พระอวโลกิเตศวรตัสสะ

เรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยกิจอยู่ ครั้งนั้น สามเณรจากที่เคยมีจิตมารอยู่ บำเพ็ญบารมีตามที่ผมแนะนำแล้ว วันหนึ่งได้เห็น "คนทรงเข้าทรงแล้วตาย" จิตจุติเคลื่อนออกจากร่างชั่วขณะ ทำให้ร่างสลบอยู่ แล้วเกิดจิตเมตตาขึ้น จึงช่วยเหลือแล้วบรรลุเป็น "พระโพธิสัตว์" มีพระนามว่า "อวโลกิเตศวรตัสสะ" อันหมายถึง การสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จากนั้น ก็ดำรงอยู่ในกายของสามเณรเหมือนจิตวิญญาณหรือภูติตนหนึ่ง ท่านก็เพียรทำกิจในมิติทิพย์เรื่อยมา ทั้งการช่วยในภาคปราบและภาคโปรด เช่น การโปรดพญานาคหนุ่มที่เข้ามาอาศัยอยู่หน้าวัด ก็ดี, การช่วยปราบอสูรราหูที่คอยเข้ามาครอบงำ ก็ดี ในที่สุด ท่านก็ุถึงวาระที่จะหลุดพ้่นไป ก่อนจากท่านบอกแก่สามเณรซึ่งเป็นร่างสังขารที่ดำรงอยู่แต่เ่ก่าก่อนว่าสามเณรทำตัวไม่ดีอย่างไรบ้าง และควรปรับปรุงอย่างไรบ้าง และท่านจะไปแล้ว (เหมือนเรื่องของพระราชาองค์หนึ่งในไตรปิฎกที่กล่าวถึงภูติในกายของตน มาตำหนิตัวเองให้ทำความดีบ้าง) แล้วไม่นานนักท่านก็หลุดพ้นไปเฉพาะ "จิตวิญญาณ" เท่านั้น ส่วนสังขารของสามเณรก็ยังคงเดิม ไม่ได้หลุดพ้นไปพร้อมกับจิตดวงนั้นด้วย? ทำให้เกิดความสงสัยว่าเหตุใด กายและจิต จึงไม่ได้ไปพร้อมๆ กัน จิตวิญญาณหลุดพ้นไปก่อนกายสังขารได้ด้วยหรือ? แล้วกายสังขารที่สูญเสียจิตวิญญาณดีๆ ไปจะทำอย่างไร ในเมื่อไม่มีจิตวิญญาณดีๆ คอยคุ้มครองกายสังขารแล้ว (เหมือนประวัติท่านเซียนที่ถอดกายทิพย์ออกจากร่างแล้วให้ลูกศิษย์เฝ้าสังขารไว้ ๗ วัน ยังไม่ัทันกลับลูกศิษย์ก็เผาร่างไปก่อน จึงต้องกลับมาอาศัยในร่างของขอทานแทน คือ จิตวิญญาณกับสังขารร่างกาย มีกรรม ไปกันคนละทาง)


ในช่วงนั้น ผมยังปฏิบัติธรรมไม่ถึงจุดที่จะไปเลย แต่พระอวโลกิเตศวรตัสสะมีกำลังบารมีน้อย ทรงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อทำกิจมากเข้า โดยสังขารไม่ได้ทำอะไร กล่าวคือ สังขารนั่งสมาธิใช้มโนมยิทธิกำหนดจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณกระทำกิจต่างๆ ผลคือ จิตวิญญาณมีบารมีธรรมอันก้าวไปไกลเกินกว่าสังขาร ไม่อาจดำรงอยู่ในสังขารเดิมได้ (จิตวิญญาณกับสังขาร มีระดับบารมีธรรมไม่เท่ากัน ส่งผลให้ดำรงอยู่ร่วมกัน ไม่ได้) ซึ่งผมเพิ่งมาเข้าใจในภายหลัง และทำให้ต้องตัดสินใจให้ปล่อยสามเณรถูกคนเล่นงานจนต้องสึกไป เพื่อให้สังขารของเขาได้ไปทำงานและมีกำลังบารมีธรรมที่สมดุลกับจิตวิญญาณภายใน อันจะแก้ปัญหานี้ของสามเณรได้ (สามเณรบำเพ็ญแต่จิต ไม่บำเพ็ญกาย ทำให้จิตวิญญาณดีๆ ได้เกิดขึ้นแล้วไม่อาจรักษาไว้ในสังขารได้ สามเณรเสียจิตวิญญาณดีไปบ่อยครับ) ในที่สุด ก็เลยต้องให้เขาไปยังที่ๆ ควรไปครับ คือ เขาก็ต้องสึกแล้วไปช่วยแม่ทำงานภาคการเกษตร แม้ดูจะไม่มีอนาคตโดดเด่นไปอวดใครเขา แต่นี่คือ "วิถีธรรม" ที่เหมาะสมกับสามเณรแล้วครับ เพื่อแก้ปัญหาที่เขาเป็นอยู่ นั่นเอง



 

พระอวโลกิเตศวรนัตธี

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูมาคอยช่วยกิจอยู่ ในช่วงที่เราบำเพ็ญบารมีนั้น เรามักถอดกายทิพย์ไปยังที่ต่างๆ เพื่อบำเพ็ญบารมีในมิติทิพย์ด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมิติปกติของเราต่อมาได้เช่นกัน และจิตวิญญาณบางดวงที่ซ้อนอยู่ในกายของเราในฐานะ "ภูติ" นั้น เมื่อได้บารมีมากแล้ว เขา็ก็กำเนิดใหม่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงได้หลายประการ ผมเคยถามเบื้องบนว่าจิตในกายของผมจรออกไปแล้วประมาณกี่ดวง เขาบอกมาว่าประมาณ ๓๐ กว่า เห็นจะได้ (ตายละ คนไทยเชื่อว่าคนเราหนึ่งอายุขัยมี ๓๒ ขวัญ แล้วนี่ไปแล้ว ๓๐ ด้วยซิ?) เมื่อก่อนตอนมัธยมหลังผมรู้สึกว่าบางตัวตนในสังขารของผมหายไป ก็มีเรื่องราวให้ต้องไปที่ต่างๆ และเขามักทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ, รับขวัญให้่เราก็บ่อยมากครับ แต่ผมไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ต่อมาเรื่องก็เิกิดขึ้นกับสามเณรจนได้ กล่าวคือ พอเราถอดกายทิำพย์ไปสวรรค์ชั้นต่างๆ มาก เพื่อทำกิจบำเพ็ญบารมี จิตวิญญาณที่ต่ำต้อยดวงหนึ่งในกายของเขาก็กำเนิดใหม่เป็นจิตวิญญาณที่ดีขึ้น มีลักษณะเหมือนพระกวนอิม (ผมขอเรียกพระโพธิสัตว์ที่มีรูปกายแบบนี้รวมๆ ว่าอวโลกิเตศวรครับ) แต่ท่านได้พระนามจากเบื้องบนว่า "นัตธี" เขียนอย่างไรไม่ทราบแต่เขาบอกว่าหมายถึง รัศมีที่ขาวรอบสว่างไสว อะไรประมาณนั้น เพราะท่านมีรัศมีขาวรอบสว่างไสวมังครับ (โทษทีผมลืมเรื่องราวการบำเพ็ญบารมีของท่านไปครับ) แต่หลังจากท่านได้สำเร็จธรรมระดับหนึ่ง ท่านก็จรจุติไปยังพรหมโลก แล้วไม่กลับมาเลย สามเณรก็เสียใจว่าทำไม บำเพ็ญบารมีได้จิตวิญญาณที่ดีแล้วจึงต้องเสียไปด้วย แต่ที่จริงแล้วนี่เป็นธรรมดา, ธรรมชาติของมนุษย์นะครับ ที่จะมีจิตจรออกไปได้ ซึ่งผมก็แนะนำให้สามเณรบำเพ็ญบารมีต่อไป ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวก็จะได้จิตวิญญาณที่ดีดวงใหม่ๆ เอง


ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง อาจเริ่มต้นจาก "จุติจิต" เพียงหนึ่งดวงเดียว แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น จะมีิจิตวิญญาณที่มาดูแลคุ้มครองประจำกายของเราแต่ละคน เปลี่ยนแปลง แตกต่างไป ในแต่ละช่วงเวลาได้ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ "ไม่ใช่เทวดาประจำตัว" (เทวดาประจำตัว ท่านจะอยู่บนสวรรค์) แต่ผมขอเรียกว่า "ภูติประจำกาย" ก็แล้วกัน เรื่องของภูติประจำกายนั้น มีปรากฏในพระไตรปิฎกด้วย (เพียงแต่ท่านจะเคยอ่านพบหรือไม่ ก็เท่านั้นเองครับ) เรื่องราวกล่าวถึงพระราชาองค์หนึ่งที่ทำตัวไม่ดีนัก ตกกลางคืนวันหนึ่ง ตื่นขึ้นมากลางดึก ก็เห็นตัวเองอยู่ต่อหน้า แล้วด่าว่าตัวเองเสียมากมาย เพื่อให้ตัวเองเปลี่ยนนิสัยต่างๆ ท่านเกิดความสับสนงุนงงว่าเหตุใดจึงมีตัวเองอีกตัวหนึ่ง มาด่าตัวท่านเองได้ ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้อธิบายมากมายอะไร แต่พอมาเจอเองกับตัวถึงได้เข้าใจครับ รวมทั้งความเชื่อเรื่อง "บายศรีสู่ขวัญ" ของคนไทยด้วย



 

สามเณรเจอเปรต

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลืออยู่ด้วย หลังจากสามเณรได้หูทิพย์ ตาทิพย์แล้ว ทั้งยังได้ทำกิจมากมายหลายประการ วันหนึ่ง สามเณรไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็วิ่งตื่นกลับมาที่ห้อง มาโวยวายว่่าไม่เข้าห้องน้ำแล้ว กลัวผีเปรต แล้วก็ยังเอาถังน้ำมาไว้ปลายเตียง ฉี่ในถังแทนที่จะไปห้องน้ำ เวรกรรม! ทำอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าห้องน้ำเวลากลางคืน แล้วก็เล่ามาว่าเจอผีเปรต จากนั้นก็ไปรับปากกับเปรตว่าจะช่วยเหลือเขาอะำไรแบบนั้น สามเณรบอกว่าเปรตอาศัยอยู่ที่เมรุ ไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่อย่างนั้น ตัวสูงเท่าๆ กับเมรุ ก็เลยให้สามเณรดูสิว่าเปรตตนนี้ เป็นใครมาก่อน เขาก็เห็นว่าเป็นชาวบ้านคนหนึ่ง ก่อนตายได้มาเอาของวัดบ่อยๆ ชอบหากินกับวัด ตายแล้วจึงกลายเป็นเปรตทรมานอยู่ที่เมรุไปไหนไม่ได้ (ห้องน้ำพระกับเมรุ อยู่ใกล้กัน) ก็เลยบอกกับสามเณรว่าถ้าไปรับปากจะช่วยเขาแล้วก็ต้องทำตามนั้นนะ อย่าเสียสัจจะ เป็นอันว่าสามเณรก็มักถูกเปรตตนนี้กวน จนกระทั่งหาทางช่วยเปรตได้ เปรตถึงจะเลิกกวน ก็แปลกดีว่า สามเณรเคยเจออะไรที่ควรจะกลัวหรือน่ากลัวมากกว่านี้มาแล้ว เช่น พวกอสูรต่างๆ ซึ่งมีฤทธิ์มากและร้ายกาจกว่าพวกเปรตเยอะ คือ เปรตนั้นไม่ไ้ด้มีฤทธิ์อะไรมาก ถ้าไม่ใช่พวกเปรตชนิดพิเศษจริงๆ ก็ทำอะไรคนไม่ได้ นอกจากทำให้ตกใจเท่านั้นเอง อาจเป็นเพราะสภาพของเปรตที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวกระัมัง (ภูติผี-ปีศาจ ที่มีฤทธิ์มาก ร้ายกาจ จะแปลงร่างให้ดูงดงามได้ พวกนี้จะร้ายกาจกว่าพวกที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวมาก ซึ่งเราสมควรจะกลัวพวกที่แปลงร่างได้นี่มากกว่า)


รู้อย่างนี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้ใครเชื่อได้ครับว่าอย่ามาเอาของวัดเพราะตายแล้วจะกลายเป็นเปรต อย่างครั้งหนึ่งผมไปช่วยงานวัดที่ภาคอีสาน พอเรากลับจากบิณฑบาต พระท่านก็เอาของที่โยมทำบุญมากองรวมกันไว้ ผมก็คิดจะเลือกของดีๆ จัดไปให้ท่านอย่างทั่วถึงกัน แต่ที่ไหนได้ละ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย พวกโยมที่มาช่วยงานนั่นแหละ แย่งกันหยิบจับเอาของดีๆ ไปหมดเลย ผมก็ปลงอนิจจัง พระท่านก็รู้ว่าโยมทำบุญใส่อะไรมาบ้าง แล้วถึงเวลาไปให้ท่านกลับหายหมด แล้วท่านจะคิดอย่างไร? (ผมไม่ได้เอาไปนะครับ) คือ เขามากันหลายคนเยอะ ก็พวกชาวบ้านที่มาช่วยงานนี่แหละ และเพราะเขาเยอะกว่าผมทั้งยังเป็นเจ้าถิ่นด้วย ทำให้ผมไม่สามารถห้ามอะไรหรือพูดว่ากล่าวตักเตือนอะไรได้เลย คนนั้นแย่งหยิบ คนนี้ก็รีบแย่งบ้าง ต่างคนต่างแย่งกัน ดูแล้วน่าอนาถใจจริง พวกเขาจะรู้ตัวไหมหนอว่าแย่งกันเป็นเปรตเสียแล้ว หรือจะมีใครฉุกคิดบ้างไหนหนอว่าของที่เขาแย่งกัน ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ใช่ว่าเราจะต้องแย่งบ้าง?



 

ต้องทัณฑ์สวรรค์

เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่ผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูคอยช่วยเหลืออยู่ วันหนึ่ง เราบำเพ็ญบารมีจนเบื้องบนประทาน "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์ลงมา" เป็นกายทิพย์ของพระมัญชุศรีในชาติที่เกิดเป็น... (ขอไม่เอ่ยนาม) จากนั้น เราถูกมนุษย์อีกคนดึงแย่งไปทางมิติทิพย์ (ตัวจริงของเขา อาจไม่รู้เรื่องนี้เลย มันคือเรื่องในมิติทิพย์ครับ) ตอนแรกเบื้องบนประทานพระวิญญาณศักดิสิทธิื์มาให้สามเณรคู่หู แต่พออีกคนได้ดึงแย่งเอาไป (คนๆ นี้ แบ่งภาคมาจากจิตวิญญาณดั้งเดิมแท้ดวงเดียวกัน เรียกว่าบำเพ็ญบารมีแข่งกันคือ แข่งกับตัวเอง อีกตัวหนึ่งนั่นแหละ) ผมจึงต้องหาวิธีดึงกลับมาโดยใช้พลังธรรมจักรหมุน ซึ่งก็สำเร็จ ทว่า เรื่องไม่จบลงเท่านั้น เมื่อผมได้พระวิญญาณศักดิสิทธิ์มาแล้วพระวิญญาณนั้นก็ประสิทธิในกายสังขารผม  ทั้งยังจรจุติเข้าออกตามใจของเขา (ผมยังไม่อาจควบคุมเขาได้) วันหนึ่งเขาได้จรจุติไปยังสวรรค์ชั้นมาร   ทำให้พวกมารอ้างเหตุหาว่าพระมัญชศรีบุกดินแดนของเขาก่อน ส่วนพระมัญชุศรีองค์ต้นแบบที่อยู่สวรรค์ สุขาวดี ท่านก็ออกมายอมรับแทน ทำให้พวกมารได้ใจ เหิมเกริมอ้างเหตุว่าพระมัญชุศรีบุกดินแดนมารจึงยกทัพมารไปบุกสุขาวดี จนพระยูไลและพระโพธิสัตว์ต้องลงมาประทับ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตแทน ชั่วคราว ก็ยังไม่จบเรื่องแค่นั้น ผมจึงต้องหาวิธีให้เขา (วิญญาณมัญชุศรี) นั้นยอมรับผิด โดยการไปบุกอยู่ท่ามกลางหมู่มารบนสวรรค์สุขาวดี และพวกมารก็เข้ามารุม ยังไม่ทันเกิดเรื่องมากไปกว่านั้น สามเณรคู่หูก็อาสาไปคุยกับพระอาิมิตาภะขอปราบมารเองแต่เขาขอแลกด้วย "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์ของพระอามิตาภะ" แทน  ซึ่งพระอามิตาภะก็ทรงตกลง แล้วสามเณรคู่หูก็เลยถอดกายทิพย์ไปยังสวรรค์ชั้นนั้น พร้อมทั้งระเบิดกายทิพย์ จนเหล่ามารทั้งหลายตายจุติลงนรกหมดเหล่าพระยูไลและพระโพธิสัตว์จึงกลับไปยังสุขาวดีดังเดิม ภายหลังที่ระเบิดกายทิพย์แล้ว สามเณรคู่หูจึงได้รับ "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์" (หรือกายทิพย์) ครอบขันธ์ของตนเอง ทำให้ทรงชีพอยู่ต่อไปได้ แต่จะมีกายทิพย์เป็นเหมือนอย่าง "พระอามิตาภะ" เท่านั้นเอง


ทว่า สามเณรคู่หูก็แจ้งมาว่า "ข้าพเจ้าถูกทัณฑ์สวรรค์แล้ว" ซึ่งไม่ทราบว่่าทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นอย่างไร ก็ไม่มีำคำอธิบายด้วย ผมก็รับฟังไว้ ทำอย่างไรได้ครับ มันเกิดขึ้นแล้ว จบลงไปแล้วก็ปล่อยไปตามกรรมนั้น รู้สึกเหมือนว่าเขาจะไม่ให้ขึ้นสวรรค์สุขาวดีอะไรประมาณนั้นมังครับ คือ ถ้าตายแล้วก็ไม่ไปจุติสุขาวดี ก็ที่อื่นก็มีครับ เช่น อภิรตีโลกธาตุ, พหุสุคันโธพุทธเกษตร เป็นต้น ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ทำสิ่งที่ควรทำต่อไปครับ อีกอย่าง ผมก็ไม่ได้มีตาทิพย์, หูทิพย์ การที่ภูติในกายซึ่งไม่ใช่จิตวิญญาณหลักของผม จรไปทำอะไร ผมก็ไม่อาจจะทราบได้ หากทำสิ่งผิดพลาดมา จะเป็นความรับผิดชอบของใครดี ผมก็ได้มังในฐานะที่เป็นร่างสังขารที่ภูตินั้นดำรงอยู่ แต่ถ้าจะให้ดี ให้ผมมีตาทิพย์หูทิพย์ รู้เห็นเหตุการณ์ก่อน แล้วถึงจะชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเป็นความผิดในความรับผิดชอบของผมได้เต็มที่นะครับ (ซึ่งผมไม่ได้มีสิ่งนั้นเลย)



 

หูทิพย์ทะลุสุขาวดี

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมยังบวชเป็นสามเณรและมีสามเณรคู่หูอยู่ด้วย ในช่วงนั้นหลังจากที่สามเณรได้ตาทิพย์แล้ว คือ แรกๆ เขาเห็นนิมิตในฝันก่อน ต่อมาเริ่มนั่งสมาธิเห็นลางๆ และต่อมาก็เริ่มเป็นนิมิตเป็นปริศนาธรรม (ไม่ใช่ของจริง ต้องตีความ) ในที่สุดทะลวงถึงระดับทิพย์จริงๆ ทั้งยังเชี่ยวชาญจนสามารถใช้ตาทิพย์ทะลุทะลวงสิ่งขวางกั้น เช่น เกราะทิพย์ได้ด้วย ผมจึงแนะนำให้สามเณรฝึกใช้หูทิพย์ต่อ โดยสามเณรเริ่มต้นจากเข้าสมาธิปกติ แล้วรวมสมาธิที่หู จากนั้นให้ระลึกจากหูออกไปยาวๆ ไกลๆ คือ เหมือนเราใช้ตาจ้องมองอะไรจากใกล้ๆ ไปไกลๆ แบบนั้น ทีนี้่เราก็ใช้หูนี่ละ จับเสียงทิพย์ได้แล้ว เราก็ค่อยๆ นึกน้อมจิตไปว่าเหมือนรัศมีหรือรังสีที่แผ่ออกไปยาวๆ ไกลๆ เท่าที่กำลังของเราจะส่งไปได้ ทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มไกลขึ้นๆ ทีนี้ สามเณรก็จะสามารถได้ยินเสียงเทวดาคุยกันบนสวรรค์บางชั้นได้ โดยไม่ต้องถอดกายทิพย์ขึ้นไปดูหรือฟังเลย เรียกว่าแอบฟังเทวดาคุยกัน แอบสืบราชการลับ ก็ยังได้ (ถ้าจะทำนะครับ แต่เราไม่ไ่ด้ให้ทำมั่วซั่วตามใจ) สามเณรฝึกไปเรื่อยๆ จนกำลังญาณสูงขึ้นตามลำดับ ไล่ทะลุไปจากสวรรค์ชั้นต่ำๆ ไปยังสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ทะลุเลยจากตรีสหัสโลกธาตุคือ เลยสามภพโลกของเราไปแล้วเริ่มไปถึงพรหมโลก ทะลุเลยพรหมโลกไป สุดท้ายก็ถึง "สุขาวดี" หลวงพ่อโต ก็ลงมาบอกว่า "สามเณรหยุดได้แล้ว" คือ ให้หยุดฝึกแค่นั้น ไม่ต้องหยั่งไปถึงสุขาวดี (คิดว่าอาจมีความลับสวรรค์ในชั้นสุขาวดีอยู่ ที่หลวงพ่อโตไม่ต้องการให้เราไปรู้) เราก็เลยหยุดแค่นั้น ซึ่งมันก็ใช้ได้เหลือหลายแล้วครับ


ต่อมา สามเณรก็ใช้หูทิพย์กับตาทิพย์นี่แหละคู่กันในการทำกิจต่างๆ ทั้งเห็นโลกทิพย์และพูดคุยกับชาวโลกทิพย์ ทำให้เราได้เข้าใจและทำกิจอะไรๆ หลายอย่างร่วมกับพวกเขามากมายเลยทีเดียวครับ ซึ่งผมได้ทราบมาภายหลังว่าในวัดเดียวกัน เจ้าอาวาสก็มีหูทิพย์ ตาทิพย์ แจ่มใสเหมือนกัน เรียกว่า มีเหมือนกัน ไม่ค่อยถูกกันเท่าไร ของเขาอาจไม่ได้ฝึกใช้หลายแบบอย่างไร แต่ฐานเขาแน่น ฝึกมานานกว่าเรา เราใช้วิธีลัด เป็นเทคนิกที่เซียนบนสวรรค์แนะนำให้เราก็มี ของเราจึงอาจฐานไม่แน่นเท่า แต่เราก็ใช้ได้พลิกแพลงกว่า หลากหลายมากกว่าครับ อย่างเช่น เวลาเพ่งด้วยตาทิพย์แล้วไม่เ็ห็น เราก็จะสำรวจดูว่าเพราะอะไร หรือเห็นเป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่น่าจะใช่ เช่น เห็นพระบางรูปเป็นพระพุทธเจ้า แบบนั้น ก็จะใช้พลังทะลวงดู จึงทราบว่าภาพนั้นเป็นกายแปลงหรือเป็นของปลอม เป็นต้น หรือแม้แต่เจอพระนเรศวร ก็ยังต้องถามท่านว่า "ท่านอยู่ลำดับที่เท่าไร?" เพราะรู้ว่าท่านไม่ใช่องค์ปฐม นั่นเองครับ ก็เขียนบอกไว้เผื่อท่านได้หูทิพย์, ตาทิพย์ขึ้นมากันบ้าง อาจถูกหลอกได้มากมายครับ ในโลกทิพย์นั้น เหนือฟ้ายังมีฟ้า ก็ยังมีท่านที่มีฤทธิ์เดชแปลกๆ หลอกและทดสอบตาทิพย์ของเราได้อีกมากมาย ใช่ว่าจะเห็นแล้วสรุปได้ครับ



 

ยาย ตายแล้วฟื้น

เรื่องนี้เกิดมานานแล้ว ยยคนหนึ่งเล่าให้ผมฟัง เป็นเรื่องของยายที่ไม่ใช้เชื้อสายเครือญาติจริงๆ แต่ผมก็คิดเหมือนญาติ เพราะยายคนนี้จะเอาเงินที่แกสะสมไว้มาฝากแม่ผม แล้วแม่ผมก็ยืมใช้ยามฉุกเฉินจำเป็น เรียกว่่าพึ่งพาอาศัยกันได้ นั่นเอง (บางครั้ง ยายกับลูกชายแก ก็กลัวว่าเงินที่ฝากไว้จะถูกแม่ผมโกงไป แต่สุดท้าย เมื่อลูกชายแกหย่ากับเมีย ทำให้แกต้องย้ายบ้านและใช้เงินที่สะสมหมดไปกับการสร้างบ้านใหม่) ยายเล่าว่าสมัยยายยังสาว ยายเคยค้าขายโดนเริ่มต้นจากไม่มีเงินทุนเลย ยายก็ไปเก็บหอยขม เอาไปแลกกับผัก แล้วเอาผักไปขายต่อ บางทียายก็ไปขอกระดูกวัวที่เขาไม่เอาแล้ว ไปขายได้ อะไรแบบนั้น คือ ยายมีวิธีแปลกๆ ในการเลี้ยงชีพแต่ไม่ได้ทุจริตนะครับ เพราะสมัยนั้นคนไม่ค่อยมีเงิน และยายก็แทบไม่มีเงินเลย นอกจากนี้ ยายก็ชอบช่วยงานวัดในช่วงที่วัดมีงานใหญ่ๆ และต้องการคนช่วยทำครัว แต่ยายไม่้ได้เป็นคนของวัดในตำบลเรานะครับ ยายจะไปช่วยวัดๆ หนึ่งที่ยายชอบและเลือกแล้ว แล้วยายก็เล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่ง ยายคลอดลูกแล้วเหมือนเลือดทำหรืออะไรสักอย่าง ทำให้ยายหมดสติ หรือตายไปก็ไม่รู้ ยายรู้สึกเหมือนว่าไปยังสถานที่ๆ หนึ่ง มีเส้นทางเดินสองทางให้เลือกเดินไป (ถ้าจำผิดต้องขออภัย) แล้วก็มีคนมาบอกยายว่า "มึงกลับไป มึงมาทำไม ยังไม่ถึงเวลาของมึง" เป็นคนโบราณมีเขาที่หัวด้วย ก็เลยทำให้ยายต้องกลับไป แล้วยายก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ สมัยนั้น ไม่มีการแพทย์ที่เข้าถึงอย่างนี้ เวลาคนคลอดลูกแล้วสิ้นสติไป ก็ไม่รู้ว่าตายหรือสลบนะครับ มันไม่ชัดเจน แต่ยายรู้สึกเหมือนว่ามันคือการตาย แล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วยายก็จำเรื่องราวตอนที่หมดสติไปนั้นได้ จึงเล่าให้ผมฟังต่อดังกล่าว


ปัจจุบัน ยายย้ายบ้านไปแล้ว หลังจากลูกชายของยายทะเลาะกับเมีย จนหย่ากัน ทำให้ยายต้่องย้ายเอาบ้านไปแล้วสร้างใหม่ ยายต้องหมดเงินไปกับการสร้างบ้านใหม่ (เดิมยายเคยกลัวว่าเงินจะหมดไปด้วยมือของแม่ผมที่ยายเอาเงินไปฝากไว้ แล้วแม่มักยืมไปใช้เสมอ) เมื่อก่อนยายเป็นมะเร็ง และหมอบอกว่าทำใจเพราะรักษาไม่ได้แล้ว เป็นระยะสุดท้ายแล้ว ไม่เกิน ๓ ปี แต่ยายก็อยู่มาได้ เกิน ๓ ปี มานานหลายปีแล้ว เวลายายไปหาหมอ ไม่มีญาติคนไหนพาไป แม่ผมก็พายายไป ทำให้ยายเอาเงินมาฝากไว้กับแม่ผม นั่นเอง ตอนเกิดเรื่องทะเลาะกันรุนแรง ผมและแม่ก็บอกให้ยายหลบมาอยู่บ้านผมก่อนก็ได้ แต่เหมือนว่ายายไม่ค่อยไว้ใจ (อาจเพราะมีเรื่องทำให้ทุกข์ใจ เลยพลอยไม่ไว้ใจใครไปหมด) แล้วยายก็ตัดสินใจเอาลูก คือ ไปอยู่กับลูกอีกคนแทน สุดท้าย เวลายายจะไปหาหมอ ก็ไม่มีลูกคนไหนพาไป ยายต้องติดต่อให้แม่ผมพาไปเหมือนเดิมครับ เรื่องของยายที่ตายแล้วฟื้น ไม่อาจพิสูจน์ได้ ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้



 

จุดจบนักเวทย์

เรื่องนี้เป็นเรื่องของตาผมเอง นำมาเล่าไเป็นวิทยาทาน กล่าวคือ ตาของผมเป็นคนที่มีวิชาอาคม ซึ่งต่างจากพี่หรือน้องของตาอีกคน คือ คนละสายคนละแนวกัน ตาจะมีวิชาไสยศาสตร์ในด้าน "กระทำ" เรียกว่า "หมอทำ" แต่พี่หรือน้องของตาอีกคนจะมีวิชาทางด้าน "แก้" เรียกว่า "หมอแก้" ว่ากันว่าพี่หรือน้องของตาท่านนี้ได้ตำราตกทอดมาจากใคร ก็ไม่ทราบ ผมไม่ได้สนิท และทางเขาก็ไม่ชอบเราด้วย เรียกว่าต่างคนก็ต่างอยู่ไป เอาเป็นว่าผมเลยทราบแต่เรื่องของตา ซึ่งเป็น "หมอทำ" ก็แล้วกัน มาเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังกัน ตา เลี้ยงผมมาแต่เด็กๆ เพราะ่พ่อกับแม่ออกไปทำไร่ทำนา ก็เอาผมไว้กับตา บางทีตาจะสอนอะไรแปลกๆ เช่น ให้ผมไปเอาลูกไก่ตัวเล็กๆ มาจากแม่ไก่ ทำให้แม่ไก่ซึ่งหวงลูกอยู่ จิกตีผม ซึ่งผมยังเด็กมาก จึงร้องไห้ และกล้วแม่ไก่ แต่ตาก็ให้ผมไปเอาลูกไก่มาให้ได้ (ตอนนั้นเด็กมาก ก็ทำไม่ได้หรอกครับ ได้แต่ร้องไ้ห้เท่านั้นเอง เพราะโดนแม่ไก่ตีเอา) ผมก็จำได้ เพราะมันเ็ป็นเรื่องที่เด็กจดจำ เพราะเราโดนแม่ไก่ตีเอานี่ครับ สำหรับเด็กแล้วมันน่ากลัวมากเลย คือ ตาจะสอนให้เราไม่กลัวอะไร นั่นเอง มันเป็นพื้นฐานที่จะต้องมีใน "หมอไสยศาสตร์" นะครับ เพราะหมอไสยศาสตร์ก็อยู่กับผี นั่นแหละ พูดตรงๆ แล้วก็ใช้ผีทำงานด้วย ดังนั้น จะเป็นคนขี้่กลัวไม่ได้เลย ต่อมา ตาเคยมีเรื่องบาดหมางกับคนๆ หนึ่ง แล้วเขาก็ตายในเวลาไม่นานนัก แม่สงสัยว่าตาอาจจะกระทำคุณไสยกับคนๆ นี้ แต่ก็ไม่ทราบว่าเท็จจริงอย่างไร แม่บอกว่าตาไม่กินฟัก เพราะมันเป็นของเย็น (วิชาตาเป็นสายร้อน) นอกจากนี้ ยังมีคนมากมายที่รู้ว่าตามีวิชาแรงๆ ก็มาชอนกินเหล้าเพื่อขอวิชาบ้าง ตาก็ไม่ยอมให้ใคร บางอย่างแรงมาก ต้องใช้ "ไม้ฟ้าผ่า" เอามาทำ ก็มี, บางอย่างใช้ของอาถรรพ์อย่างตะปูโลงศพ อะไรแบบนั้น แต่ตาก็เึคยบอกให้ผมอย่างหนึ่ง เป็นของเบาๆ แค่ให้เขาร้องไห้สำนึกตนเท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นป่วยหรือตาย ผมก็ยังจำได้นิดหน่อย แต่ปัจจุบัน มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อไปแล้วครับ ตอนตาแก่ลง ตาก็กลายเป็นอัลไซเมอร์ จำอะไรไม่ได้เลย และทรมานอยู่อย่่างนั้น ๒ ปีกว่าเห็นจะได้ จนตาตายลง ผมยังเรียนอยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำใจไม่ได้ แม่รอให้ผมกลับไปงานศพตา ผมก็ไม่ไป บอกว่าติดธุระ ทำให้ผมฝันถึงตาแทบทุกคืน เป็นเวลานานมาก กว่าจะหายได้ ผมมักจะฝันว่าตามีคู่แฝด และคู่แฝดอีกคนก็ยังไม่ตาย อะไรแบบนั้นคือ ทำใจไม่ได้น่ะครับ


เมื่อผมเห็นจุดจบของตาอย่างนั้น และไม่ใช่แค่ตาคนเดียว คนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีเวทย์มนต์คาถา แต่มีผีปู่ย่าติดมาด้วย อย่างเช่น ย่าของผม ซึ่งก็ทรมานประมาณ ๒ ปีกว่า เดินไม่ได้ ต้องนั่งขยับๆ ไป ทีละนิดแล้ว ก็ปลงครับ ไม่คุ้มกันเลย กับชีวิตบั้นปลายที่ต้องทรมานมากมายยาวนานก่อนตายอย่างนั้น เพียงเพื่อความสุขที่เกิดดับชั่ววูบแล้วผ่านไป สนองความต้องการ ให้เรามีฤทธิ์มีเดช อะไรแบบนั้น ผมเลยไม่ชอบการมีเวทย์มนต์คาถาอะไรติดตัวเลย และไม่อยากมีผีอะไรมาคอยหาผู้รับสืบทอดด้วย แต่บางอย่างก็ยังไม่พ้นภาระครับ เรายังต้องเคลียร์ต่อไป หวังว่ามันจะหมดได้ จบได้ด้วยดี ก็เท่านั้นเองแหละครับ