ศึกอสูรทารุณ : ภาคจบ

เรื่องนี้ต่อจากเรื่อง "ศึกอสูรทารุณ ภาคหนึ่ง" นะครับ เนื่องจากผมใส่รายละเอียดน้อยมาก คิดว่าไม่ได้ต้องการจะเขียนหนังสือขายให้ได้ปริมาณมากๆ จึงไม่มียืดเนื้อหานะครับ ขออนุญาติกล่าวแบบลัด, สั้น, ง่าย ตามสไตล์ 3G ก็แล้วกันครับ เอาละ หลังจากอสูรทารุณไปเตรียมทัพแล้ว ผมก็เริ่มหวั่นๆ แล้วเพราะประลองกันคราวนั้น ขนาดกายทิพย์ "นารายณ์" ยังทำอะไรมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย (ถึงว่าทำไม เจ้าตัวนี้ จึงถูกปราบด้วยเจ้าแม่กาลี ไม่่ใช่พระนารายณ์) ผมก็ทำได้เพียง "เร่งบำเพ็ญธรรมยิ่งยวดเท่านั้น" คิดเอาว่า "ถ้ากูตายยังไงก็คงได้ธรรมวะ" เลยปฏิบัติยิ่งยวดมากๆ อธิษฐานจิตรวมกาย, รวมบารมีไปเลย จากนั้น กายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ในกายสังขาร ในรูปนามต่างๆ ดังนี้ พระอวโลกิเตศวร "จารุคิณี", พระมัญชุศรี, พระกษิติครรภ์, พระเมตตรัยโพธิสัตว์ และกายพรหมคือ "ตรีมูรติ" (อันเกิดจากการรวมสามกายได้แก่ กายศิวะ, กายนารายณ์, กายพิฆเนศวร) และกายสุดท้ายคือ "กายภิกษุ" รวมทั้งสิ้น ๖ กาย ก็สำเร็จเป็น ๑ กายหนึ่งเดียว มีจิตวิญญาณเดียว อันมีรูปกายดั่งเช่น "พุทธะ" ทั่วไป (ตามหลักวิชชาธรรมกาย จะเรียกกายนี้ว่า "ธรรมกาย" นั่นเอง) เมื่อผลออกมาอย่างนี้แล้ว ก็เข้าใจว่านี่มิใช่หน้าที่แห่งการเป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นหน้าที่ตามแนวทางแห่ง "พระยูไล" ดังนั้น จึงไม่รีบร้อนนิพพาน ยอมทำกิจตรงหน้า เฉพาะหน้านี้ก่อน ดังนั้น จึงได้ถามเบื้องบนว่าพอมีแหล่งพลังงานบนโลกที่ใดบ้างหรือ? ท่านก็บอกนามมาให้ทางจิต แล้วจิตพุทธะนั้นก็ทราบ จึงได้นำ "จิตวิญญาณ" ดวงหนึ่งของสามเณรที่อยู่รูปนามของ "เทพนาจา" ไปทันที เมื่อไปถึงที่นั่น มีเทพอารักษ์เฝ้าอยู่ แต่ด้วยเดชะบารมีแห่งกายพุทธะนั้น ท่านจึงยอมให้เข้าไปในเขตหวงห้ามโดยง่าย เมื่อเข้าไปแล้ว จึงได้บอกแก่เทพนาจานั้นว่า "ให้ท่านใช้พลังจากขุมพลังนี้ เพื่อสร้างห่วงทิพย์ ๔ ห่วง อันได้แก่ ห่วงดิน, ห่วงน้ำ, ห่วงลม, ห่วงไฟ" เทพนาจานั้นก็ทำได้ตามนั้นทุกประการ จึงถามสามเณรว่า "ได้อานุภาพของทิพย์เท่าใด" เขาก็ตอบว่า "ห่วงทิพย์มีอานุภาพทำลายล้างได้ ๓ ภพ" อ้าว ซวยละสิตู ถ้าเกิดใช้ผิดพลาดขึ้นมาไม่กลายเป็นโทษแก่เราสองคนหรือนี่? (ผมคิดในใจ) แต่ทำอย่างไรได้ มันเกิดขึ้นแล้วนี่นะ ต้องเดินหน้าต่อไป จากนั้น ก็เลยกลับมาทำของทิพย์ไว้รับทัพอสูรทารุณ ก็ได้อธิษฐานทำของทิพย์ไว้ดังนี้ ๑. เทียนทิพย์ ๒. กระดิ่งทิพย์ ๓. พัดทิพย์ (เป็นขององค์หญิงพัดเหล็ก ซึ่งเอามาถวายให้ช่วงที่ผมทำของทิพย์ไว้ต่อสู้รับทัพอสูรทารุณพอดี พร้อมกับเชือกทิพย์ของพระยายมซึ่งท่านนำมาถวายพร้อมกัน - เชือกนี้ท่านว่าัจับผีตนใดแล้วต้องลงนรกไปเลยครับ) ส่วนทางทัพพระนเรศวรก็บอกให้เราช่วยหาตุ๊กตาคน (แบบที่เขาเอาไปถวายแก้บนกันนั่นแหละ) แล้วท่านจะได้ช่วยเราได้ ผมก็ลังเลใจ มันจะส่งผลอะไรต่อบริวารเราในสวรรค์ไหมนะ อย่าดีกว่า ไปเอาตุ๊กตาม้าและช้างมาให้แทน (ปลอดภัยไว้ก่อน อาจโดนผีหลอกเอาได้) เป็นอันว่าเราได้เตรียมการณ์พร้อมแล้วในระดับหนึ่ง จากนั้น ก็ถึงวันนัดหมาย ซึ่งทัพอสูรฉลาดที่จะมาเล่นงานเราในเวลากลางคืน ผมจึงได้ใช้ "ยันต์พราง" ปิดวัดไว้ทั้งวัด ปรากฏว่าพวกมันมองไม่เห็น มันส่ง "ปีศาจแมงมุม" มาลาดเลาก่อน แล้วเจ้าปีศาจตัวนั้นก็หาไม่เจอ เราก็เลยนอนหลับกันได้ในคืนนั้น จากนั้น ถึงตอนเช้า ก็คิดว่า "คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง" หรือมันคงไม่มีจริงอะไรหรอก เลยอธิษฐานเอายันต์พรางออก จากนั้นเอง มันก็เกิดเรื่องขึ้นเลย ตอนนั้นฟ้ายังมืด แต่ใกล้เวลาจะไปบิณฑบาตรแล้วด้วยสิ พอเอายันต์พรางออกเท่านั้น พวกมันก็แห่กันมา ยกมาทั้งกองทัพเลย รอเราอยู่หน้าวัด (ตายห่าละตู ไม่กล้าออกบิณฑบาตรแล้ว)


ผมเลยใช้กายทิพย์ "ยูไล" เข้าไปเจรจาก่อน คิดว่าเราใช้กายพระยูไล อสูรทารุณน่าจะเกรงใจบ้าง ทว่า ก็ไม่เป็นผลครับ พวกนั้นไม่สนใจเลย ผมเลยต้องถอยกลับ ช่วงนั้นเองที่กายทิพย์ผมหันหลังให้ มันก็ฟาดกระบองทิพย์ลงมาที่หลังผมเฉียดๆ ไปทีหนึ่ง (ไม่รู้ผีตัวไหนทำครับ) ทำให้จีวรทิพย์ขาดและผมมีอาการเสียวแปลบๆ ที่หลังบริเวณใกล้กับบั้นเอว ต้องให้สามเณรคู่หูช่วยดูให้ (แต่ก็โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากครับ) ผมเลยต้องสู้อย่างเดียว ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่นา ว่าแล้วก็เริ่มจากอาวุธเบาก่อน ผมใช้เทียนทิพย์ขึ้นเพื่อใช้แสงสว่างไล่ หวังว่าทัพอสูรคงกลัวแสงสว่างแล้วถอยล่าไป ที่ไหนได้ "เจ้าอสูรราหู" (ซึ่งก่อนหน้านี้มันแอบอยู่ในพระประธานในโบสถ์วัดเรา นั่นเอง และได้มีเรื่องกับพวกเรามาบ้่างแล้ว) ก็เลยออกมาอม มันอมเทียนทิพย์มิดเลย เรียกว่า "ดัับสนิท" (ขนาดพระอาทิตย์มันยังอมได้นี่นะ?) ผมก็เลยเปลี่ยนใช้เทียนทิพย์ไม่ได้ ก็หยิบเอา "กระดิ่งทิพย์" ขึ้นมา ส่งให้เทพนาจา่ใช้สั่นไล่พวกมัน พอเทพนาจายกขึ้นเท่านั้นเอง "ปีศาจลิงลม" มาจากไหนไม่รู้ มันคว้าเอากระดิ่งทิพย์หายไปเฉยเลย ผมก็เลยต้องเอาของทิพย์ที่มีอานุภาพสูงขึ้นไปอีกมาแทน นั่นคือ "พัดเหล็ก" คิดว่าพัดให้มันกระเด็นไปให้หมดเลย ส่งให้เทพนาจาแล้ว ยังไม่ทันจะใช้เลยครับ "เจ้าปีศาจหนู" มันแบกถุงอะไรมาก็ไม่รู้ เปิดออกเทพรวดลงที่พัดเหล็กเป็นเหมือนฝุ่นทิพย์ ปรากฏว่า "พัดเหล็กสิ้นฤทธิ์" ไปเลยครับ กลายเป็นพัดธรรมดา ทำอะไรมันไม่ไ่ด้เลย ตายห่าละ ตรูซวยโครตๆ หรือว่าจะตายกันวันนี้ละเนี่ย อะไรก็ใช้ไม่ได้สักอย่าง เสร็จพวกมันหมด ตอนนั้น กองทัพสองกองทัพ คือ ทัพอสูรทารุณกับทัพของพระนเรศวรก็เริ่มปะทะกันแล้ว สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี ถ้าขืนปล่อยไว้นาน ทัพเราจะไม่เหลือ (กองทัพนี้มีไพล่พลน้อย) ในที่สุดก็เลยต้องให้เทพนาจาใช้ห่วง ไม่ทันที่ผมจะได้บอกครับ เทพนาจาเอาห่วงไฟใส่ทั้งกองทัพ "ทีเดียว" ใหม้เป็นจุณ หายวับไปกับตา ราบพนาสูญไปหมดเลย (อืม ของมันแรงจริงๆ) เสร็จกิจแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจว่าเทพนาจาจะดูแลของทิพย์ที่มีอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้ได้หรือไม่? (ถ้าผิดพลาดขึ้นมา ไม่ต้องรับผิดชอบร่วมกันหนักหรือ?) ผลจากการบำเพ็ญบารมีครั้งนี้เองทำให้ เกิดเทพอารักษ์ของทิพย์ขึ้นพร้อมกัน ๔ องค์ เพื่ออารักษ์ห่วงธาตุทั้งสี่นั้น ไม่นานนัก "เทพนาจา" ก็จากไป พร้อมบอกว่าไปเกิดแล้ว เราก็เลย "โล่งใจ" (ไม่รู้จริงหรือเปล่า หรือเขาจะหลอกเราก็ไม่รู้นะ) เป็นอันว่าเรื่องก็เลยจบก่อนที่จะออกไปบิณฑบาตรพอดีครับ ...



Penulis : Unknown ~ Sebuah blog yang menyediakan berbagai macam informasi

Artikel ศึกอสูรทารุณ : ภาคจบ ini dipublish oleh Unknown pada hari 11/25/12. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan ศึกอสูรทารุณ : ภาคจบ
 

0 comments:

Post a Comment