อ้าวละ เริ่มซวยละสิ ตอนนั้น ผมก็เลยทดลองเล่นงานอสูรทารุณกลับไปด้วย โดยใช้แส้ทิพย์ฟาดเจ้าอสูรทารุณ มันก็เอามือปัดเหมือนปัดยุง แบบว่า "ไม่ระคายผิว" อะไรตรูเลยสักนิด ไม่ว่าผมจะทำอย่างไร พลังของนารายณ์ก็ไม่อาจที่จะทำอะไร อสูรทารุณได้เลย แล้ว "เจ้าแม่กาลี" (ซึ่งท่านมีพลังปราบอสูรทารุณได้โดยตรง) ก็อาสามาเลยครับ ท่านจะปราบให้เอง แต่ผมเกรงว่าจะทำให้เข้าสู่กลียุค เลยบอกท่านว่าไม่เป็นไร ผมจะหาวิธีจัดการเองก่อน ก็เมื่ออสูรทารุณนัดทำศึกแบบเปิดเผยแล้ว อีก ๗ วันจะกลับมาพร้อมทัพอสูร เราก็เลยต้องเร่งเพียรบำเพ็ญฝึกกันขนานใหญ่ ที่สำคัญ "กายนารายณ์" รู้ตัวว่าทำงานนี้ไม่ได้แล้ว ก็เลยรวมประสานกับกายอื่นๆ แล้วก็กำเนิดใหม่เป็นกายโพธิสัตว์กายหนึ่งไปเลย (ไม่อยู่รบแล้วละตู) โชคดี คู่หูได้พบ "ทัพของพระนเรศวร" ก็อาสามาช่วยรบครับ ผมรู้ด้วยญาณว่านี่ไม่่ใช่องค์ปฐม ก็เลยถามท่านว่าท่านอยู่ลำดับที่เท่าไร? ท่านตอบว่าลำดับที่ ๕๐ เห็นจะได้ครับ นอกจากนั้น ก็มี "เทพนาจา" เป็นกายทิพย์กายหนึ่งในร่างของสามเณรคู่หู มาช่วยรอรับทัพอสูรทารุณที่จะมาในอีก ๗ วันข้างหน้านั้นด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ...
ศึกอสูรทารุณ : ภาคหนึ่ง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมบวชเณรและมีสามเณรคู่หูที่ได้อภิญญาบ้างแล้ว หลังจากถูกทดสอบมาพอควร ผมและคู่หูเลยหาที่ฝึกบำเพ็ญให้มากขึ้น เพราะเราไม่ค่อยมีเงินที่จะไปสร้างวัด สร้างผลงานอวดโชว์ใคร เราจึงต้องทำงานเพียรบำเพ็ญในมิติที่คนอื่นมองไม่เห็น (เท่าที่เราจะทำได้ครับ) วันหนึ่ง ผมเห็นว่าที่ภาคใต้มีปัญหามาก คงต้องหาทางเคลียร์พื้นที่บ้าง ตอนนั้น ก็หนักอยู่ ผมดูกายทิพย์ข้างในทั้ง ๔ กายแล้ว ก็เลือกใช้ "กายนารายณ์" ที่อยู่ในสังขารเราเอง เพื่อไปทำกิจนั้น ไม่น่าจะเรียกว่าถอดกายทิพย์นะครับ น่าจะเรียกว่าใช้จิตวิญญาณหรือใช้ภูติในตัวเราเองมากกว่า การที่เราสั่งได้ด้วยใจนั้นแหละ จึงเป็นที่มาของคำว่า "มโนมยิทธิ" หรือ "ฤทธิ์ทางใจ" ว่าแล้วก็สั่งให้จิตวิญญาณนารายณ์ในกายของเราไปทำหน้าที่ครับ พอเหาะไปถึงแถวภาคใต้ (ทางโลกทิพย์นะ) แล้วก็เนรมิตกายทิพย์ให้ใหญ่ขึ้นมากๆ จากนั้น ก็ใช้ "น้ำเต้า" ตอนแรกจะใช้น้ำเต้าของคู่หู แต่หลวงพ่อโตบอกว่า "น่าเสียดาย" แล้วท่านก็ให้ผมใช้อีกอันแทน (น้ำเต้าของคู่หู มีน้ำทิพย์รักษาโรคทางกายทิพย์ได้ครับ เป็นของหายาก ถ้าใช้ฝนงานนี้แล้ว น้ำทิพย์นั้นก็เสียไป) หรือกล่าวได้ว่า "น้ำเต้าทิพย์" มีหลายชนิด แต่ละชนิดเหมาะสมในการทำกิจที่ต่างกัน ว่าแล้วผมก็ใช้น้ำเต้าทิพย์ที่หลวงพ่อโตให้มานั้น อธิษฐานแล้วดูดเอาสิ่งที่ไม่ดีแถวภาคใต้เข้าไปในนั้น คู่หูก็รายงานว่ามันมีทั้ง "มังกรดำ" และอะไรอีกมากมายด้วยนะ พอเหมาะพอควร (ไม่ถึงกับทำให้หมดสิ้นไป เดี๋ยวมนุษย์คนอื่นจะไม่ไ่ด้สร้างบารมีกัน) ก็จะมี "ทูตนรก" ตัวจ้อย ตามมารับน้ำเต้าเอาไปจัดการในนรก แล้วเอาน้ำเต้าอันใหม่มาเปลี่ยนไป หลายรอบอยู่เหมือนกัน ก็จบกิจ แล้วเราก็ตรวจดูต่อไปอีกว่าในตัวคนที่ทำงานภาคใต้ (กลุ่มก่อความไม่สงบ) นั้น หัวหน้าเขามีของอะไร เพราะ "ของอิสลาม" ขึ้นชื่อว่าแรงกว่าของเขมรที่เราเคยเจอมาก่อนหน้านี้ (ของเขมรมีหมอแก้ได้ ของอิสลามไม่มีหมอแก้) เราก็พบ "มีดหมอ" ครับ เราก็เลยลองดูว่าอะไรจะเล่นงานสิ่งนี้ได้บ้าง ก็ไม่ไ่ด้เลย ถึงขนาดไปยืมดาบทิพย์จากท่านท้าวผู้ปกครอง ณ สวรรค์ชั้นยามา มาแล้ว ก็เล่นงานอะไรมันไม่ได้ครับ แต่เราก็ทำงานไปขนาดนี้แล้ว กายทิพย์ข้างในเขาก็รู้ตัวครับ ทีนี้ เขาก็เลยจะเล่นงานเรากลับบ้าง ผู้ที่กล่าวนี้ก็คือ อสูรทารุณครับ ตัวเป้งเลย ว่าแล้วเขาก็ลองประมือกับผมเล็กน้อย โดยการเข้ามาตีซี้กับ "ยักษ์" ที่เฝ้าประตูให้ผม ยักษ์ตนนี้มาจาก "ยันต์" เป็นเครื่องสืออีกทีที่ผมติดไว้ที่หน้าประตูกุฏิ ตอนแรกยักษ์ก็ยังดีอยู่ คือ เขาก็ตัดกระบองออกเป็นสองชิ้น ให้ผมและคู่หูไว้ป้องกันตัว แต่ว่าพอเจอพวกอสูรทารุณเข้า อสูรเอาเหล้ามาให้ยักษ์กิน ทีนี้ เขาเปลี่ยนไปเลย ไปเข้าข้างพวกอสูรไปเลยครับ แล้วก็ไม่เฝ้าประตูกุฏิให้ผมอีกแล้ว! แล้วอสูรทารุณก็ย่ามใจ นัดประลองศึกกับผมเลย บอกว่า "อีก ๗ วัน" เตรียมรับทัพอสูร!
อ้าวละ เริ่มซวยละสิ ตอนนั้น ผมก็เลยทดลองเล่นงานอสูรทารุณกลับไปด้วย โดยใช้แส้ทิพย์ฟาดเจ้าอสูรทารุณ มันก็เอามือปัดเหมือนปัดยุง แบบว่า "ไม่ระคายผิว" อะไรตรูเลยสักนิด ไม่ว่าผมจะทำอย่างไร พลังของนารายณ์ก็ไม่อาจที่จะทำอะไร อสูรทารุณได้เลย แล้ว "เจ้าแม่กาลี" (ซึ่งท่านมีพลังปราบอสูรทารุณได้โดยตรง) ก็อาสามาเลยครับ ท่านจะปราบให้เอง แต่ผมเกรงว่าจะทำให้เข้าสู่กลียุค เลยบอกท่านว่าไม่เป็นไร ผมจะหาวิธีจัดการเองก่อน ก็เมื่ออสูรทารุณนัดทำศึกแบบเปิดเผยแล้ว อีก ๗ วันจะกลับมาพร้อมทัพอสูร เราก็เลยต้องเร่งเพียรบำเพ็ญฝึกกันขนานใหญ่ ที่สำคัญ "กายนารายณ์" รู้ตัวว่าทำงานนี้ไม่ได้แล้ว ก็เลยรวมประสานกับกายอื่นๆ แล้วก็กำเนิดใหม่เป็นกายโพธิสัตว์กายหนึ่งไปเลย (ไม่อยู่รบแล้วละตู) โชคดี คู่หูได้พบ "ทัพของพระนเรศวร" ก็อาสามาช่วยรบครับ ผมรู้ด้วยญาณว่านี่ไม่่ใช่องค์ปฐม ก็เลยถามท่านว่าท่านอยู่ลำดับที่เท่าไร? ท่านตอบว่าลำดับที่ ๕๐ เห็นจะได้ครับ นอกจากนั้น ก็มี "เทพนาจา" เป็นกายทิพย์กายหนึ่งในร่างของสามเณรคู่หู มาช่วยรอรับทัพอสูรทารุณที่จะมาในอีก ๗ วันข้างหน้านั้นด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ...
Artikel ศึกอสูรทารุณ : ภาคหนึ่ง ini dipublish oleh Unknown pada hari 11/25/12. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan ศึกอสูรทารุณ : ภาคหนึ่ง
อ้าวละ เริ่มซวยละสิ ตอนนั้น ผมก็เลยทดลองเล่นงานอสูรทารุณกลับไปด้วย โดยใช้แส้ทิพย์ฟาดเจ้าอสูรทารุณ มันก็เอามือปัดเหมือนปัดยุง แบบว่า "ไม่ระคายผิว" อะไรตรูเลยสักนิด ไม่ว่าผมจะทำอย่างไร พลังของนารายณ์ก็ไม่อาจที่จะทำอะไร อสูรทารุณได้เลย แล้ว "เจ้าแม่กาลี" (ซึ่งท่านมีพลังปราบอสูรทารุณได้โดยตรง) ก็อาสามาเลยครับ ท่านจะปราบให้เอง แต่ผมเกรงว่าจะทำให้เข้าสู่กลียุค เลยบอกท่านว่าไม่เป็นไร ผมจะหาวิธีจัดการเองก่อน ก็เมื่ออสูรทารุณนัดทำศึกแบบเปิดเผยแล้ว อีก ๗ วันจะกลับมาพร้อมทัพอสูร เราก็เลยต้องเร่งเพียรบำเพ็ญฝึกกันขนานใหญ่ ที่สำคัญ "กายนารายณ์" รู้ตัวว่าทำงานนี้ไม่ได้แล้ว ก็เลยรวมประสานกับกายอื่นๆ แล้วก็กำเนิดใหม่เป็นกายโพธิสัตว์กายหนึ่งไปเลย (ไม่อยู่รบแล้วละตู) โชคดี คู่หูได้พบ "ทัพของพระนเรศวร" ก็อาสามาช่วยรบครับ ผมรู้ด้วยญาณว่านี่ไม่่ใช่องค์ปฐม ก็เลยถามท่านว่าท่านอยู่ลำดับที่เท่าไร? ท่านตอบว่าลำดับที่ ๕๐ เห็นจะได้ครับ นอกจากนั้น ก็มี "เทพนาจา" เป็นกายทิพย์กายหนึ่งในร่างของสามเณรคู่หู มาช่วยรอรับทัพอสูรทารุณที่จะมาในอีก ๗ วันข้างหน้านั้นด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ...
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment