เอาบ้านเป็นวัด

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมบวชเป็นพระ กลับจากการจรจาริกแสวงธรรม หลังจากได้พบ "พระไม่มีวัด" มาแล้ว ผมก็กลายเป็น "พระไม่มีวัด" อีกเช่นกัน จริงๆ แล้ว ผมไม่มีวัดมาก่อนที่จะเจอกับหลวงพ่อท่านนี้ด้วยซ้ำ เนื่องจากภายหลังที่ผมออกจากวัดในชุมชนเพื่อไปยังอีกวัดหนึ่ง แล้วปล่อยให้สามเณรอยู่รูปเดียวนั้น หลังจากสามเณรสึกแล้วออกจากวัดไป พระรูปอื่นๆ ก็ย้ายข้าวของผมออกทันที แม่ต้องไปขนกลับบ้านก็เลยทำให้ผมไม่มีที่อยู่ ผมไม่อยากมีเรื่อง แต่รู้อยู่ว่าใครทำอะไร มีนิสัยอย่างไร ก็ปล่อยไปตามกรรมครับ ในที่สุดผมจึงต้องมาพักที่บ้านชั่วคราว พอเข้าถึงช่วงเข้าพรรษา ผมจึงต้องจำพรรษาที่บ้านของผมเอง เพราะเป็นพระไม่มีวัด ซึ่งผมก็ถือโอกาสพลิกวิกฤติมาสร้างความเจริญให้กับตระกูลไปเลย คือ ผมปรับให้บ้านพัฒนาึขึ้นเป็น "สำนักปฏิบัติธรรม" และมีผมเป็นพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ รวมแล้วได้ ๓ พรรษาครับ มันทำให้บ้านและตระกูลเปลี่ยนไป เหมือนเปลี่ยนวรรณะจากวรรณะไพร่ เป็นวรรณพราหมณ์อะไรอย่างนั้น ก็ส่งผลให้แม่ผมเปลี่ยนไปด้วย หลังจากนั้น แม่ก็ปฏิบัติธรรมมาตลอด และเพื่อให้มีสิ่งสมมุติประจำอยู่ ให้คนในบ้านเข้าใจชัดเจน ผมจึงต้องจัดโต๊ะหมู่บูชาขึ้นเหมือนตำหนักทรงอื่นๆ คือทำให้มันดูจริงจังเปลี่ยนจากเดิมไปเลย แต่ผมไม่มีการเข้าทรงนะครับ เป็นแค่การปฏิบัติเองที่บ้านเราเท่านั้น และถ้ามีญาติธรรมมาจากแดนไกลไม่มีที่พัก เราก็ต้อนรับและรับรองที่พักให้ เหมือนสถานธรรมทั่วไปครับ ซึ่งทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นโดยผมเองก็ไม่ได้ตั้งเจตนาจะให้เป็นตั้งแต่แรก แต่มันมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างบีบบังคับมาก่อน ก็เลยต้องพลิกสถานการณ์ร้ายๆ ให้กลายเป็นโอกาสดีๆ ครับ ช่วงแรกมีแรงต่อต้านมากจากบางคน ที่เขาเห็นว่่ามันผิด หรือเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ทั้งพ่อผมก็ไม่ยอมรับครับ แต่ผมก็ต้องอดทน ป่วยการที่จะอธิบาย ต่อให้อธิบายเท่าไรก็ไม่มีผล ยิ่งทำให้เป็นเรื่องมากขึ้นครับ เงียบๆ เฉยๆ ไปดีกว่า เพราะถ้าดูเปลือกนอกผิวเผิน มันเป็นเหมือนการแหกคอก หรือทำสิ่งผิด แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง มันดีต่อบ้านและดีต่อตระกูลเรามากกว่าครับ เพราะการมีพระมาจำพรรษาอยู่บ้านถึง ๓ พรรษา ผมคิดว่าเป็นมงคลแก่บ้านครับ


จากนั้นมา บ้านผมก็เีิ่ริ่มเปลี่ยนไป จากยุคที่ตาผมอยู่ ดูแลทุกคนได้ดี แต่ละคนเกรงใจ จึงทำให้อยู่ด้วยกันอย่่างสงบสุข ไม่มีเรื่องอะไรกัน พอตาเสียแล้ว พ่อก็อารวาด เหมือนคนที่เก็บกดว่าตัวเองเป็นสามีจะได้เป็นใหญ่ในบ้านเสียทีอะไรแบบนั้น พอพ่อมาเป็นผู้นำครอบครัว แม่ก็แย่ครับ ทุกอย่่างไม่มีความเจริญ มีแต่ความเสื่อมลงๆ จนบ้านที่เคยมีที่นา ก็ต้องขายหมด ในช่วงที่ทุกอย่างกำลังจะหมดไปนั่นเอง ผมจึงได้กลับมาบ้าน แล้วค่อยๆ ยกบ้านขึ้นเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้ประกาศตัวโด่งดังอะไร ปฏิบัติกันเองในบ้านครับ บ้านก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เริ่มมีเงินไหลเข้ามาบ้านมากขึ้น แม่เริ่มสบายขึ้น ผมมองเห็นอดีตชาติของพ่อชาติหนึ่ง พ่อแค้นพวกเรามากในชาตินั้นเลยสาบานว่่าจะมาล้างผลาญครอบครัวเราให้หมดครับ ไม่รู้จริงหรือเปล่า? เพราะไม่มีอะไรพิสูจน์และยืนยันได้แต่พ่อก็ทำไปไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่เหลือที่นาในยุคของพ่อ (พ่อมักโทษลูกว่าเพราะส่งลูกเรียน ทว่า ลูกแทบไม่ได้ขอเงินทางบ้าน เพราะลูกได้ทุนบ้าง กู้เงินทุนการศึกษาฯ บ้างครับ) ผมจึงกลับมาปฏิวัติเงียบเสียเลยเพราะถ้าปล่อยต่อไป บ้านคงฉิบหายแน่ (ขอโทษที่ใช้คำแรงครับ มันอย่างนั้นจริงๆ) เพราะแม้กระทั่งผมปลูกต้นไม้พัฒนาบ้าน ผมก็ถูกทำลายโดนพ่อเป็นประจำ และจะพูดไม่ได้เลย จะกลายเป็นเรื่อง พ่อจะโวยวายใหญ่โตขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ต้องการจะทะเลาะ เราแค่อยากจะบอกว่าระวังต้นไม้เราด้วย เราปลูกไว้ พัฒนาบ้าน ซึ่งมันไม่ได้ปลูกเกะกะ (ผมชอบปลูกต้นไม้ในป่ารกๆ ที่ไม่มีใครสนใจ พอปลูกแล้วพ่อก็เข้าไปทำลายมัน ก่อนปลูกพ่อก็ไม่สนใจมันครับ พอผมปลูกแล้วเป็นเรื่องทุกที) ตอนนี้ ครอบครัวผมไม่มีที่นาแล้ว แต่ผมกำลังหาที่นาใหม่ให้แม่ที่ดีกว่า "นาดิน" นั่นคือ "นาบุญ" ครับ คนเราต้องมีที่ๆ จะสร้างคุณงามความดี นั่นแหละ "นาบุญ" จึงจะอยู่รอด มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้ แม้จะผิดแตกต่างจากคนอื่นไป แต่ผมว่ามันดีต่อครอบครัวครับ






Penulis : Unknown ~ Sebuah blog yang menyediakan berbagai macam informasi

Artikel เอาบ้านเป็นวัด ini dipublish oleh Unknown pada hari 2/12/13. Semoga artikel ini dapat bermanfaat.Terimakasih atas kunjungan Anda silahkan tinggalkan komentar.sudah ada 0 komentar: di postingan เอาบ้านเป็นวัด
 

0 comments:

Post a Comment