุด เพราะมังกรดำได้ทำหน้าที่ต่างๆ มากมายเลยทีเดียว เริ่มจากเมื่อมันยังไม่เติบโตมาก มันก็ทำงานเล็กๆ ก่อน พอมันเริ่มเติบโตใหญ่ขึ้น มันก็เริ่มทำงานใหญ่ได้มากขึ้น และกินมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ในช่วงนั้น เราฝึกอภิญญาอยู่ ก็ได้รับการทดสอบจาก "โลกทิพย์" ซึ่งแท้แล้วก็คือมิติที่ทับซ้อนกับเรานี่แหละครับ เช่น คนบางคนอาจไม่รู้ตัวว่าจิตวิญญาณของเขา ได้ทำกิจอะไรบ้าง ในโลกทิพย์ จิตวิญญาณนั้นก็ทำหน้าที่ในโลกทิพย์ไป สอดคล้องกับสังขารบ้าง ไม่สอดคล้องบ้าง เป็นธรรมดา ในที่สุด เราก็ได้รับการทดสอบจาก "เจตภูติ" ของมนุษย์คนหนึ่ง เขาอยู่ที่ประเทศจีน เป็นคนที่มีอำนาจไม่ใช่น้อยๆ เจตภูติของเขามีรูปนามเป็น "อสูรมหิงสา" อสูรตนนี้ ต่างจากอสูรทารุณตรงที่มันมีทั้งพลังอำนาจและเล่ห์เหลี่ยมจัด ในขณะที่อสูรทารุณไม่ใช่พวกที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัด และต่างจากอสูรราหูตรงที่มันมีฤทธิ์มากกว่าอสูรราหู ดังนั้น มันจึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของอสูร ที่มีทั้งเล่ห์เหลี่ยมและอิทธิฤทธิ์ อสูรตนนี้ ถ้าปล่อยไว้อาจนำพาเอเชียเข้าสู่สงครามได้ จึงต้องหาทางเคลียร์ก่อนที่จะกลายเป็นภัยใหญ่ ทว่า มันก็ไม่ธรรมดา เพราะอสูรตนนี้ มีหลายเศียร, หลายกร มีอาวุธทิพย์ต่างๆ มากมาย และเคยได้ยินมาว่าจะปราบอสูรมหิงสาก็ต้องอาศัย "พระแม่ทุรคา" จึงจะปราบได้ แต่ว่า เราสองคนไม่มีใครเป็นผู้หญิงเลย แล้วจะบำเพ็ญเป็นพระแม่ทุรคาได้อย่างไร? ก็เลยไม่รู้่ว่าจะทำอย่างไรดี มัวแต่คิดอยู่นั้นเอง เจ้ามังกรดำก็ทำกิจของมัน คือ ออกไปกินอสูรมหิงสาตนนี้เฉยเลย? มันกินเข้าไปเลย ง่ายมาก จบง่ายๆ อย่างนั้นเอง?


ทำเอาผมงง อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น มันง่ายเกินไปหรือเปล่า? แล้วมันจะเกิดผลกระทบด้านอื่นตามมาบ้างไหม? (มีแน่นอน ซึ่งก็คือ มังกรดำมีำพลังดำมากเกินไป จนควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วทะยานขึ้นฟ้าไปอารวาดบนสวรรค์ ที่เคยเล่าให้ฟังแล้วนั่นไงครับ) ต่อมา จิตวิญญาณมารเทวทัตก็ลงมาประจำในร่างของคนจีนคนนั้น อยู่แทนอสูรมหิงสา ทำให้ "วิถีกรรม" เปลี่ยน คือ แทนที่จะเกิดสงครามขึ้นอาจจะไม่เกิดแล้ว   เพราะพวกมารไม่ใช่พวกอสูร จะไม่บ้าทำสงครามเหมือนพวกอสูร แต่มารเทวทัตนี้ จะมีเล่เหลี่ยมจัดมาก มีการค้าขายแบบผูกขาด ไม่เป็นธรรม และเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ซึ่งเราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันจะต้องมีวิบากกรรมกันบ้าง จะให้ทุกอย่างดีไปหมดเลยคงไม่ได้ ผมเลยถามพระกวนอิมเกี่ยวกับมารเทวทัต ท่านก็ให้ปริศนาธรรมมาประมาณว่า "เทวทัตคือพ่อของพญามาร" อะไรแบบนั้น นั่นคือ ความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งมันก็น่าจะใช่อยู่บ้าง เพราะหลังจาก "คนจีน" คนนี้ ออกจากอำนาจแล้ว คนต่อไปที่มาแทนก็คือ "พญามาราธิราชโพธิสัตว์" มีอดีตชาติคือ "เป้าบุ้นจิ้น" ชอบใช้กฏหมายเล่นงานคนอื่น จับผิดด้วยการใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือ อันเป็นเอกลักษณ์ของพญามารตนนี้ นั่นเอง (ก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดีนะครับ)



 

โปรดมังกรดำ ตอน มังกรดำกินพระภูมิ

เรื่องราวการโปรดมังกรดำยังไม่จบสิ้น เมื่อมังกรดำตนนั้นในช่วงที่ยังไม่ถูกทัณฑ์สวรรค์ ยังคงทำกิจอยู่ ในขณะที่ทำิกิจให้เราอยู่นั้น มันก็ทำนอกเรื่องไปตามใจมันด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ตอนที่พระกวนอิมมอบมังกรดำให้แก่พวกเรา ท่านก็ได้ให้ "ของทิพย์วิเศษ" อย่างหนึ่งติดมาด้วย นั่นคือ "กระดิ่งทิพย์" ท่านบอกวิธีใช้คือ "อธิษฐานให้กระดิ่งทิพย์อยู่ในหูของมังกรดำ" ถ้ามังกรดำดื้อ หรือไม่เชื่อฟัง ก็ให้อธิษฐานสั่นกระดิ่งทิพย์ คล้ายๆ "รัดเกล้า" ของซุนหงอคงฉะนั้น (ที่สวดมนต์แล้วให้รัดศีรษะได้) เป็นอันว่าสบายใจขึ้น ไม่ต้องถึงกับลงมือรุนแรงกับมังกรดำ เอาแค่ทำให้รำคาญจนยอมเราก็พอ มังกรดำก็เลยอยู่กับพวกเรา และช่วยงานต่างๆ ด้วยการเล่นงานศัตรูบ้าง, กินของดำของฝ่ายตรงข้ามบ้าง ฯลฯ จนกระทั่งวันหนึ่ง มันก็ก่อเรื่องจนได้ เมื่อผมเผลอ ในช่วงนั้น บ้านผมเคยมีพระภูมิอยู่ตนหนึ่ง พระภูมิตนนี้คือ "ตา" ของผมเองที่ตายไปแล้ว มาเกิดเป็นพระภูมิประจำบ้าน แต่แล้วผมโปรดตาจนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไป ทำให้ ตำแหน่งพระภูมิว่างลง เจ้าแม่กวนอิมก็เมตตาแบ่งภาคลงมาเป็นพระภูมิให้ ตอนแรกผมคิดจะช่วยทำให้ท่านได้บารมีและอิทธิฤทธิ์ แต่ท่านปฏิเสธบอกว่า "รูปนามและสิ่งที่เป็นอยู่ ก็พอดีแล้ว" คือ ท่านต้องการมาเป็นพระภูมิธรรมดา เท่านั้นเอง ทว่า มันก็เกิดเรื่องจนได้ เมื่อ "มังกรดำ" คงมีจิตอาฆาตพระกวนอิม ที่ทำให้มันกลายสภาพจากมารเป็นมังกรดำ และให้กระดิ่งทิพย์ผมมาคุมมันอีก มันก็เลยเล่นงานพระภูมิซึ่งไม่ค่อยมีฤทธิ์แทน ด้วยการ "กินพระภูมิ" บ้านผมไปเลย ผมมารู้ก็ภายหลังเสียแล้ว ตอนนั้น "มารเทวทัต" ก็เข้ามาแทรกอยู่ในพระภูมิทันที ผมเห็นท่าไม่ดีแล้ว เพราะพ่อก็เริ่มมีอาการเหมือนเทวทัตเสียอีกด้วย


ซึ่งในช่วงตั้งพระภูมินั้น แม่ได้จ้างให้ "คนแถวบ้าน" คนหนึ่ง ที่ชุมชนของเราเชื่อถือศรัทธาว่าเป็นคนเก่ง ที่ตั้งพระภูมิได้ดี มีวิชาอาคม คนๆ นี้ตอนแรกก็บอกว่ามีค่าครู ๑๐๐ บาทเอง แม่ก็ตกลง ต่อมา กลับคำมาเพิ่มค่าอะไรอีกก็ไม่รู้ (เริ่มมีเล่ห์เหลี่ยมแล้ว) แม่ก็ยอมๆ ไป เมื่อคนทำพิธีขึ้นพระภูมิมีจิตเช่นนี้ผมก็ได้มารเทวทัตมาเป็นพระภูมิ ต่อมา ผมจึงร้องขอต่อ "หลวงพ่อโต" เพราะเริ่มไม่ค่อยไว้ใจบางคนเสียแล้ว (มังกรดำอยู่ในตัวสามเณรคู่หู แต่กลับถูกปล่อยให้มากินพระภูมิเราได้?) หลวงพ่อโตก็ให้พระภูมิมา "เป็นยักษ์" ท่านบอกว่าพระภูมิที่เป็นยักษ์นี้จะดุหน่อย แล้วเข้ากันได้กับทั้งพวกเทพและพวกอสูร (มังกรดำเป็นเทพอสูร) เมื่อไ้ด้พระภูมิที่เป็นยักษ์มาแล้ว ผมสังเกตุว่าแม่ก็ดูดุึขึ้นด้วยครับ เป็นอันว่าเรื่องพระภูมิก็จบลงไป  



 

โปรดมังกรดำ ตอน มังกรดำกินมาร?

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมได้โปรดมังกรดำ (แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับ "โดม มังกรดำ" นะครับ) ก่อนที่มังกรดำจะมีจุดจบคือ โดนทัณฑ์สวรรค์ไปนั้น เขาก็ได้ทำกิจอะไรๆ มากมาย โดยเฉพาะการ "กินของดำ" ผมเพิ่งเข้าใจว่ามังกรดำมีคุณสมบัติแบบนี้ ซึ่งมันจะทำให้คนที่เล่นของ ไสย์ดำ ค่อยๆ หมดฤทธิ์ไป และที่ไหนมีคนเล่นของ ไสย์ดำมาก มังกรดำก็จะชุกชุม แต่มันอาจจะอาศัยร่างมนุษย์เป็นพาหะชั่วคราวเท่านั้น ทำให้มนุษย์คนนั้นมีฤทธิ์มาก เช่น เป็นเด็กแว้นท์ที่ไม่มีใครกล้าต่อว่า, ไม่มีใครกล้าหือ หรืออาจจะอยู่กับคนค้ายาบ้า ทำให้พวกเขาไม่โดนจับ แต่เมื่อไรที่มังกรดำเหล่านี้ เห็นท่าว่าร่างมันไม่ได้เรื่อง หมดบุญ หรือไม่เอาไหน ไปต่อไม่ได้แล้ว มังกรดำก็จะทิ้งร่างนั้นไปหาร่างใหม่ทันที โดยที่ร่างนั้นไม่รู้เื่รื่องอะไร ไม่อาจควบคุมเกมได้เลย สุดท้าย ร่างนั้นที่เป็นมนุษย์ ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ รับกรรมที่ก่อไว้ (เคยทำร่วมกับมังกรดำ) ไปเพียงคนเดียว หลายคนถูกจับ บางคนก็ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน (ตอนมีมังกรดำอยู่ ซิ่งผาดโผนได้่ พอมังกรดำไปแล้ว ก็เกิดอุบัติเหตุ) ดังนั้น คนที่โปรดมังกรดำได้ จึงต้องมีบารมีคุ้มตัว พอตัว ถ้ามีไม่มากพอ ก็จะพบจุดจบไม่ดีได้ (หลังจากเสียมังกรดำไป) และไม่ควรปล่อยให้มังกรดำใช้ร่างไปทำกรรมเสื่อม เพราะเมื่อทำแล้ว มังกรดำจรจากไม่ยอมรับผิดชอบ แต่ร่างมนุษย์ กลับต้องรับผิดชอบไปเพียงผู้เดียว และข้อพึงระวังอีกประการคือ เมื่อมังกรดำกินพลังดำมาใหม่ๆ มันจะเหมือนถูกครอบงำด้วยพลังดำนั้นๆ เช่น ถ้ามันกินพลังดำของมาร มันก็จะมีความคิดจิตใจเหมือนมารตนนั้นไประยะหนึ่ง แต่แล้ว พอมันย่อยสลายพลังเป็นอาหารได้หมด มันก็จะกลับปกติ แต่มันจะร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ เพราะพลังดำในตัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันโตขึ้นเรื่อยๆ และจะควบคุมมันได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนี้ บางท่านจึงไม่นิยมโปรดมังกรดำ แต่ละเลือกโปรดมังกรขาว, มังกรเขียว แทน ซึ่งมังกรบางตนก็เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญธรรม เ่ช่น มังกรขาว จะดูดกินพลังขาวของพวกพราหมณ์ฤษี เมื่อเติบโตขึ้น พลังภาคขาวมากขึ้น ก็ไม่มีปัญหาแบบมังกรดำ


ทีนี้ มาดูมังกรดำตนนี้บ้าง วันหนึ่ง ผมได้เข้าเว็บไซต์บางเว็บ และพบว่าที่นี่เป็นชุมนุมของนักปฏิบัติธรรม แต่ทำไม คนที่เข้ามาจึงดูแปลกๆ และชอบทะเลาะเบาะแว้งกันประจำยากแก่การถ่ายทอดธรรมเป็นอย่างมาก วันหนึ่ง สามเณรคู่หูจึงใช้ตาทิพย์ดูให้ ก็พบว่า "มีกายทิพย์มาร" แทรกอยู่ในกลุ่มผู้ทำเว็บๆ นั้น (คนๆ นี้ผมเคยเห็นเขาเขียนบอกเรื่องตัวเองว่าจะหมดอายุขัยไว้ด้วย) เขาก็เลยส่งมังกรดำไปจัดการ มังกรดำไม่พูดพล่ามทำเพลง "มันกินอย่างเดียว" คือ กินกายทิพย์มารนั้นเข้าไปเลย ทำให้ "ดวงจิต" ของคนผู้นั้น จรไปมาอยู่ในร่าง วิ่งวุ่นไปทั่ว ผมเห็นท่าจะไม่ดี ถ้าดวงจิตจุติออกจากร่าง เขาอาจจะตายได้ จึง "ถอดกายทิพย์" ชั้นหนึ่ง เพื่อ "ครอบขันธ์" เขาไว้ทันที กายทิพย์นั้นคือวิญญาณขันธ์ที่จะไปแทนที่กายทิพย์มารของเขาที่ถูกมังกรดำกินไปนั่นหละ เมื่อจิตและวิญญาณของเขาประสานกันได้แล้ว ปัญหาก็จบ (จะเห็นได้ว่าการทำงานของเรา ต้องพึ่งพากัน ทำเป็นคู่ ขาดกันไม่ได้ใช่ไหมครับ) เรื่องก็เลยจบลงเช่นนี้



 

โปรดมังกรดำ ตอน กำเนิดมังกรดำ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงการบำเพ็ญบารมีร่วมกับ "เทพนักษัตรพาหนะทรง" ซึ่งผมและสามเณรคู่หู กำลังสนใจโปรดมังกรพอดี ในช่วงนั้น ผมได้พูดคุยกับบางคนในอินเตอร์เน็ต แล้วก็มีพลังแทรกผ่านจากคนๆ นั้นเข้ามา ผมสัมผัสได้ว่าแปลกๆ แล้ว จึงรีบกลับมาคุยกับสามเณรคู่หูๆ เขาช่วยเพ่งดูให้ ก็พบ "มารตนหนึ่ง" แทรกเข้ามาครับ มารตนนี้ เมื่อมองทางทิพย์มีลักษณะคล้ายนักการเมือง ใส่เสื้อสูทอะไรแบบนั้น (แปลกดีเนอะ?) ผมก็พยายามโปรด แต่เขาก็เป็นมารอ่ะนะ ก็เลยไม่ได้เชื่อฟังเราเลยแม้แต่น้อย (สงสัยผมพูดไม่ถูกจุดด้วยครับ) พอเอาไม่ไหวแล้ว "พระกวนอิม" ท่านจึงช่วยครับ ตอนนั้น ท่านน่าจะใช้ "ฝ่ามือยูไล" ลงมาเป็นฝ่ามือใหญ่มาก แล้วจับเอามารไปกับฝ่ามือนั้นไปเลย ผ่านไปไม่นาน เขาก็กลับมาอีกที "กลายเป็นมังกรดำ" ไปแล้ว ผมไม่ทราบว่าพระกวนอิมใช้วิธีไหนจึงทำให้มารกลายเป็นมังกรดำไปได้ครับ คราวนี้ เขามาเป็นพาหนะทรงให้สามเณรคู่หูของผม และผมก็คอยโปรดมังกรดำตนนี้อีกที (เขาดื้อมากน่ะครับ) มังกรดำตนนี้ "ดูดกินพลังปราณดำ" ทำให้มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเริ่มจากดูดกินพลังปราณดำ จากนั้น พอมันโตใหญ่ขึ้น มันก็เริ่ม "กินมารเล็กๆ ไปทั้งตัวเลย" (ผีกินผี?) มันก็เลยมีพลังมากขึ้น ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไรนัก วันหนึ่ง มันได้ดูดกินพลังของของทิพย์ภาคดำอันหนึ่ง มีลักษณะเหมือนท่อดูดกายทิพย์คนได้ (เจ้าแม่กวนอิมบอกว่าท่อดูดกายทิพย์นี้ ดูดกายทิพย์คนให้เข้าเว็บๆ หนึ่ง ทำให้คนไม่อาจออกมาได้ จิตใจพัวพันกับเว็บนั้นๆ เพราะกายทิพย์ของเขาอยู่ดูดไว้ในนั้น) มันเป็นท่อที่มีหลายปลาย เหมือนงูมีหลายหัวนั่นแหละ จำไม่ได้ว่า ๔ หรือ ๕ หัวครับ มังกรดำตัวนี้ก็ไปดูดกินมาเฉยเลย (ก่อนหน้านี้ มังกรดำจะดูดกินของดำ ของทิพย์ของภาคดำ เขาเก็บกินเป็นอาหารหมดครับ จนเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ)


นอกจากนี้ มังกรดำยังได้กิน "กายทิพย์มาร" ของคนๆ หนึ่งในเว็บบางเว็บเข้าไป ทำให้ร่างนั้นมีแต่ดวงจิต วิ่งจรไปมา (ยังไม่จุติออกจากร่าง) แต่วิญญาณ (กายทิพย์) หุ้มจิตไม่มีแล้ว ผมเลยต้องถอดกายทิพย์ชั้นหนึ่งครอบไว้ให้เขา (ทำให้จิตวิญญาณประสานกันได้ ไม่จุติจากร่าง) และต่อมามังกรดำก็ได้กินพลังของอสูรร้ายตนหนึ่ง ซึ่งมีฤทธิ์มากอีกด้วย (ไว้ผมจะเล่าเรื่องของอสูรร้ายตนนี้ ในภายหลัง) ในที่สุดจึง ทำให้มันกลับมากลายเป็น "มังกรสี่เศียร" ซึ่งผมงงมาก? เพราะไม่เคยเห็นว่าจะมีแบบนี้ ปกติจะเห็นแต่พญานาคเท่านั้นที่มีหลายเศียร ผมคิดว่ามันได้สำเร็จภาวะของมันอย่างหนึ่งแล้ว (เช่น ที่เขาเรียกว่ามังกรมารไง) ทีนี้ มันเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วละ (เพราะกินพลังมารมากเกินไป) มันก็เริ่มครอบงำสามเณรคู่หู และนำพาให้คิดนอกลู่นอกทาง ผมเห็นท่าจะไม่ดี ทำยังไงดีหว่า มันเริ่มจะอารวาดและไม่อยู่ในการควบคุม ผมหาวิธีเอาชนะโดยปัญญา เพราะเห็นท่าจะสู้ด้วยฤทธิ์ไม่ไหว (ขนาดอสูรร้ายกาจมากๆ มันยังกินไปได้เฉยเลย) แต่ก็ไม่จบ มันร้อนวิชาหรือบ้าพลังก็ไม่รู้ ทะยานฟ้าขึ้นไป อารวาดบนสวรรค์ จากชั้นหนึ่งไปสู่ชั้นสอง ขึ้นไปเจออะไรก็ทำลายดะหมด ไม่มีเทพองค์ไหนจะปราบมันได้เลย สุดท้าย พระยูไลเบื้องบนพระองค์หนึ่ง ลงมาจากสุขาวดี รอมันอยู่ ณ สวรรค์ในโลกเรานี้ชั้นไหนก็ไม่ทราบ ท่านก็ลงมาปราบมัน ตอนนั้นผมอยากทราบว่าท่านปราบด้วยวิธีไหน จึงให้สามเณรคู่หูคอยดูไว้ ทันใด พระยูไลพระองค์นั้น ท่านก็ใช้วิธีพราง ทำให้มืดไปเลย และมองไม่เห็นครับ กลับมาอีกที มังกรดำมันก็ร่วง (แต่ไม่ตายนะครับ) แล้วถูกลงทัณฑ์ กักขังไว้ ณ ภูเขาแห่งหนึ่งบนโลกนี้ ไม่รู้ว่านานเท่าใด ท่านข้างบนไม่ได้บอกครับ เรื่องของมังกรดำ ที่สำเร็จเป็นมังกรมาร จึงจบลงด้วยประการฉะนี้ ฉบับหน้า จะได้กล่าวถึงรายละเอียดของมังกรดำตนนี้ ที่ได้ปราบอสูรร้ายบางตนว่ามันทำได้อย่างไีรครับ สำหรับบทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้



 

ม้ายูนิคอร์น

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณร ช่วงนั้น ผมและสามเณรคู่หูกำลังสนใจบำเพ็ญบารมีอันเกี่ยวข้องกับ "เทพนักษัตรพาหนะทรง" เพราะเราอยากเข้าใจให้ชัดเจนว่าทำไม จึงเห็นพระโพธิสัตว์ในรูปวาดแต่ละองค์ทรงเทพนักษัตรพาหนะต่างกัน เช่น เห็นพระกวนอิมทรงมังกรดำ, พระเมตตรัยทรงปี่เซี๊ยะ (เต่ามังกรทอง) ผมจึงอยากทราบเรื่องราวเหล่านี้ให้กระจ่างว่าแต่ละท่านบำเพ็ญอย่างไร จึงได้อย่างนั้น ครั้งหนึ่งได้ถามพระเมตตรัยโพธิสัตว์ว่าสัตว์พาหนะทรงของท่านคืออะไร ท่านก็ไม่ได้ตอบตรงๆ เหมือนย้อนถามเราว่า "อะไรดีละ?" ก็เลยงงๆ คิดว่าเป็นปริศนาธรรมบางอย่างกระมัง เหมือนท่านให้เราได้รับประสบการณ์เอง ก็อาจจะเข้าใจ ช่วงนั้น เราเลยสนใจ "โปรดมังกร" ครับ เพราะเป็นอะไรที่ดูยากและมีความน่าท้าทายดีครับ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วช่วงหนึ่งเราก็เลย "ออกหาเทพนักษัตรพาหนะทรง" กันครับ ไม่่ใช่ว่าเราจะมีบุญนั่งรอก็ได้เสมอไป บางอย่างเราจำต้องไปบำเพ็ญบารมี จึงได้มาครับ ว่าแล้วสามเณรคู่หูที่เคยถอดกายทิพย์ไปโลกธาตุอื่นๆ เช่น สุขาวดีโลกธาตุ ก็เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางเดิน คราวนี้ ผมอยากให้เขาสำรวจดูว่า "ม้ายูนิคอร์น" มีจริงหรือเปล่า? เขาก็เลยถอดกายทิพย์ เหาะไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอยู่นอกโลกครับ เป็นเหมือนอีกโลกธาตุหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทั้งพรหมโลกธาตุและสุขาวดีโลกธาตุ (โลกธาตุมีเป็นหมื่นๆ อันนี้ก็ไม่ทราบว่าจะให้ชื่ออะไรดี?) แล้วเขาก็ได้พบที่โลกธาตุนั้น เป็นสวรรค์ของ "เทพนักษัตร" ครับ มีสวรรค์อยู่หลายชั้นมากๆ แต่ละัชั้นจะมีเทพนักษัตรชนิดเีดียวกันอยู่ พวกเขาจะมีลักษณะคล้ายๆ สัตว์เดรัจฉานบนโลก (แต่ดีกว่ามากครับ) เช่น บางชั้นก็เป็นชั้นของเทพม้า อย่างเดียว, บางชั้นก็เป็นชั้นของเทพวัว อย่างเดียว, บางชั้นก็เป็นชั้นของเทพเสือ อย่างเดียว ไม่ปะปนกันครับ และในแต่ละชั้นจะมี "ผู้ดูแล" อยู่หนึ่งท่าน มีลักษณะคล้ายมนุษย์ (ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน) ทำให้เราคิดไปว่าคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์มากๆ จนมากเกินไป จนรักสัตว์มากกว่าคน อาจจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ปกติ อาจจะต้องจุติมาอยู่ที่นี่บ้างกระมัง? ว่าแล้ว สามเณรคู่หูก็เข้าไปคุยกับผู้ดูแลๆ ก็บอกว่าอยากได้ม้ายูนิคอร์นสักตัวหนึ่งไหม? เขาจะให้ แต่สามเณรคู่หูไม่เอาครับ แค่ไปแวะเยี่ยมเยียนไม่นาน ก็กลับมาเลย เท่านั้นเอง


หลังจากการค้นพบนี้ ทำให้เราเปิดหูเปิดตามากขึ้นครับว่า "ของบางอย่างที่เราไม่เคยเห็น" อย่าเพิ่งไปสรุปว่าไม่มีจริงเสมอไป เพราะเราไม่เคยเห็น ก็อาจมีคนอื่นที่เขาเคยเห็นแล้วบันทึกไว้บ้าง ก็อาจเป็นได้ เช่น สัตว์ในวรรณคดีไทย เช่น คชสาร, สิงหราช, วิรุฬปักษ์, หัสดีลิงค์ ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรายังไม่เคยเห็น เราก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่? นอกจากนี้ เรายังค้นพบอีกว่า มันไม่อาจยึดได้ว่าพระโพธิสัตว์องค์นั้น จะต้องทรงเทพนักษตรอย่างนั้นอย่างนี้เสมอไป ทุกอย่างก็ปรุงแต่งไปตามเหตุตามปัจจัย ที่แต่ละท่านได้บำเพ็ญบารมี สร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา ก็เท่านั้นเองครับ เป็นอันว่าเราเลยไม่ได้ขี่ม้าบิน (ยูนิคอร์น) แต่เราก็ยังได้ขี่มังกรครับ ซึ่งเรื่องราวของการบำเพ็ญบารมีขี่เทพมังกรนั้น จะได้เล่าให้ฟังกันต่อในบทความฉบับหน้า สำหรับบทความฉบับนี้ ผมขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ...



 

กุมารทรงครุฑ & กุมารทรงนาค

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นเณร ผมและสามเณรคู่หูโปรดกุมารได้มากหลายคู่แล้ว จากนั้น ก็เริ่มหมดภาระกิจโปรดเทพกุมารเสียที ก่อนจะหมด ก็มีเทพกุมารคู่หนึ่งเข้ามา เป็นเทพกุมารที่มีฤทธิ์มากกว่าทุกๆ ตนที่เคยเห็น เพราะเทพกุมารตนหนึ่งทรงครุฑมาเลย อีกตนหนึ่งทรงพญานาคมา ตอนแรกผมก็คิดว่าเทพนักษัตรที่ทำหน้าที่เป็นพาหนะทิพย์ ไม่น่าจะให้เทพกุมารขี่ได้ (น่าจะรับใช้เทพชั้นสูงกว่านั้น) แต่แล้วสิ่งใดที่ไม่คิดว่ามี ไม่คิดว่าจะได้เจอ ก็ได้เจอจนได้ เทพกุมารสองตนนี้มีฤทธิ์มาก เป็นลูกท่านหลานเธอของเทพชั้นสูงมากๆ บนสวรรค์โน้น เรียกว่า "สถานะไม่ธรรมดาเลย" พอมาถึงปั้บ ก็เกิดเรื่องทันทีเลยครับ คือ เทพกุมารสองตน ตนหนึ่งไปฆ่ามารที่แฝงอยู่ในร่างของพระรูปหนึ่ง อีกตนหนึ่งก็ไปฆ่าอะไรจำไม่ได้แล้ว ที่มาแฝงในร่างพระเหมือนกัน เร็วมาก เกินกว่าจะห้ามได้ครับ (ในมิติทิพย์ต่างจากโลกเรามาก เมื่อพวกเขาเจอผู้ที่มีความแตกต่างกัน เช่น เทพเจอกับมาร เขาจะลงมือเล่นงาน หรือฆ่ากันเลยก็มีครับ) เราเลยไม่ทันห้ามเขา ส่งผลให้พระรูปนั้น ค่อยๆ เสื่อมฤทธิ์ลง จากที่เคยเป็นพระเรขาฯ เจ้าอาวาส หลังๆ ก็เริ่มมีปัญหาอยู่ไม่ได้ และมีพระรูปอื่นมาทำหน้าที่แทนครับ ผมก็ว่าอะำไรเขาไม่ได้ เพราะในโลกทิพย์เขาก็เป็นกันแบบนี้ เขาไม่ถือว่าผิด เป็นธรรมชาติของพวกเขาครับ เราจะลงโทษเทพกุมารทั้งสอง ก็ไม่ควร เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ จะเอากฏเกณฑ์มนุษย์มาจัดการกับเขาก็ไม่ได้ เลยต้องเฉยๆ ไว้ ปล่อยไปตามแต่เวรกรรมครับ พอเราปล่อยเท่านั้นเอง ทีนี้ เทพกุมารก็ไปอยู่กับสามเณรคู่หู ว่างๆ ก็ไปจับกิ้งก่ามาฆ่าเล่นครับ (อันนี้เริ่มจะไม่ใ่ช่แล้ว) ผมไปเจอพอดีพร้อมหลักฐาน เลยคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ยังไม่ทันสอนอะไรเขาเลย (กำลังคิดอยู่ว่าจะสอนอะไรเขาดี คิดไม่ออก เพราะเรื่องฤทธิ์เขาก็ได้แล้ว พาหนะทรงก็มีแล้วอีก) ผมเลยเตือนสามเณรคู่หู ไม่ให้ทำอย่างนั้น ว่าแล้ว ไม่ทันไร เทพกุมารสองตนก็มาอยู่กับผม เล่นเอาผมก็บ้าจี้ไปกับพวกเขาด้วย คือ ไปเล่นกับสามเณรเหมือนในหนังจีนน่ะ มือข้างหนึ่งผมก็เป็นเหมือนกงเล็บครุฑ อีกข้างหนึ่งก็เหมือนพญานาค (เอ้าเข้าไปสิ เออ เป็นไปได้เนอะคนเรา?) ทำเอาสามเณรโดนข่วนเป็นรอยไปเลย ทีนี้ เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเอาไม่ไหว คุมไม่อยู่แล้ว ทำอย่างไรดีละ เกินกำลังเราแล้ว


เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแบบนี้ ครูบาอาจารย์เบื้องบนของเรา ท่านคงเห็นและประเมิณแล้วว่าผมและสามเณรคู่หู เอาไม่อยู่แน่แล้ว คุมเทพกุมารสองตนนี้ไม่ไหวแล้ว (ยิ่งกว่าซนเสียอีกครับ) อย่างเทพกุมารตนอื่นๆ ทั่วไป เคยมาแล้วจะเล่นขี่ช้าง ขี่ม้า ประจำ เราก็บอกให้เขาหยุดได้ เพราะช้างกับม้านั้น เราเอาถวายพระนเรศวรไว้ อันนี้ เขามีของเขาเองเลย จะไปห้ามไม่ให้เขาเล่นของๆ เขาเองหรือก็กระไรอยู่ มันไม่ใช่ของเรานี่นะ สุดท้ายแล้ว เบื้องบนก็เลยช่วย เอาเทพกุมารสองตนนั้นไปหาครูอาจารย์ในโลกทิพย์ท่านอื่นๆ เห็นว่าไปได้ครูเป็นยักษ์ เขาก็คุมดี ดุกว่าเราเยอะ แต่ว่าเทพกุมารสองตนนั้นก็ยังไม่หายซน แต่เอ้าน่า ไหนๆ ก็ไปจากเราแล้ว เรียกว่า "โล่งอก" ไปที ไปดีละกันเทพกุมารทั้งสอง ผมกับสามเณรคู่หูเลยรอดพ้นความวุ่นวายไป ได้กลับคืนสู่ความสงบอีักครั้ง (แต่ก็คิดถึงเทพกุมารสองตนนี้บ้าง เป็นบางครั้งครับ) จบ!



 

พลาดท่า มารปัจเจกฯ!

เรื่องนี้เกิดขึ้น หลังจากที่ผมเริ่มประมาทเพราะโปรดมารพุทธะได้ หายเหนื่อยได้พักไปไม่นานนัก มารตนที่สองก็มาอีก คราวนี้ คู่หูผมกำลังมัวทำอะไรก็ไม่รู้ แต่เขาก็บอกว่ามารอีกตนมาแทรกแล้ว ผมก็ทราบดี ก็เลยให้เขาสื่อสารกับมารอีกครั้ง แต่ระหว่างที่กำลังสื่อสารนั้นเอง (อาจเพราะคู่หูกำลังมัวทำอะไรอยู่ด้วย)  มันก็เกิดเรื่องขึ้นครับ กล่าวคือ มารตนนี้บอกว่าเขาเป็นแค่มารเล็กๆ ไม่มีบริวารเลย (มารปัจเจกฯ) แล้วเขาก็ไม่ได้เก่งอะไร เลยมาสนทนาแลกเปลี่ยนด้วย คราวนี้ ผมเผลอเปิดทาง เขาเข้าไปแทรกได้ถึงดวงแก้วชั้นในสุดของผม นั่นหมายความว่า เขาแทรกอยู่ชิดกับจิตวิญญาณหลักของผมเลยทีเดียว แล้วไม่รู้อีท่าไหน เขาก็ใช้วิชามาร สับเปลี่ยนพลังบุญกับผมเฉยเลย ทำให้เขาสำเร็จเป็น "เซียนดำ" ทันที กล่าวคือ เขาสำเร็จเซียนได้ด้วยฤทธิ์ที่เขาใช้นั้น แต่จิตใจของเขาเหมือนมารเช่นเดิม ไม่เท่านั้น ทันทีที่เขาสำเร็จ เขาก็ขึ้นไปที่สุขาวดีทันที ตรงไปยัง "วิมานเก่าของผม" (วิมานนี้คือ วิมานที่ผมเคยอยู่ก่อนมาเกิดบนโลก ผมเคยแกล้งถามเทพเฝ้าประตูว่าเจ้าของวิมานชื่ออะไร? เขาตอบมาว่่า "พระจารุคิณีโพธิสัตว์" น่ะครับ) แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เขาสังหารบริวารของผมที่อยู่บนสุขาวดี ตายหมดเกลี้ยง ทั้งหมดจุติลงไปยังประเทศจีน (โดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน) แล้วเขาก็ยึดครองวิมานนั้นเลย เหตุการณ์ตอนนั้นคับขันมาก แล้วคู่หูของผมก็เพิ่งมารู้ทีหลัง ที่บริวารผมตายหมดแล้ว (ผลกรรมอันนี้ ส่งผลให้มิติปัจจุบันของผม ไม่มีใครมาทำงานเป็นทีมงานร่วมกับผมเลย) และตอนนั้น "เซียนมารปัจเจกฯ" กำลังได้ใจ


ผมมารู้ทีหลังเมื่อคู่หูบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ได้สติ รีบหมุนธรรมจักรดึงพลังบุญบารมีกลับมาโดยด่วน จากนั้น พลังงานที่เชื่อมโยงอยู่ระหว่าง "เซียนมารปัจเจกฯ" และผม ก็ส่งผลให้เกิดการดึงพลังบุญบารมีของผมกลับมาได้สำเร็จ (ไม่รู้ว่าทั้งหมด หรือแค่บางส่วนครับ ไม่กล้าถามท่านข้างบนเลย เพราะเราเป็นเหตุให้บริวารข้างบนตายขนาดนั้น) พอเราดึงพลังบุญบารมีกลับมาได้แล้ว พระอามิตาภะ ซึ่งท่านดูแลสุขาวดีอยู่ ท่านคงรู้ตั้งนานแล้ว แต่รอให้ผมดึงพลังบุญบารมีกลับไปก่อน พอได้จังหวะ ท่านก็ลงมาปราบ "แค่ฝ่ามือเดียวเองครับ" เซียนมารปัจเจกฯ จุติลงนรกไปเลย (โห! น่ากลัวมาก *๐* ต้นตำรับฝ่ามือยูไล!) จากนั้น คู่หูก็เลยบอกผมว่า "มารตนนี้ ติดหนี้ผมอยู่ เขาตกนรกแล้วเมื่อได้มาเกิดใหม่ จึงใช้หนี้ภายหลัง" เรื่องก็จบลงแบบนี้ ทำให้ผม เสียวๆ ยังไงชอบกล เหมือนจะต้องโดนสวรรค์ลงโทษหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทว่า งานนี้ ผมยังไม่โดนครับ ยังมีอีกงานหนึ่ง ที่ผมพลาดอย่างร้ายแรง แล้วก็ทำให้โดน "ทัณฑ์สวรรค์" ของจริง ซึ่งจะได้เ่่ล่าให้ฟังในบทความหน้าครับ สำหรับบทความนี้ ผมขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ ...



 

โปรดมารพุทธะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่ผมยังเป็นเณร และฝึกอภิญญากับสามเณรคู่หูอยู่ หลังเหตุการณ์อสูรทารุณเล่นงานเราได้ผ่านไปแล้ว เราได้พักช่วงหนึ่ง เรียกว่า พอหายเหนื่อยได้ไม่เท่าไร เราก็เริ่มต้องพบกับการทดสอบครั้งต่อไปอีก คราวนี้ ไม่ใช่พวกอสูร แต่เป็น "มาร" ตอนแรกผมไม่รู้ตัวหรอก แต่ก็มีพฤติกรรมและความคิดที่แปลกไปจากเดิม เช่น มีความคิดว่าพระทำตัวไม่ค่อยดี (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของเขา กรรมใครกรรมมัน) จากนั้น ก็เริ่มเดินตรวจวัด หาเรื่องจับผิดพระ แต่ไม่ได้เข้าไปคุยกับพระนะครับ (ทั้งๆ ที่เราเป็นเณรแท้ๆ) เรียกว่าจับผิดในใจไปเรื่อยเฉื่อย ส่วนเปลือกนอกก็ดูดีมาก แน่นอนอยู่แล้ว ระดับมารนี่ครับ จะไม่ดีได้ไง ไม่ใช่พวกอสูรสะหน่อยนี่นา ทว่า ก็ไม่รอดพ้น "ครูบาอาจารย์เบื้องบนท่านทราบครับ" ท่านก็เลยบอกผ่านสามเณรคู่หูมาว่า "มารแทรกเราอยู่" ว่าแล้ว ก็เลยบอกให้เขาอธิบายหน่อยว่ามารเป็นอย่างไร แล้วก็คุยกับมารเลย สามเณรคู่หูอธิบายว่า "มารมีลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้าทุกประการ" ยกเว้นว่าจะมีผิดสังเกตุคือ ไอมารและพลังดำที่เจือปนอยู่ในกายทิพย์ ซึ่งละเอียดอ่อนมากพอควร หากไม่สังเกตุก็คงคิดว่าเป็นพระพุทธเ้จ้าแน่นอน ว่าแล้วเราก็เลยให้สามเณรคู่หูช่วยเป็นสื่อกลาง เราก็คุยกับมารครับ ผมขอเรียกเขาว่า "มารพุทธะ" ก็แล้วกัน เพราะดูจากลักษณะที่เห็นทางทิพย์นะครับ เขาแทรกอยู่ในตัวผมนั่นเอง แต่อยู่ชั้นนอกสุด ยังไม่อาจเข้าไปถึง "ดวงแก้ว" ที่คุ้มครองกายทิพย์ชั้นในได้ (ก่อนหน้าที่ กายทิพย์ของท่านธัมชโยได้แวะมาทักทายเราครับ แล้วเราก็เลยเพ่งดูกายในกายของท่านเสียเลย แต่ขอไม่อธิบายในที่นี้ครับ) ผมรู้ว่าถ้ามารแทรกเข้าถึงดวงแก้วชั้นในได้ ผมจะเสร็จมารแน่ แต่ถ้ามารไม่อาจแทรกเข้าได้ลึก ก็ยังมีโอกาสจัดการได้ครับ เราก็เลยคุยกับมารไปว่า มารเหนื่อยไหมที่ดูแลศาสนามาขนาดนี้ (มารพุทธะเป็นมารที่คิดว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาเจ้าของศาสนาครับ ต่างจากพญามาราธิราช ที่คิดจะเล่นงานพระพุทธศาสนา) เราบอกเขาว่ามีอะไรที่คนฉลาดๆ ทำแล้วสบาย ไม่ต้องมาแบกภาระอะไรแบบนั้น เขาก็เลยสนใจ มารสนใจครับ (สงสัยจะพูดแทงใจดำมารได้พอดี เพราะตอนนั้น เรารู้สึกเหนื่อยมากกับการดูแลพระศาสนาครับ ทั้งๆ ที่ศาสนานี้ก็ไม่ใช่ของเรา แสดงว่ามารที่แทรกร่างเรา เขาคิดเช่นนั้น)


เมื่อมารสนใจ ผมก็เลย "หมุนธรรมจักร" จากภายใน ขณะที่มารยังแทรกร่างอยู่ ผมรู้ว่ามารเขาจะทรมาน เพราะพลังธรรมจักรจะสลายวิญญาณมารได้ แต่เขาอดทนดีมากครับ เขาไม่จรหนีออกจากร่างผม ดังวิญญาณอื่นๆ จนกระทั่ง "เขาตายสิ้นจากมาร" แล้วกำเนิดใหม่เป็น "มหาโพธิสัตว์องค์หนึ่ง" เหมือนเขาจะดีใจและมีสุขไม่น้อยเลยครับ เขาจรไปจากร่างผม เพื่อจุติยังสุขาวดีทันที แล้วก็เข้าฌานต่อเสพวิมุติสุขที่สุขาวดีเลยครับ นี่แหละหนอ ความยึดติดตัวกูของกู คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของศาสนา เลยต้องเหนื่อยยากมาดูแล เห็นพระศาสนา, พระสงฆ์ไม่ได้ดังใจ ก็ต้องทนทุกข์ ด้วยจิตมิจฉาทิฐิคิดว่าตนเองเป็นเจ้า ของศาสนา นั่นเอง เมื่อพ้นแล้ว ละวางแล้ว ก็พ้นทุกข์ มีสุขได้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมโปรดมารได้ โอ้ ดีใจมากครับที่โปรดมารได้ แต่เพราะความดีใจมากนี่เอง ทำให้ผมประมาทเลินเล่อ และถูกมารอีกตนแทรกต่อ คราวนี้ละ หายนะกำลังมาเยือนผมแล้ว แต่เรื่องนี้ ผมขอยกไว้เล่าต่อในบทความหน้าครับ ...



 

โปรดลูกของเทพสามตา

เรื่องราวการโปรดเทพกุมาร ต่อเนื่องมา หลังจากสองตนแรกผิดพลาดไปแล้ว ผมทำใจระยะหนึ่ง ก็ฮึดสู้ใหม่ กลับมาทำหน้าที่ตามเดิม เทพกุมารก็มาเรียน มาขอฝึกฤทธิ์ด้วย ซึ่งมีหลายคู่มาก แต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว ขอลัดคิว เล่าเรื่องของ "ลูกของเทพสามตา" ซึ่งมากับกุมารอีกตน (คู่กัน) ก็แล้วกัน กุมารสองตนนี้ ตนหนึ่ง เราทราบว่าเป็นลูกของเทพสามตา ก็เลยต้องสอน "ตาที่สาม" ให้เขา ไหนๆ ก็จะสอนตาที่สามแล้ว เราเลยต้องสอนแบบทั้งคู่ แต่เป็นพลังตรงกันข้ามกัน อนึ่ง สำหรับ "ตาที่สาม" นี้ ในมนุษย์จะฝึกเพื่อเปิดดู "มิติทิพย์" แต่ในเทวดาเขาก็มองเห็นมิติทิพย์กันอยู่แล้ว เออ นั่นสิแล้วจะมาฝึกตาที่สามทำห่าอะไร ว่ะ? ไม่ช่าย อย่าคิดแบบมนุษย์เช่นนั้น ในเมื่อเทพสามตา ยังมีตาที่สาม ซึ่งไม่ได้ใช้แบบมนุษย์ แ่ต่ใช้ในแบบเทวดาได้ เราก็ต้องหาวิธีสอนลูกเทวดาให้มีตาทิพย์บ้าง จะได้ไม่อายเทวดาเขา ที่เขาอุตส่าห์ส่งลูกหลานมาเรียนสำนักเรา เอ้ย ไม่ใช่ มาเรียนกับเรา ว่าแล้วก็ต้องมานั่งพิจารณาแล้วครับว่า ตาที่สาม ที่เราจะสอนเขานี่ มันจะเป็นอะไร? ก็พิจารณาเห็นว่า "ตาที่สาม" ก็คือ "ทวารทางออกของจักระที่หก" ก็เท่านั้นเอง ทีนี้ ถามว่า มันเป็นทางออกของอะไรละ? ก็ง่ายๆ "พลังภายใน" น่ะสิ มันจะเป็นทางออกของพลังที่มาจากภายใน พุ่งไปสู่ภายนอก เช่น เวลาเพ่งก็ยิงพลังออกไปจากตาที่สาม เหมือน "ไฟบัลลัยกัป" ที่ออกจากตาที่สามของพระศิวะ นั่นไง เอาละ ถ้าอย่างนั้น เราก็เข้าใจแล้วว่าจะสอนลูกเทวดาอย่างไร ให้มีตาที่สาม โดยให้เทพกุมารองค์หนึ่งได้ตาที่สาม "เชิงทำลายล้าง" และอีกองค์หนึ่งได้ตาที่สามเชิงรักษา


และแล้วก็ฝึกก็เริ่มขึ้นจากการสั่งสมพลังภายในของผมเป็นพลังภายใน "สีเขียว" มีคุณสมบัติในการรักษาและคู่หูมีพลังภายใน "สีแดง" มีคุณสมบัติในการต่อสู้ ทำลายล้างศัตรู เทพกุมารสองตน ประสานร่างผมและคู่หู ตนละร่าง ฝึกตามเราไป จนสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ทดลองใช้มัน ตนที่มีพลังสีแดง ยิงแสงสีแดงออกมาจากตาที่สามได้ ทำลายศัตรูได้ ตนที่มีพลังสีเขียว ยิงแสงสีเขียวออกจากตาที่สามได้ ใช้รักษาศัตรูได้ แต่เมื่อเทพกุมารประสานในร่างของเรา เราจะมีพลังเช่นนั้น ถ้าเทพกุมารจรออกจากร่างของเรา เราก็จะหมดฤทธิ์ไม่มีพลังเช่นนั้่น เรียกว่า เราไ่ม่ได้ฝึกฤทธิ์ให้ร่างสังขารตัวเอง แต่ฝึกให้จิตวิญญาณเทพกุมารทั้งสองนั้น ตาที่สามของผมจึงยังบอดเหมือนเดิม และตาที่สามของคู่หู ก็มีสภาพมองเห็นโลกทิพย์ตามเดิม นี่ก็คือ "ข้อน่าสังเกตุ" อีกประการหนึ่งของ "ตาที่สาม" ว่าหากตาที่สามนั้น อยู่แต่ในส่วนของจิตวิญญาณแล้ว ไม่ได้ประสานเชื่อมกับส่วนสังขารร่างกาย ส่วนของสังขารร่างกายก็จะไม่มีฤทธิ์ มองไม่เห็นในโลกทิพย์ ถ้าจิตวิญญาณดวงที่มีตาที่สาม จรจากร่างสังขารเมื่อไร เราก็จะไม่อาจใช้ฤทธิ์จากตาที่สามได้เลย ว่าแล้วก็ถึงคราวพวกเขาจากไป (เมื่อฝึกเสร็จแล้วจะจากไปเลย) เรื่องเลยจบลงเท่านี้ครับ...



 

ลูกเทวดา : มาขอเรียนด้วย

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังเป็นเณรอีกเช่นกันหลังจากผมและคู่หูโปรดพญานาคหนุ่มได้คิดว่าในมิติทิพย์คงรู้จักเรา หรือเรื่องราวของเราก็เป็นที่รู้จักกันในโลกทิพย์ไม่มากก็น้อย บวกกับสามเณรคู่หูไปได้ "รักยม" มา ซึ่งก็ไม่ได้พิเศษอะไรครับ มันไม่ได้ขลังที่คนปลุกเสก แต่มันกลายเป็น "สื่อนำวิญญาณ" ของเทพกุมารมาหาเราครับ (เทพกุมารจะมาเป็นคู่ๆ แบบตรงข้ามกันเสมอ) เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เหล่า "ลูกเทวดา" หรือ "เทพกุมาร" ทั้งหลาย ก็แห่เข้ามาเรียนธรรม, ฝึกจิตกับเราเป็นแถว เยอะมากๆๆ โดยการเข้ามาบำเพ็ญเป็นคู่ๆ ตนหนึ่งประสานร่างของผมเพื่อเรียนธรรม, อีกตนหนึ่งประสานร่างคู่หู เพื่อบำเพ็ญธรรม (เราใช้วิธีนี้ คือ ประสานร่างกันเลยครับ เป็นแบบเฉพาะของผมเอง) แต่ผมจะเล่าเรื่อง "เทพกุมาร" สองตนแรก ที่เข้ามาเรียนธรรมกับผม แล้วเกิดผิดพลาดก่อน เพราะ "ผิดคือครู" สอนให้ผมรู้ว่าครั้งแรกที่ผิดพลาดเป็นอย่างไร และควรแก้ไขอย่างไรครับ (ไม่ใช่ว่าผมจะทำได้ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มต้นหรอกครับ)


ครั้งนั้น เทพกุมาร ทั้งสองตนมาหาเรา เพื่อเรียนธรรม ทั้งสองตนดูเรียบร้อยดี ไม่น่ามีปัญหาอะไร ผมก็เลยจะหาอะไรให้เขาทำเพื่อสร้างบารมีครับ ตอนนั้น คู่หูไปตรวจเจอ "ปีศาจแมงมุม" ตนหนึ่ง อยู่หน้าบ้านคนๆ หนึ่ง (ตอนแรกบ้านของเขาก็ปกติแต่พอเราเคลียร์แล้วข้างบ้านเขากลายเป็นตลาด เจริญขึ้นมาเลย) ผมก็เลยมอบอาวุธทิพย์ให้เขาก่อน ตนหนึ่งได้ "ปะคำทิพย์" ตนหนึ่งได้ "กระบี่ทิพย์" คู่กันไป เพื่อปราบเจ้าปีศาจแมงมุมนี้ เมื่อกุมารสองตนไปถึง ตนที่มีปะคำทิพย์ก็เลยใช้ปะคำซัดไปที่ปีศาจแมงมุม ทว่า มันมีฤทธิ์ใ่ช่ย่อย มันทำให้ลูกปะคำทิพย์ที่ซัดไปยังมัน กระเด็นไปโดน "พระภูมิ" ประจำบ้านแถวนั้น หลายตน "ตายหมดเลยครับ" (เวรละตู ทำพระภูมิตาย กรรมจะมาถึงครูแค่ไหนเนี่ย?) ทั้งหมดประมาณ ๕ หลังคาเรือน ผมเห็นท่าไม่ดี เลยให้เทพกุมารกลับมาก่อน แล้วมาบำเพ็ญใหม่ ค่อยออกไปทำกิจ ทว่า ผลกรรมมันก็ตามมาครับ ครั้งที่เรากำลังฝึกฤทธิ์นั้น ผมและคู่หูก็บำเพ็ญ "หกกร" (มันจะทำให้กุมารมีฤทธิ์มากขึ้นครับ) แต่พลาดท่า "มารตนหนึ่ง" เห็นจังหวะเราไม่ดี มีกรรมเป็นช่อง เลยอาศัยช่องนั้น อัดพลังมารลงมา ผลคือ "กุมารสองตนกลายเป็นมารทั้งหมด" แล้วภาคมารก็เอาตัวไปเลยครับ ผมรู้สึกไม่ดีแล้ว จึงถามเจ้าแม่กวนอิมว่า "เกิดอะไรขึ้น" เจ้าแม่ก็บอกกับคู่หูมาว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" อะไรประมาณนั้น เราก็ปลง แต่รู้แล้วว่าเราพลาดละ สอนเขาผิด เขากลายเป็นมารไป ก็ทำใจอยู่นานครับ การสอนอะไรใคร ไม่ใช่ของง่ายจริงๆ พลาดไปนิดเดียว เทพกุมารกลายเป็นมารไปหมดเลย แถมพระภูมิตายไปอีก ๕ ตน พอทำใจได้แล้ว จึงเริ่มต้นใหม่ เราต้องไม่ยอมจบแค่ตรงนี้ ต้องแก้ไข แล้วทำให้ผ่านให้ได้ครับ เรื่องการโปรดเทพกุมาร ผมจะเอาไว้เล่าในบทความฉบับต่อๆ ไป ก็แล้วกัน สำหรับบทความนี้ ขอจบก่อนครับ ...




 

พญานาคบำเพ็ญธรรม

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งผมยังบวชเณร และคู่หูเพิ่งเริ่มได้อภิญญาใหม่ๆ แล้วเราก็ได้ีูรู้จักกับพญานาคตนหนึ่ง เขาเป็นพญานาคหนุ่ม มีเมียมีลูกแล้วแต่ว่าจำเป็นต้องแยกมาอยู่ที่นี่ เขากำลังย้ายมาสร้างที่อยู่ใหม่อยู่หน้าวัดเรา บริเวณใกล้น้ำ (ใต้พื้นดินลงไป) เราเลยถอดกายทิพย์ไปเยี่ยมเขา เขาบอกว่ายังทำอะไรไม่เสร็จเลย (แบบว่าเพิ่งมาใหม่) ก็เลยไม่มีอะไรจะให้ดู และเขายังไม่ค่อยมีฤทธิ์ บำเพ็ญได้เศียรเดียว แต่มีพญานาคอีกตน ที่อยู่แถวตำบลเรา เลยถัดจากบริเวณท่าน้ำนี้ไป เป็นปู่พญานาคาแล้ว ตนนั้นมีฤทธิ์มาก มีตั้ง ๘ เศียร (ตอนไปบิณฑบาตรผ่านบริเวณนั้นก็มีศาลปู่พญานาคาอยู่ด้วย) แต่ปู่พญานาคา เขาอายุมาก คงไม่ฟังพวกเราที่ยังเป็นเณรอยู่เป็นแน่ เลยคบพญานาคหนุ่มตนนี้ ไว้เป็นมิตรดีกว่า ว่าแล้ว เราก็ได้คำแนะนำดีๆ จากหลวงพ่อโต ทำให้รู้ถึงสถานที่ๆ มีพลังพิเศษ เป็นขุมพลังของโลก เราสองคนถอดกายทิพย์ไปฝึกฤทธิ์ที่นั่น ตอนนั้น คู่หูและผมต่างก็มีจิตวิญญาณดวงหนึ่งเป็นพญานาคด้วย (เลยเข้ากับพวกพญานาคได้ง่ายมาก) ว่าแล้วเราก็ไปฝึกกัน คิดว่า เดี๋ยวนะจะให้พญานาคหนุ่มตกใจเลย ว่าผลการฝึกของเราก้าวหน้าเร็วแค่ไหน? ว่าแล้วจากที่เรามีกันเศียรเดียว เราก็ได้ ๕ เศียร (ก่อนหน้านี้ เราถามเขาก่อนว่าพญานาคมีเศียรสูงสุดเท่าไร? เขาตอบเรามาว่า ๘ ไม่รู้ว่าเขาตอบจากความรู้จริงหรือประสบการณ์นะ) พอเราฝึกสำเร็จแล้ว ทีนี้ เราก็ไปอวดพญานาคหนุ่มตนนั้นอีก (เวลาผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์นะครับ) ทันใด พญานาคหนุ่มก็ลงมาขอเป็นศิษย์คู่หูเราเลย เขาตกใจมาก เพราะตอนแรกเราไปหาเขา ใช้กายพญานาคไปมีเศียรเดียว โผล่มาอีกทีกลายเป็น ๕ เศียรในเวลาไม่นานเลย ว่าแล้วเราก็รับเขาไว้ แล้วพาไปฝึกเลย เขาก็ฝึกร่วมกับเรา แล้วในที่สุด ก็สำเร็จได้ ๙ เศียรทั้งหมด พอฝึกสำเร็จแล้ว เขาก็เลยขอลาไปหาเมียที่ต่างถิ่น แล้วจะกลับมาอีกที (ท่าทางจะไปอวดเมียด้วยว่าตนได้ฤทธิ์ขนาดนี้แล้ว แบบว่าเร็วมากๆ) เพราะพญานาคเขาเคยบอกเราถึงการบำเพ็ญสองอย่าง คือ "การบำเพ็ญหลายๆ เศียร" และการบำเพ็ญ "ดวงแก้วพญานาค" เขาว่า มันทำได้ทีละอย่างแต่ละอย่างนานหลายปีทีเดียวกว่าจะสำเร็จได้เรียกว่าพญานาคหนุ่มนี้ไม่ต้องหวังเลย รอแก่ก่อนนั่นแหละ ถึงจะได้อะไรแบบนั้นเหมือนพวก "ปู่พญานาคา" เหล่านั้น


ต่อมา พญานาคหนุ่มก็กลับมาอีก แล้วเขาก็อาสามาช่วยงานเราในวัดด้วย เราก็เลยแนะนำเขาว่าให้เฝ้าวัดสิ ตอนกลางคืน พญานาคก็ทำงานเต็มที่เลยครับ เขาจะเลื้อยไปรอบวัด เป็นยามไปเลย แล้วทีนี้ เขาก็คงเห็นสิ่งไม่ดีที่อยู่ในวัด นั่นคือ "อสูรราหู" ที่อาศัยทรกอยู่กับพระประธานในวัดน่ะครับ เขาก็เลยต่อสู้กับอสูรราหูๆ ไม่ค่อยมีฤทธิ์เิงการต่อสู้ แต่มันก็มีฤทธิ์มากที่ไม่ตายด้วยอะไรๆ ถึงขนาดพญานาคตนนี้ พ่นไฟเข้าโบสถ์เยอะแยะเลย มันก็ไม่ตาย ทำไงได้ ก็เลยอยู่ๆ กันไปอย่างนั้น ต่อมาไม่นาน หลังจากพญานาคหนุ่มได้บำเพ็ญธรรมมาไม่น้อยแล้ว พระโพธิสัตว์นามว่า "ตัสสะ" หลังจากได้บรรลุอรหันตผลแล้ว ก็ได้ลงมาโปรดพญานาคตนนี้ จนสำเร็จอรหันตผลไปด้วย พญานาคหนุ่มก็ได้ติดตามพระโพธิสัตว์องค์นั้นไป ก็เลย ไม่ได้มาอยู่กับเราในภาคพื้นโลกอีก เรื่องราวของพญานาคหนุ่มตนนี้ ก็เลยจบลงด้วยประการฉะนี้



 

เด็กมีบุญมาเกิด : ทำให้ถูกหวยเป็นแสน!

เรื่องนี้ ไม่ใช่ผมถูกหวยเป็นแสนหรอกนะครับ แต่เป็นคนรอบๆ ตัว ไม่ใกล้ไม่ไกล คือ ผมสังเกตุอยู่นานว่าคนแถวบ้านมีถูกหวยกันบ่อย เลยลองสังเกตุดูครับว่าเขาทำอะไรจึงถูกหวย แล้วก็เริ่มจับเคล็ดได้เล็กน้อยว่า "ทำบุญกับเด็ก" ครับ มันเป็นอย่างนี้ครับเด็กทุกคนที่เกิดใหม่ๆ จะมี "พลังบุญ" ติดมาฝากคนที่ดูแลหรือเลี้ยงดูด้วย ถ้าใครเลี้ยงดูหรืออุปการะ แม้ว่าไม่ใช่แม่ เช่นให้ของ, ให้เงิน ฯลฯ พลังบุญจะส่งผลเร็วทันใจ แปลกเสียจริง แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นเช่นนี้ในเด็กทุกคนหรือไม่? เพราะผมถูกหวยครั้งแรกในชีวิต ก็เพราะผมไปซื้อน้ำส้มไปเลี้่ยงเด็กกำพร้าน่ะครับ แต่ผมก็ถูกไม่เยอะนะครับ คนที่ถูกเยอะๆ นี่ เขาเลี้ยงหลานที่มีบุญละมั้ง หลานคนนั้นเกิดมาไม่นานเท่าไรครับ เขาถูกทีเป็นแสนและสองงวดต่อกันในไม่กี่เดือนครับ ยังมีอีกคนคือ พี่สาวข้างบ้าน (ญาติกัน) ก็ถูกหวยเพราะเอาเงินไปเลี้ยงเด็กเล็กข้างบ้าน ที่เพิ่งเกิดมาไม่นานครับ (โปรดสังเกตุว่่าคนที่ได้บุญนี้ จะต้องไม่ใช่พ่อแม่ของเด็กนะครับ) ผมว่าอันนี้ "ของจริง" ไม่น่าจะผิด แต่อาจไม่ใช่เด็กทุกคนมีพลังบุญเท่ากันนะ อาจเป็นเพราะเด็กมีจิตบริสุทธิ์ เลยให้ผลบุญเร็ว ก็ได้ หรือว่าเขาเคยเป็นพระในอดีตชาติมาเกิด? แล้วจิตที่เป็นเด็กยังใสๆ ก็เลยได้ผลบุญเร็วทันตา ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ถูกกันเป็นแสนนี่มากกว่า ๑ คน เท่าที่ผมลองสังเกตุ "นาบุญ" ของเขาแล้ว ไม่ใช่ "พระสงฆ์" นะครับ ทำไม พระสงฆ์ให้บุญได้ไม่เท่าเด็ก? อาจเพราะ ๑. โตมากแล้ว จิตอาจบริสุทธิ์น้อยลง ๒. ชาติก่อน ไม่ได้สั่งสมบุญไว้มาก เลยมาทำขณะเป็นพระชาตินี้ (ก็รอไปเอาชาติหน้าละกัน) ๓. เด็กที่ผมพบ อาจเป็นพวกมีบุญบารมีมาเกิด ก็ได้ ก็เจอบ่อยๆ อาจารย์พาไปเจอ เช่น เด็กที่เป็นครูบาศรีวิชัย, หลวงพ่อฤษีลิงดำ, หลวงปู่ปาน ฯลฯ มาเกิด พูดมากไปไม่ได้ ลูกศิษย์คลั่งอาจารย์ เขาจะด่าผมเอา ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วกัน ว่าแล้วผมก็มองๆ ดู "เนื้อนาบุญ" ต่อไป เพราะถ้านาดี มันทำได้ผลเร็วทันใจดีว่ะ ฮ่าๆๆ (บางคนเป็นชาวนา ไม่มีตำแหน่ง เงินเดือนกิน เหมือนจนนะ พอถูกหวยเป็นแสนนี่ เท่ากับเงินเก็บของมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานมาเกือบสิบไปได้เลย - มนุษย์เงินเดือนกว่าจะมีเงินเก็บ ก็ต้องทำงานหลายปี พอมีเก็บแ้่ล้วก็จ่ายเสียอีกครับ แต่นี่ ชาวนา เงินหลักแสนสำหรับเขา อยู่อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องมีเจ้านายมาสั่งใช้ ได้นานโขเลยครับ จะว่าไปแล้ว ชีวิตออกจะดีเลิศกว่ามนุษย์เงินเดือนตั้งมากมาย)


คำถามก็มีอยู่นะ เช่น ผมหรือคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบารมีมากมาย ทำไม คนที่มาช่วยเหลือผม ก็ไม่เห็นจะถูกหวยกันเลย ผมว่าก็จริงแหละ "บุญของคนเราไม่เหมือนกัน" เท่าที่ผมเห็น เคราะห์ร้ายจะถึงตัวใคร คนๆ นั้นชอบมาทำอะไรดีๆ กับผม แล้วเขาก็ไม่เกิดอะไรขึ้น "แค่ปกติเท่านั้นเอง" ก็เลย เหมือนไม่มีบุญอะไรหรอก (แต่ผมเห็นกรรมมันจ่อคอหอยแล้วเชียว กำลังจะโดนอยู่อีกไม่กี่วันแล้วเชียว มันก็หายไปได้) เออ ตรงนี้ ทำให้ผมทราบไปอีกว่่า "บุญและการจัดสรรบุญ" ไม่เหมือนกัน ถ้าอยากถูกหวย ให้ทำบุญกับ "เด็กที่มีบุญมาเกิด" และไม่ควรเป็นลูกเราเอง (เราจะไม่ได้ครับ) ถ้าอยากหมดเคราะห์ หมดกรรม ก็ให้ทำบุญกับคนที่บำเพ็ญบารมีผ่านเคราะห์กรรมมากๆ มาได้แล้ว (อันนี้ไม่ยาก ถามประวัติเขาก็ทราบแล้วละครับ) ถ้าอยากได้ตำแหน่งข้าราชการ ก็ไปทำบุญกับคนที่มี "บารมีทางยศฐาบรรดาศักดิ์" ถ้าอยากได้เมียดี เมียรวย อะไร ก็ไปทำบุญกับคนที่มี "บารมีทางคู่ครอง" แน๊ะ ไม่่ต่างอะไรกับการไป "ขอพรเทพฮินดู" นะ แต่ละองค์มีหน้าที่ "ให้พรต่างกัน" เราก็ลองดูเอา แต่นี่ดีกว่าขอพรจากเทพ บางครั้งเราต้องมีอะไรไปแลกให้เทพเขานะ แต่ถ้าเราใช้พลังบุญที่ได้จากการทำให้คนด้วยกัน "มันปลอดภัยกว่่าเยอะ" คร้าบเจ้านาย...