เรียนไม่จบ!

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแล้วไม่น่าจะมีเรื่องลึกลับเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเหมือนเรื่องทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็อาจจะพบได้นะครับ แต่บางครั้ง ในระดับที่ตาเนื้อเรามองไม่เห็น อาจจะมีอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ ไม่ทราบก็ได้ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผมศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ทำให้ผมเรียนในบางคณะไม่ได้ครับ


ผมอาจจะเรียนจบปริญญาตรีในคณะหนึ่งได้ก็จริง แต่ผมเหมือนคนที่เสียเวลาในชีวิตไปกับบางคณะโดย "เรียนไม่จบ" ครับ ดังนั้น ผมจึงรับรู้และเข้าใจได้ถึงความรู้สึกกดดันของคนที่เรียนไม่จบ ซึ่งมันร้ายแรงมาก โดยเฉพาะคำว่า "รีไทน์" เป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากคำสั่งประหาร สำหรับเด็กในวัยนั้นๆ เลย มันร้ายแรงมากในความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นแบบนั้นครับ ผมเคยลงเรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่สามคณะ ที่ผมไม่อาจเรียนจบได้ คือ ๑. แพทยศาสตร์ ๒. รัฐศาสตร์ ๓. เศรษฐศาสตร์ (ป. โท) ในความรู้สึกของคนที่ต้องออกจากการเรียนไปก่อนเพื่อนๆ ผมรู้สึกว่ามันกดดันและเจ็บปวดมากพอดู แต่ถ้าเราเข้าใจโลกอย่างแท้จริงแล้ว ผมว่ามันเบาเหมือนขนนกนะครับ กล่าวคือ การเรียนนั้นมีกว้างมาก ถ้าเราอยากเรียนเพื่อให้มีอาชีพ ก็ต้องเรียน "สายอาชีพ" หรืออาชีวะครับ แต่ถ้าเราอยากเรียนเอาปริญญา หรืออะไรจากมันก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพ จบมาไม่มีงานทำ หรือทำงานอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสาขาที่ตนจบมา ก็ต้องเรียนมหาวิทยาลัย คือ บางคนก็เรียนเพื่อเอาความรู้ (อยากรู้เฉยๆ), บางคนเรียนเพื่อเป็นนักวิชาการ, บางคนเรียนเพื่อเป็นฐานไปสู่ปริญญาโท, บางคนเรียนเพื่อเอาไปสอนต่อ (ไม่ได้เอาวิชาไปใช้่จริง), บางคนเรียนเพื่ออยากได้สังคม (เช่น เลือกตามเพื่อน), บางคนเรียนเพื่ออยากเข้าคณะนั้นๆ หรือมหาวิทยาลัยนั้นๆ ก็แค่นั้นเอง อย่าคิดมากครับ ชีวิตเราทั้งชีวิต ไม่ได้ถูกลิขิตด้วยการเรียนมหาวิทยาลัย มันแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ผมเองผ่านการเรียนไม่จบมาถึงสามคณะ, สามมหาวิทยาลัย แต่ผมก็ยังสนใจวิชาเหล่านั้นอยู่เสมอ ในระดับที่ผมพอจะเรียนรู้ได้ในปัจจุบัน ตอนนี้ มันก็กลายเ็ป็นแค่งานอดิเรกหรืออะไรที่เราชอบทำในยามว่าง ทำแล้วมีความสุข เท่านั้นเอง ไม่ใช่อะไรที่น่าเบื่อ ต้องทำทุกวัน อีกต่อไปแล้ว (อย่างบางคนเรียนจบแพทย์ ได้เป็นหมอ แต่พอทำงาน ทำแบบเบื่อ เซ็ง ไปวันๆ เพื่อนผมคนหนึ่ง เขาเล่ามาว่าเขาถูกนางพยาบาลปลุกให้ตื่นมารักษาคนไข้ แล้วเขาก็มาทั้งชุดนอน แล้วไปรักษาคนไข้ผิดเตียง อั๊ยย่ะ!)


เมื่อผมเข้าใจโลก เข้าใจธรรม มากขึ้น มันทำให้ผมมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งเลวร้ายเลย ที่ผมเรียนไม่จบสามคณะ สามมหาวิทยาลัยนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันคือกำไรของชีวิต ที่เราได้ไปเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น ได้เข้าสังคม ได้เข้าใจถึงกระบวนการส่วนหนึ่ง กว่าจะผลิตบัณฑิตในคณะนั้นๆ ออกมาได้ และได้อะไรบางอย่างมาบ้าง แม้จะจดจำเนื้อหาวิชาการไม่ได้ ก็ตาม เช่น ตอนที่ผมเรียนแพทย์ ผมเป็นคนที่โง่ที่สุดคนหนึ่ง วันหนึ่งในช่วงที่เราได้เรียนเรื่องเชื้อโรคต่างๆ รุ่นพี่ได้เอาเคสคนไข้มาอ่านให้ฟัง (ข้อมูลถูกสัมภาษณ์มาแล้ว) แล้วยกขึ้นเป็นกรณีศึกษา ถกกัน มีเพื่อนๆ ที่เก่งมากๆ มีเยอะแยะอยู่ร่วมโต๊ะ พี่ถามว่าให้สัณณิฐานโรคว่าเขาเป็นอะไร? แต่ละคนมักวนอยู่ในเรื่องเชื้อโรคที่กำลังเรียนกันอยู่ แต่มีผมคนเดียวตอบไปว่า "เป็นภูมิแพ้" ซึ่งมันไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่เกี่ยวกับเชื้อโรคที่เราเรียนอยู่เลย รุ่นพี่ถามว่าทำไมคิดอย่างนั้น ผมก็ตอบว่า "ข้อมูลบอกว่าน้ำมูกใสครับ" (น้ำมูกขุ่นมีสี มักมาจากเชื้อโรคต่างชนิดกัน แต่น้ำมูกใส ไม่น่าจะมาจากเชื้อโรค) แล้วรุ่นพี่ก็เงียบไปเลย ไม่เฉลย แล้วก็หยุดคุยเคสนี้ไปเลย (จบไงครับ) คือ บางอย่างผมอาจไม่ผ่าน เช่น ข้อสอบที่อาจารย์จัดไว้ ผมสอบไม่ผ่านแต่ผมคิดว่าผมก็ได้หลักคิด, แนวคิด, มุมมอง, จรรยาบรรณ ฯลฯ อะไรอีกหลายอย่างจากที่ผมเรียนมา แม้จะไม่จบครับ ทุกวันนี้ ผมก็ทำงานที่อาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่ผมเรียนนัก เพราะงานของผมไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ มีแต่ข้อมูล, ความคิดเห็น ฯลฯ ที่สื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ตฟรีๆ เท่านั้น แต่ผมก็ยังคงทำต่อไป ...



 

แกะฤษี

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยกิจอยู่ วันหนึ่ง สามเณรคู่หูได้รับข้อมูลจากเบื้องบนมาว่าให้ผมแกะสลักรูปฤษี แต่ว่าวัดที่ผมอยู่ไม่มีหินที่จะใช้แกะสลักเลยสักก้อน ผมจึงได้จรจาริกออกจากวัดชั่วคราว แล้วได้ไปบวชพระที่วัดแห่งหนึ่ง ยังไม่ได้ยกขึ้นเป็นวัด ยังเป็นแค่สำนักสงฆ์อยู่ เป็นที่ๆ มีก้อนหินทรายที่มีอายุมาก ทำให้เปลือกด้านนอกแข็งพอควร เมื่อทุบแล้วก็จะเปราะ แตกหักง่าย (เนื่องจากเป็นหินทรายนั่นเอง) แต่หากแกะสลักจากเปลือกด้านนอกก็จะแกะยากเพราะหินมีอายุมาก จึงแข็งนอกเปราะใน ผมจึงต้องทุบเอาเปลือกนอกออกไป แล้วค่อยๆ แกะส่วนที่เหลือ จึงแกะได้บ้าง ไม่ยากเกินไป แต่ผมไม่มีเครื่องมือแกะสลักเลย ต้องใช้เศษเหล็กอะไรก็ได้ เท่าที่มี เท่่าที่หาได้ แกะไปตามประสา เป็นรูปฤษี องค์เล็กๆ เท่าฝ่ามือเห็นจะได้ และไม่ได้สวยงามอะไรมาก แค่พอมองออกว่าน่าจะเป็นอะไรก็เท่านั้น เมื่อผมแกะสลักเสร็จก็ได้เอาองค์ฤษีไว้ในกุฏิ ไม่ได้ทำอย่างอื่น


ที่วัดนี้ เจ้าอาวาสเคยทำงานอยู่ในวัดใหญ่ พระพุทธชินราช มานาน ท่านไม่ได้เด่นดัง ไร้ชื่อเสียง และไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก คือ อยู่เฉยๆ อยู่มานาน เป็นประจักษ์พยาน รู้เ็ห็นความเป็นไปต่างๆ เท่านั้น ท่านเป็นคนที่รู้จักของดี ของหายาก มีเชื้อสายขุนนางเก่าสืบมาได้แต่รัตนโกสิน เลยเป็นคนชอบดูของหายากและเก็บของหายากอะไรแบบนั้น ท่านเคยเล่่าให้ฟังว่าในวัดใหญ่พระุพุทธชินราชนั้น ไม่ได้มีพระดีแต่พระพุทธชินราชเท่านั้น ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์ที่หน้าผากของพระพุทธรูป มีพลอยแท้เม็ดหนึ่งอยู่ด้วย แต่ภายหลังถูกเปลี่ยนเอาของแท้ออกไป เพราะกลัวถูกโจรกรรม พระพุทธรูปองค์นี้ เห็นว่าเคยถูกอัญเชิญไปพร้อมๆ กับพระพุทธชินราชครั้งเริ่มตั้งกรุงรัตนโกสิน แต่ไม่สำเร็จ เลยต้องอยู่ประจำวัดนี้ต่อไป ต่อมา ก็ยังถูกคงขโมยขึ้นรถไปตอนกลางคืน วันหนึ่ง ทว่า เกิดอะไรขึ้นไม่ทราบ รถที่ขโมยใช้นั้น ยางระเบิดกลางทาง ทำให้ต้องจอดรถทิ้งไว้แล้วหนีไป ทางวัดจึงเอาพระพุทธรูปองค์นี้กลับคืนมาได้ ทว่า ความโด่งดังของพระพุทธชินราชมีมากกว่า ทำให้คนทั่วไปไม่รู้เรื่องราวของพระพุทธรูปองค์นี้ (หากรู้มากเข้า ก็อาจกลายเป็นปัญหาได้) ภายหลัง ผมได้ออกจากวัดนี้แล้ว ยังได้พบกับอาจาารย์ที่เป็นฆราวาส แปลกที่อาจารย์ท่านนั้น ก็เล่าให้ฟังว่าท่านได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ "ปั้มพระแสนองค์" เป็นอะไรที่คล้ายกันจัง?



 

สะเดาะกลอนโบสถ์ลาว

เรื่ิองนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงที่ผมลาออกจากงานใหม่ๆ แล้วยังไม่ได้บวชเป็นสามเณร ยังเป็นฆราวาสจรจาริกไปแสวงหาธรรม อารมณ์คล้ายๆ กับกามนิตตอนใกล้จะเจอพระพุทธเจ้าอย่างนั้น คราวนี้ ผมเข้าไปฝั่งลาวครับ โดยผ่านไปทางด่านเชียงของ ข้ามฝั่งไปแล้ว เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนอย่างอย่าง เช่น บ้านเรือนในฝั่งไทยจะตั้งในที่ราบ ไม่ตั้งตามไหล่เขา แต่ฝั่งลาว มีบ้านเรียงรายตามไหล่เขา ซึ่งไม่ใช่ที่ราบ อยู่มากมาย ผู้คนในฝั่งลาวดูเชื่องช้า และไม่เร่งรีบ เวลาเราพูดคุยอะไรด้วย จะไม่ได้กล้าพูดกล้าคุย อยากคุย อยากแสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกอะไรมากมาย ตรงข้าม จะสงวนท่าที เกรงว่าจะผิด หรืออายที่จะตอบมากกว่าฝั่งไทย หรือถ้าตอบอะไรออกมาก็จะไม่มากนัก ดูไม่ฉะฉานนัก หลายคนก็พูดภาษาไืทยได้แต่ไม่ชัดเท่าไรครับ อาหารฝั่งลาวก็ต่างจากไทยมาก ตรงกันข้ามกับภาคอีสานเลย คือ จะจืดมากๆ เหมือนไม่ค่อยมีรสชาติสักเท่าไร จืดและเย็น ครับ บางคนมักหาว่าคนอีสานเป็นคนลาว แต่ผมว่าคนลาวต่างจากคนอีสานมากเลย คนละแบบกันลิบลับเลย คนลาวชอบเงียบๆ สงวนท่าที ไม่ค่อยพูด และไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นอะไรนัก แต่คนอีสานชอบสนุกสนาน ชอบงานรื่นเริง เสียงดัง กล้าที่จะพูดคุยทักทายเหมือนญาติมิตร ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่ค่อยกลัวผิดพลาด อันนี้ ต่างกันอย่างมากครับ ส่วนรูปร่างหน้าตามีส่วนคล้ายกันกับคนไทยบ้างเหมือนกัน แต่ดูคนลาวจะมีลักษณะคล้ายคนไทยชาวเขามากกว่า ส่วนคนอีสานผมว่าถ้าผิวพรรณดีๆ จะดูคล้ายคนเกาหลีมากกว่าคนลาวนะครับ


ผมเดินสำรวจไปทั่วๆ ก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสถานที่พิเศษให้ดูชม ทั้งธรรมชาติ และสิ่งก่อสร้างใดๆ ไม่มีโบราณสถาน ไม่มีอะไรที่พิเศษ นอกจากบ้านเรือนผู้คน ที่อยู่กันตามปกติ ผมจึงเดินไปเรื่อยๆ จนถึงวัดแห่งหนึ่ง วัดนี้เป็นวัดเล็กๆ ที่ลาวมักทำวัดเล็กๆ มีโบสถ์เด่นอยู่แ่ค่หลังเดียว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมากนัก เห็นพระลาวรูปหนึ่ง กำลังเจิมรถให้ชาวบ้าน อันนี้ไม่ต่างจากคนไทย ผมเดินผ่านไปเห็นโบสถ์ปิด ด้านหนึ่งล็อคกุญแจ ด้านหนึ่งลงดานข้างใน แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า มาถึงแล้ว ก็ต้องเข้าไปให้ได้ ทำไม โบสถ์ถึงปิด เปิดแล้วก็เปิดไม่ออก เพราะเขาลงดานจากข้างใน เลยเดินวนไปรอบหนึ่ง ไม่เห็นทางเข้าได้จริงๆ ก็เลยไม่รู้ทำไง เอามือเขย่าๆ ประตูแล้วผลักเล็กน้อย ประตูโบสถ์ก็แง้มออกได้ แล้วใช้นิ้วล้วงไปสะเดาะกลอนประตูที่อยู่ด้านในนั้น ประตูก็เปิดออกได้ ผมจึงเข้าไปดูภายใน ไม่มีอะไรแปลกหรือพิสดาร พระพุทธรูปก็ทำแบบธรรมดาๆ พื้นๆ ผมจึงนั่งสมาธิในนั้น รู้สึกว่าเย็นสบายมาก โล่งปลอดโปร่งไปหมด เหมือนได้อาบน้ำทิพย์ชะโลมกายเลย สักพัก มีสามเณรลาวที่วัดนั้น หลายรูป คุยอะไรกันเหมือนตกใจ อยู่ตรงหน้าประตู ผมก็ออกจากสมาธิ แล้วเดินตรงไปยังสามเณรเหล่านั้น พวกเขาก็กลัว ถอยหลังออกไป แล้วคุยกันเป็นภาษาลาวหรืองงหรือสงสัยว่าผมมาได้อย่างไรกระมัง ผมเลยเห็นท่าไม่ดี ออกไปดีกว่า ก็เลยเดินออกไปจากวัดเสยเฉยๆ พอจะพ้นเขตประตูวัด มีสามเณรรูปหนึ่งอายุมากกว่าเพื่อนๆ รีบมาถามผมเป็นภาษาไทยว่าผมเป็นใคร มาจากไหน พักอยู่ที่ไหน ผมก็ตอบไปบ้าง เท่าที่พอตอบได้ แล้วจากไป จะว่าไปที่สามเณรตกใจ อาจเป็นเพราะโบสถ์นั้นลงดานจากข้างใน แต่ทำไมผมจึงเปิดมันได้กระมัง?!?



 

รับตัวอ่อนมนุษย์ต่างดาว

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมบวชเป็นสามเณร แล้วได้จรจาริกไปเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ผมได้ไปยังสถานธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนของผมสองคนแนะนำให้ลองไปศึกษาดู ที่นั่นมีคนมากมาย มาฟังธรรมกันประมาณเป็นพันคนขึ้นไป มีที่พักให้เพราะต้องปฏิบัติอยู่ที่นั่นถึง ๓ วัน มีระบบระเบียบและการดูแลอย่างดี และเหมือนมีคนคอยตามประกบดูว่าเราจะทำอะไร คิดอะไรเสียด้วยสิ คือ แค่คิดออกนอกกรอบที่เขาวางให้เราคิด ก็อาจจะมีสไปร์คอยมาตามจับดู แล้วเอาไปรายงานได้ (ยังกะเราเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ยอมจำนนซื่อสัตย์ต่อพระราชาอย่างนั้น) ครั้งแรกที่ไป เราจะต้องจ่ายเงินดูดวงก่อน แล้วเวลาดูดวงคนทำนายก็จะทักจี้กดลงไปว่าเราไม่ได้เรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรแบบนั้น แต่ไม่มาก เหมือนลองเชิงกันเฉยๆ เพราะผมเป็นเณรด้วยมังครับ ซึ่งผมเห็นอย่างนี้มามาก จนเป็นธรรมดาของทุกสำนักที่เจ้าสำนักจะต้องทำการจี้กดจิตของเราลงให้อ่อนด้อย และยอมอยู่ภายในเขาให้ได้ แล้วเราก็ผ่านไป ที่นี่ จะมีการแสดงธรรม ไม่มากก็ไม่ตรงนิพพานเท่าไรหรอก เป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนักและเรื่องสัพเพเหระแล้วแต่จะเอามาบรรยาย เพื่อนบอกว่าจะต้องเลื่อนชั้นเป็นลูกศิษย์ชั้นดีก่อน จึงจะได้รู้เรื่องที่ลึกๆ ขึ้นได้ เวลาเข้ามาใหม่จะยังไม่ได้รู้อะไรแบบนั้น (มีระบบชนชั้นของลูกศิษย์ด้วย) นอกจากนั้น ยังมีการทำอะไรบางอย่างที่แตกต่้างไปจากคำสอนในพระพุทธศาสนาบ้าง เช่น ให้่เราดื่มน้ำและกินน้ำเพื่อการชำระล้างภายใน อะไรแบบนั้น มีการร้องกรีดเสียงดังของคนที่ฟังธรรม เหมือนเปรตโหนหวน ตอนที่เขาให้สัญญาณปลดปล่อย เหมือนเวลาคนเครียดๆ มาอยากร้องดังๆ ก็เลยมารวมตัวกันปลดปล่อยความเครียดที่นี่ อะไรแบบนั้น จนผมได้พบกับคนที่มาที่นั่น สองสามคน ก็คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่าตอนที่มีการทำพิธีปลดปล่อยกันนั้น เขาเห็นเงาเหมือนคน ดำๆ มืดๆ เข้าไปรุมที่ตัวอาจารย์สอนธรรมเต็มไปหมด


แล้วสุดท้าย ก็จบลงด้วยการเชิญมนุษย์ต่างดาวลงมาอยู่ในตัวของผู้รับธรรมครับ แล้วอาจารย์สอนธรรมก็บอกว่าเมื่อได้รับแล้วจะเหมือนเด็กนะ จากนั้น คนในนั้นก็เลยทำตัวเป็นเด็กบ้องแบ๊ว เหมือนอารมณ์คนที่แกว่งไปมา เดี๋ยวๆ ร้องกรีดเพราะความเครียด เดี๋ยวๆ กลับไปทำตัวเป็นเด็กให้ดูน่ารัก อะไรแบบนั้น ซึ่งผมไม่อาจจะพิสูจน์หรือตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะบางคนอาจจะไม่จริง มีได้ไหม? มันก็มีได้ ที่คนบางคนชอบอุปทานไปเอง เหมือนแสดงละครให้ตัวเองสนุกกับมัน แต่จะมีได้ไหม ถ้าใครสักคนจะเป็นของจริง? มันก็ไม่แน่นะครับ อันนี้เราก็ไม่ทราบ ไม่รู้ได้ เพราะไม่ได้สัมผัสกับทุกๆ คน ดังนั้น จึงจะตัดสินจากการเห็นคนแค่ไม่กี่คน คงไม่ได้ แต่คนที่ไปที่นั่น ต้องทำตัวเหมือนบ้าๆ คือ กรีดร้องแล้วทำตัวเหมือนเด็ก ในแง่จิตวิทยา เขาหลวมตัวรับการกระทำแบบนี้ไปแล้ว เพื่อระบายความเครียด แล้วชอบ เมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามา พวกเขาอาจกลัวว่าจะถูกหาว่าบ้า เลยต้องทำให้ทุกอย่างเหมือนจริง เป็นความจริงให้ได้ ก็เลยมีบางคนมาทำตัวเหมือนเด็กทารกให้ผมเห็นใกล้ๆ ครับ เอาละ เหมือนทุกที่ อาจมีทั้งจริงและไม่จริงปนกัน ผมก็จะไม่ขอสรุป เพราะมนุษย์ต่างดาวตัวอ่อนที่แม้ยังเป็นเด็กทารก ก็ไม่มีพฤติกรรมแบบนี้นะ ผมว่า (คิดว่า) พฤติกรรมอีเดียด น่าจะเป็นแบบเฉพาะที่หาได้ในโลกนี้ มากกว่าที่จะเป็นมนุษย์ต่างดาว!



 

เชื่อมต่อพระบิดาจักรวาล

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งที่ผมบวชเป็นพระแล้ว และได้จรจาริกไปแสวงหาความรู้เพิ่มเติม โดยมีอาจารย์ที่เป็นฆราวาสช่วยเหลือดูแลอยู่ อาจารย์ได้แนะนำให้รู้จักกับสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่เล็กๆ และเงียบสงบ อยู่ห่างจากตัวเมือง แต่ไม่ได้อยู่นอกเมืองไปมาก มีคนเข้าไปศึกษาไม่มาก เป็นกลุ่มเล็กๆ พวกเราไปกันสี่คน ก็เข้าไปร่วมศึกษาพร้อมๆ กับคนอื่นๆ เจ้าของสถานธรรมเป็นผู้หญิงมีอายุแล้ว แต่ยังโสดอยู่ ตั้งใจบำเพ็ญธรรมในเพศฆราวาส และเผยแพร่ธรรมสองสายคู่กันคือ สายพุทธไม่เน้นบรรลุธรรม แต่ปูพื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้น และสายจักรวาล ก็จะปูพื้นฐานและเชื่อมโยงกับจักรวาล คือ ยังไม่ได้เน้นในรายละเอียดมากนัก แต่เน้นปฏิบัติจริง ให้สามารถเชื่อมโยง, ติดต่อกับจักรวาลได้ ประมาณนั้น เมื่อเราได้เข้าไปทดลองปฏิบัติ เขาจึงแนะนำให้เราทำสมาธิเพื่อเชื่อมโยงกับจักรวาล โดยเขาช่วยเชื่อมต่อให้เรา ก็ยังไม่พบอะไรในขณะปฏิบัตินั้นๆ คือ ไม่ได้เห็นภาพนิมิตหรือได้ยินเสียงอะไร เหมือนนั่งสมาธิปกติ แต่ผู้ถ่ายทอดทำเหมือนแอร์โฮสเตส ที่จะนำพาเราบินขึ้นไปจนเชื่อมต่อกับพระบิดาจักรวาลที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้น แล้วก็สอบถามแต่ละท่านว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง บางคนก็เห็นภาพนิมิต ก็เล่าให้ฟัง ผู้ถ่ายทอดก็เป็นผู้อธิบายต่อว่าสิ่งที่เห็นนั้น เป็นอย่างไร แต่หลายท่านเห็นในระดับภาคพื้นโลกอยู่ แล้วอาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมก็ถามผมๆ ก็ตอบว่าไม่ได้เห็นอะไรนะ อาจารย์บอกว่าได้ช่วยเชื่อมต่อผมกับพระบิดาจักรวาลใ้ห้แล้ว แต่สมองยังไม่จูนกับข้อมูลดี เลยยังไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ปฏิบัติที่นั่นเสร็จแล้ว เราก็ออกมาครับ


หลังจากนั้น ผมสึกจากพระ ก็เลยทดลองดู จำต้องใช้ความกล้า และเปิดตัวเองให้กว้าง ไม่ขังกรอบอยู่ในความถูก, ผิด, จริง, เท็จอะไร แล้วก็ทดลองอยากรู้เรื่องอะไรก็นึกถามในใจแล้วรอให้เกิดความรู้สึกภายในที่ชัดเจนก็เขียนออกมา เป็นเรื่องราวการติดต่อกับพระบิดาจักรวาล และข้อมูลระดับสูงมองมุมกว้างทำให้ครอบคลุมทุกๆ ภาคส่วน เช่น เข้าใจว่าทำไมจักรวาลนี้ต้องมี "มาร" แล้วมารทำหน้าที่อะไร เป็นต้น ผมก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ข้อมูลของผมมีส่วนเท็จจริงมากแค่ไหน? ได้แ่ต่ทำหน้าที่สื่อสารนำข้อมูลมาก่อน แล้วค่อยรอให้ใครที่สามารถคัดกรองและพิสูจน์แยกแยะถูก, ผิด ให้ได้ ทำหน้าที่ต่อจากผมต่อไป ซึ่งก็อาจจะเป็นคนรุ่นต่อๆ ไปก็ได้ ลูก, หลาน รุ่นต่อๆ ไปอาจจะมีที่เก่งกว่าผม (ผมเชื่อว่าลูกหลานจะเก่งกว่าผมอีกมากมายครับ) ผมจึงควรทำหน้าที่ของตนต่อไป เท่าที่จะสามารถทำได้ ไปก่อน ไว้เป็นเบื้องต้น เพื่อรอให้คนรุ่นต่อไปมาสานกิจ สานงาน ในภายหลัง นั่นเอง เรื่องราวการเชื่อมต่อกับพระบิดาจักรวาลนั้น เป็นการเชื่อมต่อที่ไม่มีหูทิพย์, ตาทิพย์ ฯลฯ เข้ามาช่วยเลย แม้แต่สามเณรคู่หู ก็ไม่อยู่ เขาก็สึกแล้วไปช่วยแม่ทำงานแถวภาคใต้แล้ว ทำให้ผมต้องทำหน้าที่ต่อไป เท่าที่สามารถจะทำได้ครับ



 

รักซ่อนเร้น

เรื่องนี้เป็นมานานและมักเป็นอยู่เรื่อยๆ ครับ แ่ต่อย่าเพิ่งคิดว่ารักที่ผมกล่าวถึงนี้ ต้องเป็นความรักแบบคู่ครองเสมอไปนะครับ มันเป็นเรื่องแปลกมากที่ผมรู้สึกรักใครสักคนหนึ่งจริงๆ แต่ในอีกแบบหนึ่ง แล้วยังต้องเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ เช่น พี่คนหนึ่งสมัยเด็กๆ พี่มาดูแลเลี้ยงดูผม แต่เขาไม่ใช่พี่ชายจริงๆ เป็นลูกของลุงอีกที ด้วยความใกล้ชิดผมเลยรู้สึกเหมือนเขาเป็นพี่ชายจริงๆ แต่แล้ววันหนึ่งพี่เขาก็ต้องจากไป ก็เขาอยู่คนละบ้านกับผมนี่ครับ น่าแปลกอีกอย่าง ทำไม ผมไม่ได้รู้สึกกับพ่อ, แม่, น้อง ว่าเขาเป็นพ่อ, แม่, น้อง ของเรา? มันแปลกมาก และผมรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ที่น่่าแปลกยิ่งกว่านั้น มีคนทำให้ผมรู้สึกรักเหมือนพ่อได้จริงๆ แต่เขาเป็นเจ้านายเก่าผมครับ ซึ่งผมจะเปิดเผยความรู้สึกนั้นมากไปไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นเหมือนเราใช้เส้น เข้าหาผู้ใหญ่อะไรแบบนั้น อีกครั้ง ผมก็รู้สึกรักพี่คนหนึ่งเหมือนพี่จริงๆ แต่พี่เขารู้สึกกับผมแบบแฟน แล้วผมก็ต้องยอมใช้สมมุติว่าเป็นแฟนกับพี่เขาเพื่อที่ผมจะได้อยู่กับคนที่ผมรักในฐานะพี่ ซึ่งผมคงไม่อาจบอกเขาได้ว่าผมรู้สึกอย่างนี้ เพราะมันจะทำร้ายจิตใจเขา ใช่ไหมครับ แย่จริงที่ผมมีความรู้สึกที่ขัดแย้งกับสมมุติในปัจจุบันทางโลกอย่างนี้ แต่นี่คือความสัจจริง ผมไม่ได้โกหก ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และผมไม่ชอบหลอกลวงตัวเอง ผมจริงใจและตรงต่อความรู้สึกของตัวเองมาก แต่ผมก็ยอมรับได้กับสมมุติเปลือกนอกที่ไม่ไ้ด้เป็นไปตามแบบที่ผมคาดหวังนัก ผมจึงมีความรักซ่อนเร้นมากมาย ที่ไม่อาจบอกพวกเขาได้ว่าผมรักพวกเขาแบบไหน? แม้แต่พ่อและแม่ ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกว่าเขาเหมือนพ่อและแม่จริงๆ ของผมเลย แต่ผมก็รักเขาในอีกแบบหนึ่ง ผมจึงเหมือนใครไม่รู้ ซึ่งแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ค่อยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนัก ผมรู้สึกเหมือนต้องอยู่ในตัวตนปัจจุบันนี้ให้ได้ ภายใต้สมมุติต่างๆ ที่โลกให้มานี้ เพื่อให้ความสัมพันธ์และผู้คนรอบตัวผม ยังดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ทั้งที่ความรู้สึกของผมเป็นอีกอย่าง คุณคิดว่ามันจะเป็นอย่างไร ถ้าคนสองคนรักกันจริงๆ แต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน เช่น ถ้าเรารักคนๆ หนึ่งเหมือนพี่จริงๆ แต่เขารักเราเหมือนคู่รักจริงๆ อย่างนั้น มันจะกลายเป็นความผิดหวัง, อกหัก ฯลฯ หรือไม่? ถ้าต่างก็รู้ความจริงว่าความรักของเขาไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดหวัง สำหรับผมแล้ว ผมก็ยอมรับได้ หลายครั้งผมจำต้องซ่อนความรู้สึกรักในแบบของผมเอาไว้ ภายใต้ตัวตน สมมุติที่เรามีต่อเขาในแบบหนึ่งนั้น แม้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกกับผม แบบที่ผมรู้สึก ก็ไม่เป็นไร


บางคนมีวิธีปฏิเสธความรักของคนอื่นแบบสุภาพ เช่น บอกว่าเรารู้สึกรักกันเหมือนพี่น้องหรือเพื่อนกันดีกว่านะ แต่ใจจริงแล้วเขาไม่ได้รู้สึกรักเหมือนพี่น้องหรือเืพื่อนเลย คือ ไม่ได้รู้สึกรักอีกฝ่ายเลย แต่จำเป็นต้องพูดอย่างนั้นเพื่อมารยาทก็มี แต่สำหรับผมไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่สนใจมารยาท ถ้าต้องรักษามารยาทจนโกหกความรู้สึกตัวเอง ผมก็ไม่ทำ สู้เงียบๆ ดีกว่า อย่าพูดออกมาเลยจะดีกว่า บางครั้ง ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยผมก็โชคดี ที่ผมรักคนอื่นเป็น และผมรักเขาจริงๆ อย่างนั้น เพียงแต่มันเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบพี่น้อง, ความรักแบบพ่อลูก ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ ก็แปลกนะ ทุกวันนี้ ผมยังคิดถึงเด็กคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เขามาขายดอกไม้ อายุน้อยมาก เหมือนถูกขบวนการค้ามนุษย์จับไปใช้แรงงานเด็ก เขาพบกับผมที่บาร์แห่งหนึ่ง ผมกำลังสนุกสนานอยู่กับเพื่อน แล้วจู่ๆ เด็กคนนั้นก็เข้ามา ไม่พูดอะไรเลย เห็นผมแล้ว ก็กอดขาผมแน่นไม่ยอมปล่อย นิ่งอยู่อย่างนั้น ผมก็แน่นิ่งเหมือนกัน เพราะตะลึง ไม่ทราบว่าจะทำตัวอย่างไรดี มันนานมากจนคนคุมร้านมาบอกให้เด็กคนนั้นไปเสีย ผมทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ เพราะตอนนั้นผมก็ยังไม่มีอาชีพ และอยู่ๆ ถ้าผมจะเอาใครไปเป็นลูกตัวเอง มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนทุกคน ก็มีเจ้าของ มีพ่อ มีแม่ มีเจ้านาย มีใครๆ ถือกรรมสิทธิ์ครองอยู่ทั้งนั้น และนั่นก็ทำให้ผมมีรักซ่อนเร้นเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น "ในฐานะพ่อลูก" อีกจนได้


    
 

บำเพ็ญเซียน

เรื่องนี้เกิดเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรอยู่และมีสามเณรคู่หูคอยช่วยทำกิจ เนื่องจากเราทั้งคู่ไม่อาจจะหาครูบาอาจารย์ที่ดีและไว้ใจได้แถวนั้น ในที่สุด จึงตัดสินใจเืลือกครูบาอาจารย์ต่างภพ คือ ครูอาจารย์ที่อยู่บนสวรรค์ เช่น หลวงพ่อโต, พระกวนอิม เป็นต้น ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนบรรลุธรรมหมดแล้ว เราจึงเข้าสู่วิถีการบำเพ็ญแบบเซียนไปโดยไม่รู้ตัว กล่าวคือ เหล่าเซียนเต๋าทั้งหลาย เขาจะฝึกถอดกายทิพย์และมีอาจารย์บนสวรรค์กันทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่วิถีพระพุทธศาสนาที่ต่อสายธรรมจากมนุษย์สู่มนุษย์โดยตรง (ผลจากการต่อสายธรรมบนสวรรค์ทำให้ผู้บำเพ็ญมีสักกายทิฏฐิเหลืออยู่ ไม่บรรลุโสดาบัน แต่จะบรรลุถึงขั้นเซียนได้ อันนี้คือข้อแตกต่าง) แล้วในที่สุดเราก็ได้เชื่อมต่อสายธรรมกับเซียนจริงๆ คือ ท่านเหล่าจื้อ, ท่านขงจื้อ และเซียนเต๋าบนสวรรค์อีกหลายท่าน ครั้งหนึ่ง สามเณรคู่หูไปหาท่านเหล่าจื้อ แต่ท่านหลบไปไม่ยอมพบแล้วก็มีค่ายกลขวางไว้ คราวนั้น เราก็ตีปริศนาว่าบางครั้งเราอาจใช้การหลบเลี่ยงได้ แทนที่จะปะทะกับบางสิ่ง แม้ท่านไม่ได้สอน ไม่ไ่ด้บอก เราก็นับเป็นธรรมเตือนใจ ต่อมาได้ไปพบท่านขงจื้ออีก ได้ถามท่านว่าทำไม ท่านจึงชอบสอนให้คนอ่่อนน้อมถ่อมตน ท่านก็ตอบมาง่ายๆ ว่า "สูงเกินไปคนเอื้อมไม่ถึง" เท่านั้นเอง เราก็เอามาเป็นธรรมเตือนใจเรา แม้จะมีเพียงข้อเดียวก็ตาม ต่อมาได้พบกับเซียนอีกท่านหนึ่ง เราถามสามเณรว่าวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นนั้นเป็นอย่างไร? อยู่ๆ ท่านก็จี้จุดลงบนกายทิพย์ของสามเณรเฉยเลย อ้าวแล้วอย่างนี้ กายสังขารของเราจะได้ผลด้วยหรือ? (เพราะถอดกายทิพย์ออกไปนี่นา) แต่ท่านก็ไม่บอกเคล็ดวิชาเราเสียอย่างนั้น ต่อมา ได้พบกับท่านเซียนอีกท่านหนึ่ง ท่านบอกคาถาสี่คำมาให้ เราก็บริกรรมไป ในที่สุด ก็สำเร็จเป็น "กระบี่ทิพย์" ออกมา ๔ เล่ม ติดอยู่ในกายทิพย์เราแต่ยังไม่ได้ใช้่ไปทำกิจอะไร ต่อมา กายเซียนนั้นก็หลุดพ้นไปเสียก่อน สรุปแล้ว เราบำเพ็ญเซียนไม่ต่างจากความว่างเปล่าเลย?


วิถีเซียนแตกต่างจากวิถีพุทธ จุดสำคัญคือ เรื่องการเข้าถึงธรรมด้วยตัวเอง เพราะไม่ว่าเซียนท่านใดจะให้ธรรมแก่เรา ท่านก็มักไม่ค่อยให้ตรงๆ หรือให้ก็น้อยมากๆ เป็ฺนปริศนาให้ไปขบคิดเองต่อหรือไปปฏิบัติเองต่อ เสียส่วนใหญ่ อีกทั้งไม่มีการสืบทอดต่อแบบมนุษย์ต่อมนุษย์ ยกเว้นจาก สามเณรคู่หูมาบอกผมต่อ ก็นับว่าผมรับข้อมูลต่อจากสามเณรอีกที ตอนนั้น เบื้องบนท่านให้สามเณรคู่หูไปหาไม้เท้ามาไว้ บวกกับในกายทิพย์ของเขาก็มีน้ำเต้า อันเป็นสัญลักษณ์ของเซียนองค์ที่หนึ่งส่วนผมหลังจากนั้นก็ำได้รับพัดทิพย์มาจากองค์หญิงพัดเหล็ก อันเป็นสัญลักษณ์ของเซียนองค์ที่สอง (เนื่องจากผมรับข้อมูลจากสามเณรอีกทีไงครับ จึงนับสามเณรเป็นคนที่หนึ่งไป) คำถามจึงเกิดขึ้นว่าแล้วทำไม เราเ็ป็นสามเณรในพุทธศาสนาจึงต้องไปบำเพ็ญเซียนเช่นนั้นด้วย? คำตอบคือ เพราะธรรมะที่บริสุทธิ์ ตรงทางแท้จริง เราหาบนโลกไม่เจอ เราจึงต้องใช้วิธีสืบสายธรรมแท้จากสวรรค์แทน อันเป็นวิถีเซียนเขาทำกัน เมื่อใดที่เราถูกทำลายสักกายทิฏฐิ แล้วมีจิตตรงธรรมได้ เราก็เข้าสู่วิถีพุทธเช่นกัน ไม่ต่างจากชาวพุทธที่สำเร็จอริยบุคคลแล้ว นั่นเอง