ความทรงจำที่เลือนลับ

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมมานานแล้ว ประมาณอายุ ๑๘ ปี ผมอกหักครั้งแรก มันยากที่จะอธิบาย มันมากกว่าคำว่าเจ็บปวด มันเหมือนกับคุณถูกรถชนอย่างแรง แล้วคุณก็หมดความรู้สึกทุกอย่างไป สิ้นสติ ไม่รู้แม้แต่ว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างไร ผมมีชีวิตอยู่เหมือนซอมบี้ ผีดิบที่เดินได้ แต่ยังมีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างคนที่ไร้จิตใจ แล้วผมก็เริ่มโปรแกรมสมองตัวเองให้ลืมทุกๆ อย่าง ทว่า ยิ่งผมทำอย่างนั้น มันยิ่งกลับทำให้ผมยิ่งจดจำเรื่องราวที่เจ็บปวดได้มากยิ่งขึ้น แล้วกลับลืมเรื่องอื่นๆ ไปเสีย ส่งผลให้ผมไม่สามารถเรียนต่อในคณะแพทยศาสตร์ได้ และต้องลาออกในที่สุด ใช่แล้วผมทำสำเร็จเพียงครึ่งเดียว ครึ่งที่ผมไม่ต้องการนั้น  ความทรงจำของผมถูกตัวเองโปรแกรมให้ลบไปทีละน้อยๆ ในเรื่องที่ไม่ควรลืมและถูกตอกย้ำจดจำในสิ่งที่ไม่ควรจำ แต่ผมก็ยังคงสู้ต่อไป ร่างกายของผมยังคงดำเนินชีวิตต่อไปอย่างคนปกติ แม้ผมจะรู้ตัวเองดีว่าภายในจิตใจของผม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และเพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ ได้ ผมก็ไม่่่ต่างอะไรกับคนที่ใส่หน้ากากเข้าหาเพื่อนๆ ให้เพื่อนๆ เห็นว่าผมปกติ แต่ทั้งนี้ ผมไม่ไ่ด้ทำเพื่อหลอกลวงหรือทำร้ายใครเลย ทั้งหมดก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้่ ทำให้พวกเขาสบายใจเท่านั้น กระบวนการลบเลือนความทรงจำที่เจ็บปวด จึงดำเนินไปอย่างเงียบๆ และไม่มีเพื่อนคนไหนรู้และจะยื่นมือมาช่วยหรือจะหยุดยั้งกระบวนการนั้นได้เลย จนเมื่อผมรู้สึกว่ามันเริ่มเหมือนการย่อยสลายอะไรสักอย่างหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น เมื่อผมย่อยสลายหมด ผมหมดแรง นอนอยู่เพื่อดูเพดานห้อง เปิดตาแล้วหลับลงอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นไปมีชีวิตต่อไปเืพื่ออะไร ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆ แต่แล้วผมก็ต้อง "ล่า" เพื่อความอยู่รอด ผมไปหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมเหมือนมีพลังฟื้นคืนมาอีกครั้ง ที่จะทำให้หัวใจเต้นต่อไป ขาทั้งสองข้างก้าวต่อไป ผมหาเจอ และมันเป็นพลังชั่วคราวที่ทำให้ผมไปข้างหน้าต่อได้ทีละน้อยเท่านั้น กระบวนการทั้งหลายได้ดำเนินมายาวนานเกิน ๑๐ ปี จนผมเริ่มมีกำลังกาย กำลังใจ มากขึ้นทีละน้อย ผ่านด่านต่างๆ มีงานทำได้คล้ายคนปกติ จนในที่สุด ก็หลุดพ้นออกมาจากระบบทุนนิยม แล้วถือบวช คราวนี้ ผมได้ฝึกสมาธิ ได้เข้าถึงความว่างไร้ สุขสงบที่แท้จริง ที่ยังไม่ใช่นิพพาน แต่มันเสริมกระบวนการลบเลือนเก่าของผมให้แก่กล้ายิ่งขึ้น คราวนี้ ผมเริ่มลบเลือนสิ่งที่ผมไม่อยากจำ ความเจ็บปวดทั้งหลายได้ ราวกับถูกล้างเครื่องใหม่ จนคล้ายกับว่าผมเป็นเด็กที่เกิดใหม่อย่างนั้นเลย ทุกวันนี้ ผมอาจระลึกบางเรื่องได้แต่บางอย่างก็ระลึกไม่ได้  ผมจำชื่อเพื่อนแทบไม่ได้เลย และเริ่มจะจำหน้าตาของพวกเขาไม่ไ่ด้ด้วย ผมต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทุกอย่าง


เหมือนเด็กอีกครั้ง แ้ล้วผมก็เริ่มต้นเรียนรู้ในขณะที่ถือบวช เหมือนเกิดใหม่ในผ้าเหลือง ในวรรณะนักบวช เหมือนเครื่องยนต์ที่ถูกเปลี่ยนอะไหล่ทั้งหมดใหม่ ตอนนี้ผมไม่ใช่คนที่ำจำอะไรได้เก่งหรือมากเหมือนดังก่อนอีกแล้ว แต่ผมก็ได้อย่างอื่นมาแทน ที่เหมาะควรแก่การดำีรงชีิวิต มันอาจไม่มากนัก แต่ก็พออยู่ได้ ที่มากกว่านั้นคือ ผมได้สัมผัสเรื่องราวเกินคาด ที่ไม่น่าเชื่อ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่มองเห็นได้เฉพาะในมิติพิเศษ และทั้งที่เห็นได้จริงในชีวิตปัจจุบันและพิสูจน์ได้จริงโดยไม่ต้องรอชาติหน้าจนเมื่อผมได้เผชิญหน้ากับ "ตัวตนในอดีต" ทั้งในช่วงวัยเด็กที่ร่าเริง, วัยรุ่นตอนปลายที่มืดมน ฯลฯ ผมกล้าที่จะเผชิญหน้ากับตัวตนเหล่านั้นมากขึ้น ความทรงจำเก่าๆ ก็หวนกลับมาบ้าง เหมือนลมพัดหวน ในทุกครั้งที่ตัวตนเดิมกลับมา แต่คราวนี้ ผมเข้มแข็งและพร้อมแล้วกับทุกอย่าง แม้ที่ผ่านมาผมเหมือนคนที่ไม่เหลือสภาพ ไม่แม้แต่จะเรียกว่าคน เดี๋ยวนี้ ไม่น่าเชื่อ ผมพอใจและพร้อมกับทุกอย่าง ผมไม่ได้เก่งหรอก แต่ธรรมะช่วยได้จริง!



Penulis : Unknown ~ Sebuah blog yang menyediakan berbagai macam informasi

Artikel ความทรงจำที่เลือนลับ ini dipublish oleh Unknown pada hari 2/1/13. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan ความทรงจำที่เลือนลับ
 

0 comments:

Post a Comment